San Francisco เมืองแห่งวัยรุ่น ความหวัง และอนาคตของคนรุ่นใหม่

Photo Credit : Joonyeop Baek on Unsplash

San Francisco

นิวยอร์ก หรือ ซานฟราน’ คำถามที่ผุดขึ้นมาเมื่อต้องเลือกเมืองสำหรับไปเรียนต่อที่อเมริกา อันที่จริงแต่ละเมืองนั้นมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน แต่วินาทีสุดท้ายของการตัดสินใจ ‘ซาน ฟรานซิสโก’ คือคำตอบสุดท้ายของเรา เมืองที่โอบล้อมด้วยทะเล อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย มีสะพานโกลเด้นเกท และบ้านสวยดีข้อมูลคร่าวๆ คร่าวมากๆ ที่เรารู้เกี่ยวกับซานฟราน เพราะแน่ละว่ารีวิวส่วนมากเน้นไปเมืองนิวยอร์กที่หวือหวากว่านี้มาก แต่ไม่เป็นไร ซานฟรานที่เรารู้จักก็สู้ได้ไม่แพ้กันเลยนะ

ถ้าเมืองนี้เป็นแนวเพลง คงจะเป็นสไตล์คันทรี่ นำด้วยเสียงกีต้าร์หรือเบนโจ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นเพลงของแฟรงก์ ซิเนตร้า ที่พ่อชอบฟัง ไม่ใช่เพราะเชยนะ แต่เป็นเพราะว่าทุกอย่างดูคลาสสิกไปหมด ไม่ได้ฮิปสเตอร์เหมือนซีแอทเทิล ไม่ได้มาพร้อมกับตึกประวัติศาสตร์เหมือนบอสตัน แล้วก็ไม่ดูป๊อปเหมือนนิวยอร์กด้วย

อ้อ ผู้คนที่นี่มีความเป็นกันเองสูงมาก อาจเป็นเพราะว่าประชากรที่ค่อนข้างมาก รวมถึงไลฟ์สไตล์ที่เน้นการเดินและปั่นจักรยาน ทำให้เราได้พบปะผู้คนได้ใกล้และง่ายกว่าการอยู่ที่อื่น ว่ากันว่าในเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีประชากรประมาณ 8 แสนคนซึ่งเยอะเอาการเลยละ อายุเฉลี่ยส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 20 – 30 ปี ตามสโลแกนเมืองแห่งความหวัง ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มาใช้ชีวิตหลังเกษียณ ส่วนประชากรวัยทำงานนั้น เท่าที่เราคุยด้วยพวกเขามักกังวลเรื่องค่าครองชีพ เพราะบอกตรงๆ ว่าสูงมาก สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอเมริกาเกือบสามเท่า! แต่ถ้ายอมรับเงื่อนไขนี้ได้ ก็ไม่มีอะไรยากแล้ว

แล้วสงสัยมั้ยว่าทำไมคนถึงยังเดินทางมาที่เมืองนี้อยู่? คำตอบคืออาหารที่อร่อย อากาศดี มีพิพิธภัณฑ์เจ๋งๆ อยู่เยอะแยะเต็มไปหมด เหตุผลนี้รวมไปถึงการตัดสินใจของเราสำหรับการเรียนต่อในซานฟราน ข้อดีของการเป็นนักเรียนคือคุณจะได้อยู่ในหอหรือบ้านพักที่ราคาถูกลงกว่าไปเช่าเอง ไม่ว่าจะเป็นหอในหรืออพาร์ทเม้นท์ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับสถานศึกษา มีแคนทีนให้กินข้าวในราคาย่อมเยาว์ รวมถึงสวัสดิการต่างๆ ในฐานะนักเรียนต่างชาติ เราว่านี่คือกึ่งกลางระหว่างความเจริญและการใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบ จังหวะที่ถูกใจเด็กรุ่นใหม่ ทั้ง Gen Y และ Gen Me ที่อยากค่อยๆ เดินแชทไปตามทาง หรือนั่งตามร้านกาแฟเก๋ๆ แบบไม่ต้องรีบร้อน

ข้อมูลโดยทั่วไปของเมืองนี้คือ มีพื้นที่ประมาณ 1 ใน 3 ของกรุงเทพมหานคร อยู่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย ห่างจากสนามบินโอ๊คแลนด์ประมาณ 1 ชั่วโมงโดยรถยนต์ อากาศโดยทั่วไปค่อนข้างดี ไม่หนาว อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 25 องศาเซลเซียส แต่สิ่งที่ควรรู้ไว้อย่างหนึ่งก็คือ อากาศที่ซานฟรานมีความเหวี่ยงมาก หมายความว่า ถ้าบ่ายสามยังร้อนอยู่ แต่สี่โมงเย็นอาจหนาวเลยก็ได้! เข้าใจว่าเป็นเพราะอยู่ติดกับทะเล และภูมิประเทศเป็นเนินเขา ทำให้บางครั้งมีลมพัดแรงจนหอบความหนาวมาให้ก็ได้ ทางที่ดีคือแต่งตัวให้พร้อม เตรียมเครื่องกันหนาวไปใส่ถ้ารู้ว่าวันนี้คลาสเลิกค่ำ หรือมีดินเนอร์ในเมืองแล้วต้องเดินทางกลับบ้านไกลในตอนดึก

Photo Credit : Sebastian on Unsplash

ว่ากันว่าการเช่ารถขับในซานฟรานไม่ใช่เรื่องยาก แต่การหาที่จอดรถนั้นเป็นปัญหาโลกแตกพอๆ กับกรุงเทพเลย ผู้คนที่นี่เลยชอบใช้ขนส่งสาธารณะซึ่งก็มีตัวเลือกเยอะดีนะ ตั้งแต่ BART รถไฟความเร็วสูงที่สายตรงจากสนามบินสู่ใจกลางเมือง ถูกและเร็วกว่าแท็กซี่อีก ส่วนถ้าอยู่ในเมืองแล้ว จะมี Muni หรือรถบัสคอยวิ่งวนให้บริการรอบเมือง รวมทั้งรถรางด้วยย!!! คยเห็นยานพาหนะที่คล้ายๆ รถเมล์วิ่งขึ้นและลงที่เนินเขาในซานฟรานมั้ย? นั่นละคือรถรางในตำนานที่เด็กๆ เรามักเห็นตามเข็มกลัด โปสการ์ด หรือละครทีวีที่เขาชอบไปถ่ายกัน รวมถึงอูเบอร์ที่เรียกรถได้สะดวกสบายเหมือนอยู่ที่บ้านเราเลย

พูดถึงอูเบอร์แล้วขอต่ออีกหน่อย ซานฟรานนั้นถือว่าเป็น ‘สมาร์ท ซิตี้’ ที่ค่อนข้างจะไฮเทคเลยนะ ความหวังของเขาคืออยากจะให้เมืองนี้ไม่มีของเสียเลยในปี 2020 ซึ่งเวลาที่เรามาถึงใหม่ๆ ก็จะรู้สึกว่าต้องโหลดแอพฯ ทุกวัน เกี่ยวกับการโดยสารบ้าง เกี่ยวกับอากาศบ้าง หรือที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ซึ่งในมือถือนั้นก็จะเต็มไปด้วยแอพละลานตา จนต้องจัดหมวดหมู่ให้เรียบร้อย แต่เชื่อสิว่า เมื่ออยู่ไปสักพักเราจะรู้เองว่า แอพไหนควรโหลดหรือไม่

ที่จั่วหัวมาตอนต้นว่าเป็นเมืองแห่งความหวังและอนาคตนั้นไม่ได้ล้อเล่นนะ และไม่ได้หมายถึงการศึกษา หรือการแสวงหาโชคเหมือนคนรุ่นก่อนๆ ด้วย แต่ซานฟรานคือแหล่งรวมของสตาร์ทอัพหลายเจ้าที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่เดินทางมาที่นี่ เพราะนอกจากการเรียนแล้ว พวกเขาอาจมีโอกาสได้เจอกับนักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการในวัยที่ใกล้กัน ตามร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือได้รับเชิญไปบรรยายในสถานศึกษา และเรารู้สึกว่านี่ละคือการเติบโตของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริงที่กล้าคิดและกล้าทำ

อ้อ ส่วนใครที่ยังไม่เข้าใจว่าสตาร์ทอัพคืออะไร อธิบายสั้นๆ ละกันว่าเป็นการทำธุรกิจอีกประเภทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่ยังไม่มีใครทำ ใช้เงินลงทุนเยอะ และตั้งเป้าหมายในประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วนั่นเอง ยกตัวอย่างเลยนะ Pinterest / Uber / Twitter / Airbinb นี่แค่เฉพาะที่เรารู้จักเท่านั้น เพราะเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีสตาร์ทอัพอีกหลายร้อยแห่งผึดขึ้นเต็มไปหมด ผู้ก่อตั้งแต่ละเจ้าก็จะดูเนิร์ดๆ หน่อยแต่อายุส่วนใหญ่ยังไม่ถึง 30 กันทั้งนั้น เป็นธุรกิจที่เอาจริงเอาจริง ทำ Cloud Funding ได้มาทีเป็นพันล้านบาท ไม่ได้เป็นโครงการจากรัฐที่ตั้งขึ้นมาแหกตาไปวันๆ เหมือนบางประเทศ

เมื่อมาอยู่ได้ซักพัก เราถามเพื่อนคนที่นี่ว่าควรทำอะไรบ้าง พวกเขาตอบอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า ‘เดินข้ามสะพานโกลเด้น เกท’ โอ้วมายก้อดด ด้วยความเด๋อด๋าที่มี เราก็เพิ่งรู้ว่าสะพานนี้มันเดินข้ามไปได้ด้วย แต่ลมอาจจะแรงหน่อยๆ ก็ต้องแต่งตัวเตรียมพร้อมให้ดี ความยาวสำหรับการเดินไปและกลับอยู่ที่ประมาณ 5.5 กิโลเมตร เหมือนเป็นกิจกรรมรับน้องที่หลายคนเคยทำ แต่เอาจริงก็แอบสนุกอยู่นะ เพราะสะพานใหญ่และสวยมาก เราจะได้เห็นเมืองซานฟรานอีกมุม เหมือนยืนอยู่กลางทะเลแล้วมองเข้าไป

อย่างที่บอกว่าไปแล้วว่าที่นี่มีมิวเซียมให้เข้าเยอะมาก ซึ่งเป็นเรื่องปกติของประเทศที่เจริญแล้ว ซึ่งมักให้ความสำคัญกับเรื่องข้อมูล ความรู้ และประวัติศาสตร์

เราขอแนะนำมิวเซียมเจ๋งๆ ซัก 3 แห่ง ได้แก่

San Francisco Museum of Modern Art ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลย ถามใครเขาก็รู้จักกันหมด เอาไว้จัดแสดงผลงานทางศิลปะเจ๋งๆ ทั้งชิ้นงานถาวรและนิทรรศการหมุนเวียน

California Historical Society พิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องความเป็นมาของรัฐแห่งนี้ตั้งแต่ 3-4 ร้อยปีที่แล้ว

The Exploratoirum พิพิธภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้มีแต่ข้อมูล แต่ยังมีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก

ซึ่งแตกต่างจากบ้านเราตรงที่ เรามักจะมองว่าการเรียนรู้เป็นกิจกรรมของเด็ก แล้วให้ผู้ใหญ่ยืนดู แต่เปล่าเลย ที่นี่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมกับแอคทิวิตี้ซึ่งทางมิวเซียมจัดไว้ได้ สับเปลี่ยนกันไปเพื่อให้ความรู้ได้หมุนเวียน เราชอบการลงมือทำ เรารู้สึกว่าความสนุกจะทำให้เราจำได้ดีขึ้น

Photo Credit : mauro arrue on Unsplash

เรื่องนี้สำคัญสุด ไม่ต้องกลัวเรื่องความอดอยากถ้าอยู่ในเมืองนี้ ปัญหาคือต้องวางแผนการกินให้ดีหน่อย อย่าใช้อารมณ์ซื้ออย่างวู่วาม เพราะแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นนึงก็ตก 200 – 300 บาทแล้ว นี่เป็นเรทปกตินะ ไม่ต้องตกใจ ชาวนักเรียนอาจเลือกการทำอาหารกินเองในวันธรรมดา และออกมาแฮงก์เอ๊าท์สัปดาห์ละครั้ง ก็จะประหยัดไปได้เยอะ ความน่ากลัวอยู่ที่ ซานฟรานมีของกินอร่อยเต็มไปหมดเลยยยย คือมีตั้งแต่อาหารติดดาวมิชลินสตาร์ ไปจนถึงติ่มซำร้อนๆ ในไชน่าทาวน์ แต่แนะนำว่า ไม่ต้องไปกินข้าวที่ Pier 39 ก็ได้ ที่นั่นเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความตื่นตาตื่นใจ ซึ่งราคาของอาหารก็น่าตื่นเต้นตามไปด้วย แนะนำให้เปิด Google Map แล้วหาคำว่า Fisherman’s Wharf จะได้ช้อยส์ที่น่าสนใจกว่า โลคัลกว่า ราคาดีกว่าด้วย

เอาละ นี่คือภาพรวมของซานฟรานในมุมมองของเรา ถ้าคะแนนเต็ม 10 เราขอให้ 8.5 สำหรับเมืองนี้ คะแนนอาจหายไปนิดหน่อยจากเรื่องของค่าครองชีพและที่อยู่อาศัยที่ต้องตั้งใจหากันหน่อย แต่ถ้าถามว่าชอบมั้ย ตอบอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า ‘ชอบมาก’

นี่คืออีกเมืองที่เราอยากให้ลองมาใช้ชีวิต สักแป๊บนึงก็ได้ แล้วจะรู้สึกว่า เฮ้ย จริงๆ แล้วคนอเมริกันก็น่ารักนี่หว่า ไม่ได้พูดอังกฤษคำ F word สองคำ เหมือนอย่างที่เคยเจอมาในหลายที่ ทุกอย่างที่เสียไปแลกมากับคุณภาพชีวิตที่ดี สนใจมั้ยละ ลองมาซานฟรานกันเร็ว นี่ชวนแล้วนะ :))

.

เรียนต่ออเมริกาใน San Francisco

EC English Language Centres สถาบันสอนภาษาอังกฤษที่มีหลายสาขากระจายอยู่ใน 7 เมืองเลื่องชื่อของอเมริกา นักเรียนจึงมีอิสระที่จะเลือกเรียนภาษาอังกฤษในสถานที่และสภาพแวดล้อมที่ตนเองสนใจได้อย่างเต็มที่ นอกจากจุดเด่นด้านความหลากหลายของสาขาที่ตั้งแล้ว EC ยังมีหลักสูตรให้เลือกเรียนมากมายอีกด้วย อาทิ General English,  English for Business,  Education & Exams,  Fusion – Hybrid Learning สำหรับวิทยาเขต Los Angeles นั้นตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินไม่ไกลจาก Market Street, Union Square, Chinatown, Little Italy และ SoMa โรงเรียนตั้งอยู่บนชั้น 18 สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมือง ห้องเรียนล้อมรอบเลานจ์ขนาดใหญ่ที่โอบล้อมด้วยแสงอาทิตย์

เพิ่มเติมเกี่ยวกับ EC English Language Centres คลิกที่นี่

ศูนย์การศึกษานานาชาติ (IEC) ของ Diablo Valley College เปิดดำเนินการเมื่อปี 2000 และให้การต้อนรับนักเรียนจากกว่า 40 ประเทศ ศูนย์การศึกษานานาชาติแห่งนี้เปิดดำเนินการการเรียนการสอนภาษาอังกฤษแบบเข้ม ข้น การเตรียมวิชาการและสถานภาพการรับเข้าเรียนที่ Diablo Valley College (DVC) วิทยาลัยชุมชนที่มีการโอนนักศึกษาไปยัง UC Berkeley สูงเป็นอันดับหนึ่ง! IEC เสนอระดับการเรียนการสอน ESL แบบวิชาการที่แตกต่างกัน 6 ระดับและมี 6 ภาคศึกษาต่อปี ช่วงละ 8 สัปดาห์ นอกจากนี้ทีม IEC กับ DVC เสนอโปรแกรมเชื่อมต่อทางวิชาการ 3 โปรแกรมต่อปี

เพิ่มเติมเกี่ยวกับ ศูนย์การศึกษานานาชาติ (IEC) คลิกที่นี่

Diablo Valley College ก่อตั้งขึ้นในปี 1949 (พ.ศ. 2492) ในเมือง Pleasant Hill รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นวิทยาลัยชุมชนของรัฐบาลที่ตั้งอยู่ในบริเวณของภูเขา Diablo ใกล้เมือง Berkeley และเมือง San Francisco ไดอะโบลว แวลเล่ย์ คอลเลจมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการศึกษาและปลอดภัย ส่วนหนึ่งของภารกิจของ DVC ก็คือการให้การศึกษาระดับสูงและเปิดเส้นทางที่เหมาะสมในการศึกษาต่อระดับปริญญาในมหาวิทยาลัยเแก่สมาชิกทุกคนในชุมชน  ด้วยการให้การศึกษาในระดับสองปีแรกของการศึกษาระดับปริญญาตรีในสหรัฐอเมริกา DVC มีโปรแกรมการโอนย้ายหน่วยกิตในระดับมหาวิทยาลัยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรัฐแคลิฟอร์เนีย

เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Diablo Valley College คลิกที่นี่