รีวิว คอร์สภาษาอังกฤษออนไลน์ เพื่อเตรียมศึกษาต่อแคนาดา
กับสถาบัน ILAC KISS
โดย ภวิกา นันทาภิวัฒน์ (น้องเทียน)
หลักสูตร University Pathway 3
ระยะเวลา 10 สัปดาห์ (11 May – 17 July 2020)
แนะนำตัวหน่อย ?
ชื่อจริงชื่อ ภวิกา นันทาภิวัฒน์ ชื่อเล่น เทียน ตอนนี้เรียนหลักสูตร ILAC Pathway University 3 อยู่ค่ะ อาทิตย์นี้อาทิตย์สุดท้ายแล้ว เรียนเพื่อที่จะไปเรียนที่ Okanagan College ที่ประเทศแคนาดาค่ะ
ในคลาสเรียนมีเพื่อนร่วมคลาสกี่คน ?
เพื่อนมีเพิ่มเข้ามาและออกไปตลอด ก็อยู่ประมาณที่ 12 คือน้อยที่สุด ที่มากที่สุดคือ 17 คนค่ะ ถ้าไม่รวมครูด้วย
หนูเรียนช่วง 8.00 – 11.00 น. เช้าตามเวลาประเทศไทย จะไปตรงกับเวลากลางคืนที่ Toronto ค่ะ
เพื่อนร่วมคลาสมีชาติไหนบ้าง ?
ถ้าในช่วงเวลา (Time Slot) ที่เทียนเรียนจะหนักไปที่ประเทศแถบรัสเซีย คาซัคสถาน เกาหลี บราซิล แม็กซิโก โคลัมเบีย จีน ไต้หวัน มีบ้างประปราย ไม่เยอะค่ะ ส่วนคนไทยก็มีอยู่คนเดียวคือหนูเอง
เพื่อนในคลาสอายุเท่าไหร่บ้าง ?
มีอายุเท่าเทียนเลยคือ 18 กำลังจะไปต่อ ป.ตรี อีกช่วงอายุนึงคือทำงานแล้ว ประมาณ 30 กำลังจะไปเรียน Diploma ก็จะเจอแค่สองช่วงอายุ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เรื่อง เช่น คนนี้แก่กว่าเรา เราเด็กกว่าเขา ก็รู้สึกกลืนๆ กันไปหมด เหมือนเพื่อนกันทุกคนค่ะ
คุณครูที่สอนเป็นยังไงบ้าง ?
หนูว่าเขาพูดเคลียร์ดีนะ สอนเข้าใจ เขาไม่ได้กดดันเด็กเวลาเราทำไมได้ เพราะว่ามันก็ยากขึ้นมาจากภาษาอังกฤษทั่วไปเพราะว่าจะต้องมีความ Academic ขึ้น เขาก็ไม่ได้แบบ เฮ้ย คุณจะต้องทำให้ได้ เขาไม่ได้กดดันจนเครียด แต่เขาก็ค่อนข้างพูดตรงไปตรงมา เช่น สมมติว่า ถ้าทำงานแล้วมีอะไรผิดพลาด พอจบคลาสเขาก็แจ้งชื่อนักเรียนให้อยู่ต่อ เพื่อที่จะคุยว่า ตรงนี้ไม่ควรทำแบบนี้นะ แบบนี้ดูเหมือนเป็นการลอกงานนะ อย่าทำนะ ถ้าทำอีกครั้งหน้าจะหักคะแนนแล้วนะ ครั้งนี้เตือนก่อนนะ เขาก็ไม่ได้ดุอะไรขนาดนั้น แค่พูดตรงๆ
ครูที่สอนเป็นคนเกาหลีค่ะ แต่เขาโตที่แคนาดา ไม่มีปัญหาเรื่องสำเนียงนะ เพราะเขาเป๊ะแบบฝรั่งเลย แค่เป็นคนเอเชียเฉยๆ ค่ะ
เนื้อหาที่เรียนเป็นอย่างไรบ้าง ?
หนูขอแบ่งเป็น 2 อาทิตย์แล้วกัน เพราะว่า เขาจะนับทีละ 2 อาทิตย์ ซึ่งแต่ละอาทิตย์จะต่างกัน แต่มันจะวนลูปอย่างนี้ทุกๆ 2 อาทิตย์ค่ะ คือ อาทิตย์แรก วันแรกเขาก็จะให้แนะนำตัว ไม่มีอะไรมากเลยค่ะ ครูเขาก็จะพูดเกริ่นๆนิดหน่อย ว่า วันนี้เราจะทำอย่างนู้น อย่างนี้กันนะ แล้วเขาก็จะให้เราแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย (เรียนผ่านโปรแกรม Zoom) 4-5 คน ทำอย่างนี้ทุกวันที่เริ่มต้นคลาส เขาก็จะมีคำถามที่จะให้เกิดประโยคสนทนา เช่น ถ้าวันนี้คุณถูกหวยร้อยล้าน คุณจะเอาเงินนั้นไปทำอะไร ให้เราได้คุยกับเพื่อนในกลุ่มของเรา คุยกันประมาณสัก 10-15 นาทีแล้วแต่ครูกำหนด พอกลับมาที่ห้องหลัก (main room) ครูเขาก็จะถามว่าแต่ละกลุ่มอยากจะแชร์อะไรบ้าง เขาไม่ได้บังคับว่าทุกคนจะต้องพูด แต่มันก็ดีกว่าถ้าเราออกมาพูด เราก็ไม่ได้ต้องบอกละเอียดมาก เราก็อาจจะพูดว่า เราคิดว่าอย่างนู้น อย่างนี้ เหมือนฟังของเพื่อนทุกๆคน แชร์กัน ครูเขาก็พยายามทำให้มันบังเทิงขึ้น เช่น โอ้ว ว้าว สุดยอด เสริมเติมแต่งให้มันสนุกขึ้นในคลาสเวลาคุยกัน
ถ้าเป็นช่วงอาทิตย์แรกจะเป็นอาทิตย์ที่เขาสอน คือ ทุกๆ สองอาทิตย์จะมีโปรเจค 1 โปรเจค ก็จะสลับกันระหว่าง Long Essay 1,000 – 1,200 คำ กับ Power Point สมมติว่า อาทิตย์นั้นทำ Power Point ครูเขาก็จะสอนวิธีการทำ Power Point เช่น ควรทำแบบนี้ ควรมีรูปแบบนี้ การทำข้อมูลอ้างอิงจะต้องเป็นแบบนี้
สุดท้ายวันศุกร์ของทุกสัปดาห์ส่วนใหญ่จะมี Speaking Assesment ก็จะมีให้เราพูด ไม่ใช่เรื่องที่ยาก เช่น แนะนำหนัง แนะนำของกินประเทศตัวเอง ให้เราได้ฝึกพูด อาทิตย์ถัดมาจะเป็นอาทิตย์ที่สอบ ก็จะมีสอบ TOEFL สมมติว่าคนที่ต้องการให้มีโชว์ใน Certificate ว่า เราจบด้วย Pathway 3.1, 3.2, 3.3 เขาจะเอาคะแนนมาจากการสอบของอาทิตย์ที่ 2 ซึ่งวันแรก (สอบวันอังคาร) จะเป็น Vocab Quiz และ Writing ส่วนวันถัดมา (วันพุธ) จะเป็น Listening กับ Reading ส่วนสองวันสุดท้าย (พฤหัส, ศุกร์) ก็จะมีโปรเจค ก็แล้วแต่ว่าอาทิตย์นั้นเป็นโปรเจคอะไรค่ะ ส่วนวันจันทร์ของอาทิตย์ที่สอง ส่วนใหญ่เขาก็มีงานให้ทำ เช่น อาจจะได้คุยกับครูตัวต่อตัว เกี่ยวกับงานที่เขาได้สั่งเราไว้ เราจะได้มีโอกาสคุยกับเขาตรงนั้นเลย เช่น เขาคิดว่าตรงนี้ควรแก้ หรือเราควรจะเพิ่มตรงนี้ เขามีความเห็นว่ายังไง เราจะได้มีโอกาสคุยกับครูส่วนตัวด้วย
จากที่เคยเรียนๆ ภาษาอังกฤษมาก่อนหน้านี้ หนูว่าคอร์สนี้ค่อนข้างหนัก เหมือนเราเรียนหนังสือที่โรงเรียนเลย มีสอบ มีทำงานส่งในห้อง เช่น บางอาทิตย์จะมี Writing in class เขาให้เวลาชั่วโมงนึง ให้เขียนส่ง 400 คำ แต่หนูว่ามันดีนะ เพราะหนูมีความรู้สึกกับตัวเองนะ ว่า ตัวเองพัฒนาเยอะขึ้น เร็วขึ้น อย่างช่วงอาทิตย์แรกที่มี Writing in class 400 คำ หนูก็เขียนไม่ถึงหรอก ทำไม่ทันด้วย ส่งไปแค่ 300 คำ เวลาก็เกิน หนูก็ส่งช้าไปประมาณ 10 นาที ครูเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ เขาก็บอกว่าโอเค 10-15 นาที เขายังหยวนให้ หนูคิดว่ามันเพิ่งเปิดคอร์สมา เขาคงเข้าใจแหละว่า นักเรียนไม่ได้เก่งมาตั้งแต่ต้น บางคนก็ทำไม่ทัน แต่พออาทิตย์ที่ 2 อาทิตย์ที่ 3 ก็รู้สึกว่าเขียนทัน คำถึง ชิวขึ้น แต่ช่วงหลังๆ ที่เรียนมาสองเดือนครึ่ง ก็รู้สึกว่า เขียนเร็วขึ้น ทำทัน ไม่น่าเชื่อว่าจะทำทัน เพราะปกติทำไม่ทัน (หัวเราะ) ตอนนี้ทำทันแล้ว อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาเข้มข้นด้วย ก็เลยทำให้พัฒนาได้เร็วขึ้นมั๊ง และอาจจะเป็นเพราะได้เขียนเยอะ เขียนบ่อย อย่างน้อยที่ต้องมีคือ 1 essay ต่อ 1 อาทิตย์ ก็เลยทำให้เขียนได้เร็ว และดีขึ้นค่ะ
นอกจาก Writing ที่พัฒนาขึ้นแล้ว Part อื่นๆ เป็นยังไงบ้าง ?
หนูว่าพัฒนาขึ้นทุก part เลย เพราะว่า ต่อให้เราไม่ได้คุยกับครูโดยตรง เราก็ต้องคุยกับเพื่อนเราอยู่ดี รู้สึกว่าพูดได้คล่องขึ้น ถ้าเทียบกับสัปดาห์แรก อาจจะเกร็งๆ ด้วย เพราะว่าเพื่อนใหม่ ไม่รู้จักกัน แต่ว่าตัวเองก็ยังพูดตะกุกตะกักบ้าง เพราะเราก็พยายามคิดประโยคว่าจะพูดว่าอะไร แต่พอหลังๆ ก็ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น พูดได้ดีขึ้น แล้วก็เรื่องการฟัง เนื่องจากว่า คนหลากหลายทางเชื้อชาติมาก แต่ละคน แต่ละประเทศเขาก็มีสำเนียงของเขาเอง มันก็มีบ้างที่เราฟังเพื่อนเราพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ด้วยสำเนียง แล้วพอหลังๆ สำเนียงไม่ใช่ปัญหาในการฟังเท่าไหร่แล้ว ฟังได้ชัดเจน คล่องขึ้น ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ค่ะ
คะแนนสอบเพิ่มขึ้นบ้างไหมที่ต้องสอบทุกๆ 2 สัปดาห์ ?
คะแนนขึ้นมาเรื่อยๆ แต่คะแนนหนูไม่ได้ขึ้นทีละ 5 ทีละ 10 คะแนนนะคะ จาก 90 ก็ขึ้นเป็น 92, 93, 94 ค่อยๆ กระดึ๊บ กระดึ๊บขึ้นมาเรื่อยๆ ค่ะ
Offline Activity เป็นยังไง ?
ตอนแรกเลยเขาก็ให้เราอยู่เปิดกล้องกันชั่วโมง ชั่วโมงครึ่ง แต่เพื่อนในคลาสบอกว่าไม่ไหวแล้ว เที่ยงคืนแล้ว ต้องนอน ครูเขาก็เลยบอกว่าได้ พอจบ 3 ชั่วโมงแรก ก็ออกจาก zoom แต่ว่าตัวครูยังอยู่ใน social
เรามีกลุ่มเฟซบุ๊คกันให้ถาม คือครูเขาก็ยังออนเฟซบุ๊คอยู่ชั่วโมงครึ่ง ในกรณีที่ว่ามีใครถามหรือว่าเราจะส่งอีเมลไปหาเขา เขาก็จะตอบกลับในช่วงชั่วโมงครึ่งนั้น ก็มีอย่างนั้นแทน แทนที่จะเปิดกล้อง เพราะเพื่อนบางคนก็ต้องไปนอนเพราะว่าดึกแล้ว นอกจากเฟซบุ๊ค อีเมล ก็มี google classroom ด้วยค่ะ ที่สามารถติดต่อครูได้
จากประสบการณ์ที่เคยสอบ IELTS มาและได้ทดลองสอบ TOEFL ที่สถาบัน เหมือนหรือแตกต่างกันยังไงบ้าง ?
คือหนูก็สอบ IELTS มานานแล้วนะ แต่ว่า เท่าที่จำได้หนูมีความรู้สึกว่า Listening ของ IELTS จะแอบยากกว่านิดนึง เพราะว่า เราต้องฟังและเขียนคำ ก็จะมีอุปสรรคนิดนึง คือ เราจะต้องฟังให้ถูก แล้วก็ต้องเขียนคำศัพท์ออกให้ถูกต้องด้วย แต่ของ TOEFL คือ ฟังแล้วเลือกคำตอบ แต่จะมีที่ยากขึ้นมานิดนึง ตรงคำถามเดียว แต่มี 5 ข้อย่อย ถ้าเราผิดไปนิดนึง มันก็อาจจะผิดทั้งข้อ คือหนูไม่แน่ใจเรื่องการเช็คคะแนน แต่เท่าที่เรียนๆ มา เช่น มี 4 ข้อ ผิดไป 2 ข้อ ข้อนั้นคะแนนก็คือ 0 เพราะฉะนั้นเราก็ต้องตั้งใจฟังมากขึ้นนิดนึงค่ะ
Writing ของ IELTS กับ TOEFL ก็ไม่เหมือนกัน เพราะว่า IELTS แบ่งเป็น 2 อัน อันแรกจะดูกราฟ เขาให้ข้อมูลอะไรมา เราก็เขียนอธิบายข้อมูลไป อันที่สองจะเป็น Personal แต่ของ TOEFL พาทแรกจะเป็น Reading ที่ไม่ใช่กราฟนะ แต่จะเป็นพวกบทความเลยจริงๆ แล้วก็จะฟัง Listening ซึ่งส่วนใหญ่ Reading จะขัดแย้งกับ Listening
Listening คิดอีกแบบนึง เราจะต้องเขียนอธิบาย 175 – 250 คำประมาณนี้ เขามีเวลาให้ครึ่งชั่วโมงนะ ก็โอเค เวลาพอเพียงอยู่ เพราะเขามีข้อมูลมาให้เราแล้ว เราก็แค่พิมพ์ตาม ส่วนอีก part นึงเป็น Personal essay ก็จะเหมือนกับ IELTS แต่หนูแอบคิดว่า personal essay ของ TOEFL มีความรู้สึกว่า ง่ายกว่าของ IELTS นิดนึง เพราะหัวข้อที่ IELTS จะให้เราเขียนอธิบายมีความยากกว่าหน่อยนึงค่ะ
ส่วน Reading เทียนก็จำไม่ค่อยได้ ก็รู้สึกว่าพอๆกันนะ แต่ว่า Reading ที่ทำกับ ILAC หนูไม่รู้ว่าจำนวนบทความที่สอบจริงกับของ ILAC จะเท่ากันรึเปล่า ถ้าเทียบจำนวน TOEFL จะน้อยกว่าจะมีแค่ 3 อัน ส่วนของ IELTS จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่หนูว่าน่าจะเยอะกว่าค่ะ
ที่เทียนสอบกับ ILAC ทุกๆ 2 สัปดาห์ มันจะไม่มี part Speaking เหมือนที่สอบ IELTS ถ้าสอบ IELTS จะมีที่เราต้องไปนั่งคุยกับฝรั่ง เขาจะอัดเสียงเรา แล้วเขาจะถามความคิดเห็นเรา เราก็ต้องอ่านมาก่อนแหละว่าถ้าหัวข้อนี้เป็นหัวข้อใหญ่เราก็ต้องพูดให้ได้ 3 นาที 5 นาที พูดไปเรื่อยๆ แต่ที่เทียนสอบ TOEFL ของ ILAC มันไม่ได้มี part นั้น ที่เราไปนั่งคุยกับครูตัวต่อตัว แต่จะมีเป็น Speaking assesment ที่มีทุกวีคอยู่แล้ว ถ้าเป็น IELTS อาจจะแอบกดดันกว่านิดนึง เพราะว่าเราต้องไปคุยกับเขาตัวต่อตัว เราอาจจะทำได้ไม่เต็มที่ค่ะ การสอบมันก็มีความแตกต่างกันเป็นบางจุดแล้วแต่ว่าเราถนัดแบบไหนค่ะ
ข้อดี ข้อเสียของการเรียนออนไลน์ มีอะไรบ้าง ?
ข้อดี ก่อนแล้วกัน หนูชอบ feature ของ zoom ที่แบ่งกลุ่มให้เราไปอยู่กับเพื่อน 4 คน มันต้องพูดค่ะ เพราะถ้าไม่พูด มันจะเงียบมากเลย เครียดมากเลย จนเรารู้สึกว่า พูดก็ได้วะ จนเรารู้สึกว่า เราได้พูดเยอะขึ้นกว่าอยู่ในคลาสใหญ่ เพราะบางครั้งคลาสใหญ่ระหว่างเรียนเราก็เหม่อมองไปที่หน้าต่างบ้าง เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ต้องพูดแล้ว
แล้วก็ชอบเวลาพรีเซนต์ มีความรู้สึกว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าพอเป็นออนไลน์ ก็แค่เปิดไฟล์ของเราแล้วกดแชร์หน้าจอ ทุกคนก็จะเห็นสไลด์เรา ถ้าเราเรียนในคลาสจริงๆ เราต้องเอาสไลด์ขึ้นจอ ต้องไปยืนอยู่หน้าห้องเพื่อพรีเซนต์งาน พอเป็นออนไลน์ก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น เราอยู่ในที่ของเราที่บ้าน แค่เปิดกล้องเฉยๆ ค่ะ
แต่ว่า ข้อเสีย มันก็มีคือ เราเห็นแค่หน้า บางทีเราอยากเล่นโทรศัพท์ ก็ค่อนข้างรบกวน แล้วเราเรียนกับคอมด้วย แค่เราคลิกอีกหน้าต่างนึง ก็เปิด Youtube ได้แล้ว จิตใจเราบางครั้งเราก็ถูกรบกวนด้วยพวกนี้ง่ายขึ้นค่ะ
แต่โดยรวมๆ หนูก็โอเคนะกับการเรียนออนไลน์ รู้สึกว่าความรู้ที่ได้ ไม่ได้แตกต่างจากการเรียนห้องสอนสดสักเท่าไหร่ อาจจะเป็นแค่ความรู้สึกชอบกับไม่ชอบมากกว่า ชอบที่จะห้องเรียนตัวเองกับคอมพิวเตอร์ หรือบางคนอาจจะอยากเจอครูตัวเป็นๆมากกว่า ก็แล้วแต่คนค่ะ
ความรู้สึกก่อนเรียนกับหลังเรียน เหมือนหรือแตกต่างกันยังไงบ้าง ?
เทียนได้ลองเรียนที่เป็นคลาสทดลองเรียนของเขาชั่วโมงนึง ซึ่งตอนนั้นเขาเอาทุกคนที่สนใจมาเรียนด้วยกัน สิ่งที่เขาสอนมาเลยค่อนข้างแตกต่างจากตอนที่ได้มาเรียนจริงๆ เพราะตอนที่ทดลองเรียนเขาก็สอนแกรมม่าทั่วไป ให้เพื่อนในคลาสแนะนำตัว มีการจัดกลุ่มแยกห้อง แต่พอมาเรียนจริงๆ แล้วรู้สึกว่าในคอร์สที่เทียนเรียนค่อนข้าง Academic เขาค่อนข้างเข้มงวดในเรื่องของการทำงานออกมาให้เหมือนเราจะทำไปส่งงานที่มหาวิทยาลัย ไม่ใช่ทำเพื่อพรีเซนต์หรือส่งงานที่สถาบันสอนภาษาอังกฤษทั่วไป ค่อนข้างเข้มข้นกว่าที่คิดเอาไว้มากๆ
คะแนนเต็ม 10 ให้กี่คะแนน ?
เทียนให้ 9 แล้วกัน หักคะแนนนึง เพราะว่า บางทีถ้าเราเจอครูตัวต่อตัว เราอาจจะได้ถามอะไรที่เราสงสัยมากกว่านี้ นิดนึง สมมติว่าเราทำงานแล้วเราถามครูในระหว่างเรียนออนไลน์ก็ไม่ได้ เพราะว่าจะไปรบกวนเวลาเรียน แล้วจะถามหลังเลิกเรียนเขาก็มีเวลาของเขา ทำให้บางครั้งเราก็ไม่ได้ถามอะไรได้เต็มที่ขนาดนั้น แต่ก็ได้ถามบ้าง ซึ่งถ้าเรียนสดเราอาจจะมีโอกาสได้ถามเขามากกว่านี้อีกนิดนึงค่ะ แล้วเพื่อนในคลาสก็ค่อนข้างน่ารัก ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้เจอตัวจริง เผื่อจะได้สนิทกันมากกว่านี้ อันนี้เรียนออนไลน์มากสุดก็คุยกันได้ในคลาส หรือแชทกันข้างนอก ไม่ได้เจอกันตัวต่อตัวค่ะ
ตัวอย่างรูประหว่างเรียนคอร์ส University Pathway
คิดว่าสิ่งที่เราเรียนมาจะช่วยตอนที่ไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยไหม ?
คิดว่าช่วยนะ ก่อนจะเรียนอันนี้ เทียนไม่รู้เลยว่า แคนาดาเขาซีเรียสกับการอ้างอิงมาก ซีเรียสเว่อร์ๆ เราก็ไม่รู้ว่าเขาซีเรียส แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าพอจะทำการอ้างอิงเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษมันจะต้องทำยังไง พอมาเรียนก็เลยรู้ว่า เขาจริงจังนี่นา เขาจะมีแบบฟอร์มนะ ถ้าอ้างอิงรูปภาพจะใช้ฟอร์มนึง อ้างอิงจากสื่อออนไลน์ จากหนังสือก็จะมีฟอร์มของมัน เราก็ต้องใช้ฟอร์มให้ถูกต้อง ก็รู้สึกว่า อันนี้มีประโยชน์มากๆ มากๆ เรื่องการทำอ้างอิง ส่วนเรื่อง power point, slide, การเขียน long essay มีความรู้สึกว่าเราเป็นการฝึกซ้อมก่อนไปเรียนจริงๆ เพราะถ้าเราไปเรียนจริงๆ แล้วทุกอย่างก็จะเป็นคะแนน เป็นเกรดเราหมด เราไม่มีโอกาสซ้อมก่อนว่าอย่างนี้เรียกว่าไม่ดีเหรอ แต่พอเรามาเรียนที่นี่เราก็รู้ว่า อ๋อ แบบนี้ควรทำ ครั้งหน้าทำต่อ แบบนี้ไม่ดี เราไม่ควรทำอีก คะแนนเราก็จะได้ดีๆ ตอนเราไม่เรียนที่ college ค่ะ
ทำไมถึงอยากไปเรียนที่ต่างประเทศมากกว่าเรียนที่ไทย ?
หนูชอบเรียนภาษาอังกฤษ ชอบมานานแล้ว ไม่ได้แค่เรียน ชอบหนัง ชอบดารา ชอบนักร้อง เราก็เลยค่อนข้างแฮปปี้กับทุกอย่างที่เป็นภาษาอังกฤษ หนูก็ได้ไปเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ ถึงจะไม่เคยไปแคนาดาเลย เราก็รู้สึกว่าเราแฮปปี้กับอากาศ เราแฮปปี้กับอาหาร ก็เลยรู้สึกว่าน่าสนใจที่จะไปเรียนต่างประเทศ เพราะต่อให้เรียนที่ไทยก็จะเรียนเป็นอินเตอร์อยู่แล้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ พูดถึงสิ่งที่จะได้รับกลับมา การไปเรียนต่างประเทศ อย่างน้อยภาษาอังกฤษเราดีแน่ๆ เพราะเราไม่มีทางไปพูดภาษาไทยอยู่แล้ว เพราะไม่มีใครฟังเรารู้เรื่อง แต่ถ้าเรียนที่ไทย ภาษาอังกฤษอาจจะได้ใช้ก็จริง แต่โอกาสที่เราจะได้ใช้ทั้งวัน ทุกวัน มันก็ต้องน้อยกว่าอยู่แล้ว ไปเรียนที่นู่นอาจจะได้อะไรมากกว่าเรียนที่ไทยค่ะ
ทำไมถึงเลือกเรียนที่ ประเทศแคนาดา ?
ตอนแรกก็ดูอเมริกาเหมือนกัน แต่อเมริกาดูไม่ปลอดภัย (หัวเราะ) ดูค่อนข้างน่ากลัว แม่ส่งไปเขาก็อยากได้อะไรที่ปลอดภัยก็เลยเป็นแคนาดา- (2020 Global Peace Index) ซึ่งหลักสูตรแคนาดาเขาก็ดี ถ้าพูดถึงประเทศเขาก็ดูปลอดภัย ดูใช้ได้เลย เรียนจบมี Work Permit ให้ทำด้วย ก็น่าสนใจเด้อ ก็เลยเลือกแคนาดาแล้วกัน แล้วพวกค่าเงิน ค่าเรียน ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็ไม่ได้สูงจนเกินไป จนรับไม่ไหวค่ะ
ฝากบอกถึงคนที่กำลังตัดสินใจว่าจะเรียนดีไหม ?
ก็ถ้าเป็นคนที่เป็นคนที่กำลังจะไปเรียนต่อที่แคนาดาในระดับ College หรือ University ก็ตาม หนูว่าเป็นคอร์สที่ควรจะเรียนอย่างยิ่งเลย เพราะว่ามีประโยชน์มากๆ อย่างที่บอก สอนวิธีการทำงานต่างๆ ที่เราอาจจะยังไม่รู้ หรืออาจจะรู้ไม่จริง พอมาเรียนคอร์สนี้ก็ทำให้เรารู้ว่า เราควรทำงานแบบนี้ พิมพ์แบบนี้ มันจะได้ออกมาดี มันค่อนข้างจำเป็นนะ สำหรับคนที่กำลังจะไปเรียนต่อ
สิ่งที่อยากแชร์เพิ่มเติม ?
หนูขอเพิ่มเติมเรื่องเพื่อนในคลาสแล้วกัน อันนี้ประทับใจส่วนตัว หนูชอบเพื่อนในคลาสนี้มากๆ อาจจะเป็นเพราะว่าทุกคนอาจจะกำลังไปเรียน ทุกคนมีเป้าหมายคล้ายๆกัน ทำให้มีเรื่องให้คุยกันนอกจากเรื่องเรียน ก็เลยรู้สึกว่าต่อให้เรียนออนไลน์เราก็มีเพื่อนนะ เพราะว่าบางคนเขาเรียนจบไปแต่ว่าเราคุยกันในคลาส เราคุยกันถูกคอสนิทใจ เราก็มีแลก contact กันเอาไว้ แบบพอไปแคนาดาก็มาเจอกันนะ รู้สึกไม่โหวงเหวง ถ้าเราไปที่โน่น เราก็มีเพื่อนแหละ ทุกคนในคลาสคือแพลนไปเรียนที่แคนาดากันหมดเลย มันมีอะไรให้คุยกัน เหมือนเราสนใจเรื่องเดียวกันก็เลยมีเรื่องให้คุย ก็เลยรู้สึกว่าเพื่อนในคลาสนี้ค่อนข้างน่ารักค่ะ
รู้จักก้อปันกันได้ยังไง ?
คุณแม่เป็นหาคนหาค่ะ เขาก็คง search internet ไปเรื่อย เพราะหนูก็ลองถามความคิดเห็นแม่ว่า ไปเรียนต่างประเทศดีไหม เพราะว่าค่าเทอมที่ประเทศไทยที่เป็นหลักสูตรอินเตอร์ก็เป็นล้าน คุณแม่ก็เลยหาให้ค่ะ
บริการก้อปันกันเป็นยังไงบ้าง ?
ก็มีข้อติบ้าง อันนี้อยู่ในหัวมานานแล้ว (หัวเราะ) คือ หนูมีความรู้สึกว่า ตอบไลน์ช้า หนูเข้าใจนะบางทีมันก็ดึกแล้วแหละ พรุ่งนี้เช้ามา เราก็รอคำตอบ เราก็ร้อนใจ เราจะไปเรียน หนูเป็นคนขี้ร้อนใจ แบบเมื่อไหร่จะตอบวะ บางทีก็ตอบช้าไปหน่อย เราอาจจะร้อนใจเกินไปด้วย เพราะพี่เขาไม่ได้ตอบทันที เป๊ะๆ ขนาดนั้น อันนี้ก็อยากจะติไปนิดนึง แต่ว่าโดยส่วนใหญ่ก็โอเค คือ ถ้ามีปัญหาโทรไปเขาก็ให้ความช่วยเหลือเต็มที่ แล้วก็ให้ข้อมูล เราอยากรู้อะไร เราก็บอกเขาก็ได้ เขาก็จะหาข้อมูลมาให้ได้ค่ะ อันนี้ดีค่ะ