รีวิว เรียนหลักสูตร MBA ที่แคนาดา
กับสถาบัน University Canada West โดยคุณแพรตตี้
อะไรทำให้ตัดสินใจมาเรียนต่อที่แคนาดา?
ตอนแรกเรียนจบป.ตรี และรู้สึกว่ายังไม่รู้จะไปทางไหน จะทำงานเลยหรือจะเรียนต่อดี แล้วส่วนตัวคุณแม่อยากให้เรียนต่ออยู่แล้ว พอดีมีลูกเพื่อนแม่ที่ไปเรียนต่อที่อังกฤษ เราเลยค้นหาข้อมูลดู แต่เท่าที่ดูแล้วอังกฤษไม่ค่อยใช่ตัวเองเท่าไหร่ เรื่อง connection สังคมคนไทย ไม่ค่อยธรรมชาติ คือมันก็ธรรมชาติถ้าออกนอกเมือง แต่พอมาดูฝั่งแวนคูเวอร์แล้ว มันใช้เวลาเรียนมากกว่านิดหน่อย อย่างตัว UCW หลักสูตร 2 ปี ใช้เวลาเรียนแค่ 1 ปี กับอีก 4 เดือน ก็คือสามารถจบได้ ถ้าเรียนต่อกันห้าเทอมแบบไม่หยุดเลย และถ้ามองในแง่เรายังไม่รู้อนาคต เราอาจจะชอบที่นี่และอยากอยู่ต่อ ที่แคนาดาสามารถขอ work permit ได้อีก 3 ปี ต่อจาก 2 ปีที่เรียนค่ะ มันก็เลยดูเป็นตัวเลือกที่กว้างที่สุด
หลังจากที่เลือกแคนาดาได้ก็มาดูว่าจะลงเมืองไหน และก็ตัดสินใจเลือกเมืองแวนคูเวอร์เพราะว่าเมืองนี้อุ่นที่สุด และมีทั้งชายหาดและภูเขา ในตัวเมืองมันมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก เพราะว่าด้วยความเป็น Introvert เราไม่ชอบการพบเจอคนมากนัก และหลังจากนั้นก็หาว่าอยากได้มหาวิทยาลัยอะไร และมันต่างจากที่ไทยคือ ที่ไทยมหาวิทยาลัยของรัฐจะถูก เอกชนแพง แต่ที่นี่เอกชนถูก รัฐแพง ซึ่งเรารู้สึกว่ามันใช้เงินมากเกินไป เราเลยมองเป็นม.เอกชน และก็เลือกเป็นป.โท MBA ของ UCW ค่ะ
ทำไมถึงเลือกเรียน หลักสูตร MBA ที่ University Canada West?
เพราะจบ BBA มาด้วยค่ะ จริง ๆ ไม่ได้เจาะจงว่าอยากเรียน MBA เพราะถามคนรอบตัวเขาจะบอกว่า ไม่ได้ต่างกันมาก จะต่างกันแค่นิดเดียว เราเรียน BBA มาก็ค่อนข้างแน่นแล้ว เลยอยากเรียนอย่างอื่น แต่พอดูอย่างอื่นแล้วส่วนใหญ่ที่นี่มันเป็น Postgraduate ก็เลยรู้สึกว่าเรียน MBA เลยก็แล้วกัน แล้วเราก็ไม่ต้องทำเอกสารเพิ่มด้วย สมมติว่าพอเราจบ BBA มาอยู่แล้ว มันจะเหมือน Fast track ที่เราไม่ต้องสอบอย่างอื่นเพิ่มและไม่ต้องเรียน Foundation ใช้แค่คะแนนภาษาอังกฤษ วุฒิ BBA แล้วก็เขียนจดหมายส่งนิดนึงค่ะ
การเรียนการสอนในหลักสูตรนี้ได้เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้างคะ?
ถ้าให้เปรียบเทียบ จริง ๆ มันเหมือน BBA ค่ะ แต่ความต่างอยู่ที่ว่า เขาจะสอนให้เรามองเป็น management มากขึ้น เช่น หัวข้อมันจะคล้าย ๆ เดิมเหมือนตอนที่เราเรียน BBA แต่ตอน BBA เขาสอนให้เราทำทุกอย่างให้เป็น แต่พอเป็น Master degree เหมือนเขาจะให้เรามองเป็นภาพรวมมากขึ้น การตัดสินใจ การเป็นเมเนเจอร์ในมุมมองการบริหาร นั่นคือความต่าง และก็ทางตัวมหาวิทยาลัยเองเขาก็เคลมว่า เขาเป็นเหมือน BBA ธรรมดาไม่ได้มี Major หรือ Minor ให้เลือก แต่เขาจะมี elective ให้เลือกได้สามตัว ซึ่งมันก็จะมี Leadership, Digital marketing, Financial management, Human resource, Entrepreneur, Business analytic, Operation management, Project management, Consulting ถ้าเราอยากเน้น field ไหน ก็สามารถเลือกให้อยู่ใน 3 ตัวเลือกนั้นได้ค่ะ
แล้วก็ถ้าให้ยกตัวอย่าง ส่วนตัวเรียน BBA เป็น International business และ Marketing เป็น Minor ซึ่งเรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยากเพิ่มอะไรในส่วนนั้นแล้ว พอมาเป็น MBA เลยเลือก Human resource แทน ซึ่งมหาลัยเขาก็จะมี Workshop เราก็เข้าไปฟัง และได้รู้ว่ามันมีทางนึงในการ graduate ซึ่งถ้าหนูเรียนตัวหลัก HR สามตัวรวด เขาก็สามารถ exempt exam ตัว CPHR ให้ได้ ซึ่ง CPHR คือ ตัว certificate ขององค์กรที่เหมือนกับ HR ของที่นี่ ซึ่งถ้าเรามีอันนี้ต่อท้ายชื่อ เหมือนเราก็จะได้รับการยอมรับไปในตัวว่าเราอยู่ในกลุ่มนี้ ถ้าสมมติเป็นฝั่ง account ก็จะเหมือนสอบ audit มันจะเหมือนการสอบอะไรสักอย่างเพื่อตัวนำหน้าหรือลงท้ายชื่อเพิ่มเข้าไป มันก็จะได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่ง HR ใน BC จะเรียกว่า CPHR จริง ๆ ต้องสอบแต่ถ้าเราเรียนกับมหาวิทยาลัย 3 ตัวนี้ เราสามารถยื่นเรื่อง exempt ได้ พอเรียนจบปุ๊บเรายื่นเรื่อง exempt ได้เลยเราก็จะได้ designation มา ที่เหลือก็จะเป็นการเก็บประสบการณ์เพื่อที่จะให้เป็น Candidate ตัวจริง มันก็จะมี path ของสายงานเขา เพื่อที่ในอนาคตมันจะโดดเด่นมากขึ้น มากกว่าเด็ก MBA ทั่วไป
ส่วนในคลาสเรียนมีทั้งงานเดี่ยว งานกลุ่ม เขาจะแบ่งเป็น 1 วิชาเรียน 2 วัน วันนึงจะเป็นเลคเชอร์ คือเราต้องไปที่แคมปัส แต่อีก 1 วัน เป็นการเรียนออนไลน์ เขาจะเรียกว่า OGL ซึ่งแล้วแต่ว่าอาจารย์แต่ละคนจะออกแบบ OGL ของตัวเองยังไง บางคนก็สอนเลคเชอร์เพิ่ม บางคนก็ใช้เป็น discussion บางคนก็ให้ทำงานที่เขาสั่งไว้โดยไม่ต้องล็อกอินอะไร กลายเป็นว่าเลคเชอร์ใช้เวลา 1.50 ชม. และอีก 1.50 ชม.ที่เหลือ เราต้องทำอะไรสักอย่าง โดยส่วนตัวคิดว่าเลคเชอร์น้อยไป และงานมันเยอะเกินไป เราชอบเรียนในห้องมากกว่า ส่วนงานก็ทั่วไปเลยค่ะมีทั้งงานเดี่ยว งานกลุ่ม มี Quiz มี Final ก็แล้วแต่ว่าอาจารย์จะออกแบบให้ syllabus มันออกมาเป็นยังไง
เพื่อน 85-90% เป็นอินเดีย ส่วนที่เหลือก็จะมีศรีลังกา ไนจีเรีย จีน ส่วนตัวชอบครูที่นี่ เรื่องสไตล์การสอน การออกข้อสอบ ก็เหมือนทั่วไปค่ะที่เราก็อยากได้ครูที่ให้เกรดดี มีบางคนที่เขาสอนดีแต่ออกข้อสอบยากมาก แต่ครูส่วนใหญ่เขาจะเล่าประสบการณ์ในสายงานเขา เช่น เทอมนี้หนูเรียน OPM แล้วเขาเคยทำงานในโรงงานแห่งหนึ่งมาก่อน เขาก็จะเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นในงานให้ฟัง อย่างฝั่ง HR ก็จะเล่าในฝั่งของตัวเอง ซึ่งมันก็ดี เพราะเราไม่มี Canadian experience เลย แต่ว่าความรู้สึกส่วนตัวที่เป็น Master Degree กับ Postgraduate มันจะต่างกันตรงทำ Research ถ้าจะเรียน MBA เตรียมตัวทำ report ได้เลยค่ะ แต่ถ้าเป็น Postgraduate เขาจะเน้นทำจริงมากกว่า ส่วนตัวของมหาวิทยาลัยเทอมนี้และก็ตอนเรียนเขามีให้ทำเคส อย่างเทอมนี้อาจารย์เขาติดต่อกับธุรกิจข้างนอกเพื่อให้มาแนะนำว่า Business เขาทำอะไร product เขาทำอะไร และปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไรและเราจะแก้ปัญหาให้เขายังไง เราก็จะปรึกษากับอาจารย์และนำเสนอการแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้กับเขาจริง ๆ เลย
หลังจากเรียนหลักสูตรนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง ช่วยรีวิวหลักสูตรนี้ให้ฟังหน่อยค่ะ?
รู้สึกว่าถ้าคนที่ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนน่าจะเครียดมาก คือต้องเกริ่นก่อนว่า BBA ที่เรียน หนูจบมหิดลอินเตอร์ซึ่งไม่เคยอิงกลุ่มเลย จะเป็นอิงเกณฑ์ตลอด และเกณฑ์ของเขาจะได้ A เมื่อได้ 90 ซึ่งปกติมหาลัยทั่วไป A อยู่ที่ 80 พอมาอยู่ที่นี่ ระบบการคิดคะแนนของเขามันเป็น 4.3 ไม่ใช่ 4 เหมือนที่ไทย หมายความว่า มันมี A+, A, A- ที่นี่คะแนนสูงที่สุดคือ 4.33 เพราะฉะนั้น A ปกติ คือ 85-89 และ A+ คือ 90-100 เกณฑ์มันตัดค่อนข้างสูง คือที่ไทยเราก็เครียดเรื่องเกรดที่นี่มาก็เหมือนกัน อารมณ์แบบสภาพแวดล้อมเดิม แต่ว่าคนอื่นที่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มา น่าจะเครียดถ้าอยากได้เกรดดีดี ไม่ใช่แค่ผ่านอ่าค่ะ ถ้าผ่านต้องได้ 72% ก็ค่อนข้างสูง
ถ้าคนที่ไม่ได้จบทางด้านนี้มา สามารถเข้าเรียนในหลักสูตรนี้ได้ไหม?
ได้ค่ะ สามารถเข้าเรียนในหลักสูตรนี้ได้เหมือนกันค่ะ แต่ต้องเรียน Foundation ก่อนที่จะเริ่มเรียนจริง หรืออาจจะต้องสอบอะไรเพิ่มเติมไหม อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เท่าที่ฟังเพื่อนที่จบวิศวะมา คือ MBA เป็นเหมือนต่อยอดผู้บริหาร สมมติคุณจบวิศวะมาแต่อยากต่อยอดเป็นผู้บริหารของวิศวะ คุณก็ต้องเรียน MBA ด้วย เพื่อนที่รู้จักก็เรียน Foundation 1 เทอม และก็เข้าเรียนตามปกติค่ะ
University Canada West มีบริการอะไร Support นักเรียนบ้างคะ?
เขามี workshop ให้เข้าเยอะมาก เราสามารถเข้าเช็คตารางในเว็บไซต์ได้ มีนำการทำเรซูเม่ แนะนำการหาบ้าน แนะนำเรื่องทางกฎหมาย เขาจะมีเป็น department เลย สามารถปรึกษาเรื่องวีซ่าหรือ permit ก็ได้ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็มี Tutor จะเป็นคนที่เขาเรียนมาก่อนหน้าเราและได้คะแนนดีมาช่วยสอนเราฟรี เราสามารถจองเรียนกับเขาได้
ช่วยแชร์ประสบการณ์การหางานและการทำงานที่แวนคูเวอร์ได้ไหมคะ?
ของเรามาหางานช่วงหลังจากผ่านเทอมแรกไปแล้ว เพราะต้องการปรับตัวเรื่องระบบการเรียน การมาอยู่ที่นี่บวกกับทางบ้านไม่ได้ซีเรียสกับการทำงาน เขาอยากให้เต็มที่กับการเรียน หลังจากจบ 1 เทอม ก็ทำเรซูเม่ตามที่มหาลัยแนะนำ เรซูเม่ที่นี่เขาจะแตกต่างจากที่ไทย เขาจะไม่ให้ใส่รูป ไม่ให้ระบุเพศที่บ่งบอกถึงการมีอคติต่าง ๆ ได้ แล้วเราก็ไปส่งใน Linkedin กับ Indeed ซึ่งหางานยากมาก หนูใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ก็ได้งานที่ Pandora ทำเป็น Sales ซึ่งอยากแนะนำว่า Networking สำคัญจริง ๆ ถ้ามีเพื่อนและให้เพื่อนช่วย reference ทุกอย่างมันจะเร็วและง่ายขึ้น เพราะว่าส่วนตัวตอนที่ก่อนจะได้ Pandora ก็มีเพื่อนที่ทำงานที่ T&T refer ให้ เขาก็ให้เข้าไปกรอกเอกสารและก็จะติดต่อกลับมาตอนที่มีตำแหน่งว่าง แต่ตอนที่เขาติดต่อกลับมา เราได้ที่ Pandora ไปแล้ว ก็ขอบคุณตรงส่วนนั้น แต่ระยะเวลาไม่นานเลย เหมือนรอแค่ตำแหน่งว่าง แล้วชื่อเราจะเป็นคนแรก ๆ ที่เขาเรียกเข้าไปสัมภาษณ์
ช่วยแชร์ประสบการณ์ทำงานกับ Pandora ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ?
จริง ๆ ไม่เคยทำงานที่อื่นมาก่อนค่ะ แต่เท่าที่ฟังจากประสบการณ์ของเพื่อนรู้สึกว่ามันเป็นระบบระดับนึง เราสามารถเช็คตารางงานได้ เช็ค Payroll ได้ อย่างเพื่อนทำร้านอาหารไทย ตัวเขาเองไม่รู้ว่าทิปที่เขาได้มาจากไหน หรือ เงินที่เขาควรจะได้ เขาคิดคำนวณยังไง เพราะร้านเขาไม่ได้มีระบบให้ Log-in/Log-out แต่อย่าง Pandora ตอนเข้างานเขามี เพราะฉะนั้นจำนวนชั่วโมงการทำงานมันจะเป๊ะ แต่มันได้อย่างเสียอย่าง เพราะทำงานร้านอาหารมันก็จะได้ทิปเยอะหน่อย และอย่าง Pandora เขาจะมีระบบออนไลน์ให้เราเข้าไปเรียนรู้ เกี่ยวกับ Product ของเขาทั้งหมด เรียนรู้เรื่องนโยบาย และเทรนทุกอย่าง ซึ่งหน้าร้านเทรนแค่ 1 สัปดาห์ เราไปเดินตามเพื่อนร่วมงานว่าเขาทำยังไงบ้าง เช่นได้ของมา ให้คีย์เข้าระบบด้วยโค้ดนี้ เรารับการจ่ายเงินแบบไหนบ้าง ส่วนเรื่องการพูดการขายก็แล้วแต่เราเลย ช่วงแรกค่อนข้างลำบาก เพราะ Pandora มีเป็นพัน SKU ซึ่งมันทำให้หาของยาก อย่างแบบลูกค้าต้องการของสิ่งนี้หนึ่งอัน เราต้องหาให้เจอภายในเวลาไม่กี่นาที มันยากตรงหาของและทำความรู้จักสินค้าค่ะ แต่ว่านอกนั้น คือขายของทั่วไปค่ะ
มีวิธีการหาที่พักที่แคนาดาอย่างไรคะ?
ตอนแรกเลยให้คนหาให้ค่ะ แต่ปัจจุบันหาใน Facebook marketplace และก็ในเพจคนไทยที่หาบ้านอ่าค่ะ หรือเว็บไซต์ Craigslist แต่ต้องดูดีดีเพราะว่าระวังโดนหลอก จะมีมาหลากหลายรูปแบบค่ะ
เมืองแวนคูเวอร์เป็นยังไง หลังจากอยู่แล้วเมืองนี้มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้างคะ?
ส่วนตัวด้วยความที่เคยอยู่มาหลายประเทศ อเมริกา ออสเตรีย เกาหลีระยะสั้นสามเดือน ส่วนตัวรู้สึกว่าระบบขนส่งยังเทียบยุโรปกับเกาหลีไม่ได้ รู้สึกว่าอยู่ยาวแล้วมีรถจะสะดวกกว่ามาก สมมติถ้าเราอยากไปเที่ยวไหนที่มันไกล ๆ ต้องมีรถอย่างเดียว ถ้านั่งบัสต้องต่อหลายต่อ เลยรู้สึกว่าเรื่องระบบขนส่งมันไปได้มากกว่านี้ แต่เรื่องสภาพอากาศ เราไม่ติดที่มันฝนตกก็เลยโอเค air quality ดี แต่อาจจะไม่ได้ชอบแวนคูเวอร์ขนาดนั้น เพราะค่าครองชีพแพงมาก Tax 12% ตอนนี้ที่ตัดสินใจในอนาคต คือ ขอ work permit ต่อแน่ ๆ แต่ยังไม่รู้ว่าอยากได้ถึงขั้น PR/Citizen ไหม เพราะถ้าอยู่ระยะยาวจริง ๆ คงไม่อยู่แวนคูเวอร์ คงอยู่เมืองอื่นแทน เพราะถ้าสมมติย้ายไป Alberta tax 5% เราน่าจะได้การกินอยู่ที่ดีขึ้นกว่าที่นี่
แต่ข้อดีของเมืองนี้คือมันอุ่นที่สุด และมันติดทะเลกับภูเขาจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ คนชอบธรรมชาติน่าจะชอบ แล้วก็สวนเยอะมาก ในทุก ๆ ย่าน จะมีสวนอยู่ทั้งเล็กใหญ่ อย่างน้อย ๆ ใน 1 หมู่บ้านจะมีสวนเล็ก ๆ ให้ไปเดินเล่นได้ อาหารหาง่าย มีทุกชาติแล้วแต่ว่าอยากกินอะไร แต่ถ้าเป็นข้อเสียด้วยความที่มันอุ่นสุด คนไร้บ้านเลยเยอะที่สุด เพราะเขาต้องหนีอากาศหนาวมาอยู่ที่นี่ แต่ถ้าเราไม่เข้าไปโซนที่เขาอยู่ก็ไม่ได้เป็นข้อเสียขนาดนั้น บวกกับเรื่องระบบขนส่งมันไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่และก็ค่าครองชีพสูงค่ะ
ส่วนใหญ่น้องแพรตตี้ทำกิจกรรมอะไรช่วงวันหยุดบ้างคะ?
ส่วนใหญ่หนูชอบออกไปเดินแถวบ้าน ถึงบอกว่าเจอสวนเยอะมาก เดินไปฝั่งซ้าย ข้างหลัง หรือข้างหน้า เจอสวนหมดเลยค่ะ และก็มี Public center ที่เราจ่ายเงินเป็นสมาชิกแล้วเข้าไปว่ายน้ำก็มี แล้วก็ส่วนใหญ่ถ้าไม่นับเข้าไปเดินเที่ยวเล่นในเมืองเฉย ๆ ก็จะชอบไป North Vancouver จะไปเดินที่ Lynn Canyon อะไรงี้ค่ะ แต่ตอนเรามาคือช่วงหน้าหนาว มันมืดตั้งแต่สี่โมงครึ่ง เราก็เฝ้ารอซัมเอร์ ซัมเมอร์จะมืด 3 ทุ่มครึ่ง แต่พอซัมเมอร์ดันเป็นช่วงเทอมแรกที่ยุ่งมากบวกกับแฟนก็มาเรียนต่อช่วงนั้นพอดี สรุปก็คือไม่ได้ทำสิ่งที่คิดว่าจะได้ทำช่วงหน้าร้อน ถ้าไปก็ไปเดินชายหาดเล่น ๆ ไรงี้ค่ะ
ก่อนมาแคนาดามีข้อกังวลอะไรบ้างไหม และมีวิธีการรับมือและแก้ไขปัญหายังไง?
ส่วนตัวที่เคยแจ้งว่า เป็นคนที่เคยไปแลกเปลี่ยนมาหลายประเทศเลยไม่ได้มีความกังวลกับการปรับตัว เจอสังคมใหม่ หรือการใช้ภาษาอังกฤษ แต่เท่าที่มองย้อนกลับไป สิ่งที่กังวลที่สุดคือการหาบ้าน เพราะว่าตอนที่เราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเราไม่ต้องหาบ้านเอง แล้วพอมาที่นี่เราต้องหาบ้านเอง ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทำ ID สมัคร SIN Number ทำ MSP เอง สมัครบัญชีธนาคารเอง เพราะตอนเราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ต้องใช้ชีวิตข้างนอกก็จริงแต่เรื่องพวกนี้เรามีโฮสท์ให้คำปรึกษา แต่ว่าเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมด ตอนนี้เราต้องทำทั้งหมดด้วยตัวเอง และเราทำ research เยอะมาก ดูยูทูปด้วย หรือก้อปันกันก็มีเพจอธิบายรายละเอียดทั้งหมดไว้แล้ว เราก็ทำไปตามขั้นตอนได้ แต่ว่าสิ่งที่มันกังวลและแก้ไม่ได้ คือการหาบ้าน เพราะไม่รู้จักใครที่นี่เลย สุดท้ายเลยจ้างคนหาให้ในครั้งแรก
มีข้อคิด คำแนะนำอะไรสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจอยากมาเรียนต่อหรือมาอยู่แคนาดาบ้างไหม?
ส่วนตัวด้วยความที่หนูเป็นคน organised และหาข้อมูลเยอะมาก อยากรู้สเต็ปต่อไปคืออะไร และก็ภาพรวมทั้งหมดคืออะไร หนูว่ามันช่วยได้เยอะมากกับการที่เรามาอยู่ต่างประเทศ เพราะมันคือระบบใหม่ รัฐบาลใหม่ การเป็นอยู่ใหม่ ขนส่งสาธารณะใหม่ เลยอยากให้หาข้อมูลเยอะ ๆ ซึ่งในก้อปันกันเวลาทำ task แต่ละ task เขาจะมีลิงค์ให้อ่าน ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปคิดว่าข้อมูลเหล่านั้นเพียงพอแล้ว
รีวิวก้อปันกันให้ฟังได้ไหมคะ อะไรทำให้เลือกใช้บริการของก้อปันกัน?
สิ่งหนึ่งที่ชอบเลย คือช่วง gap ก่อนที่หนูจะมาที่นี่ คือหนูไปอยู่เกาหลีสามเดือน แล้วเอกสารวีซ่ามันควรจะยื่นเสร็จก่อนที่หนูจะไปเกาหลี แต่ว่ามันดันช้า มันเลยกลายเป็นว่า ถ้าหนูยื่นไปแล้วหนูอาจจะได้ในระหว่างที่หนูต้องให้พาสปอร์ตกับเขาแต่ว่าหนูต้องบิน มันเป็นช่วงเวลาก้ำกึ่งมาก เลยปรึกษากับพี่เขา แล้วได้ข้อสรุปว่าให้ไปยื่นเอกสารทั้งหมดที่เกาหลี ซึ่งที่ประทับใจเพราะว่า ข้อมูลอื่น ๆ หนูหาเองได้ข้างนอก แต่ข้อมูลอันนี้หนูหาไม่ได้ เลยรู้สึกว่าเขาให้ข้อมูลที่ถูกต้องและพี่เขาพยายามจะช่วยค่ะ อีกอย่าง คือ เคสแฟนตอนมาเขาติดเรื่อง Police report ซึ่งทุกอย่างมันบีบคั้นเรื่องเวลาด้วย แต่เขาก็ให้คำปรึกษาและเขาก็อยู่ตรงนั้นพยายามช่วยแนะนำช่วยแก้ปัญหา และสุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ