เรียนต่ออเมริกา แคนาดา เลือกมหาวิทยาลัยยังไงดี ?
ไม่ว่าคุณเพิ่งเริ่มจะมีความสนใจ หรือกำลังวางแผนที่จะเรียนต่อต่างประเทศ และอาจจะไม่แน่ใจว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร? จะเลือกสถาบันอย่างไรดี? โดยเฉพาะอย่างในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยรวมกันมากกว่า 4,000 สถาบัน … แล้วเราจะเลือกเราจะตัดสินใจอย่างไรดี?
เราจะแนะนำปัจจัยพื้นฐานที่ควรคำนึงถึงในการค้นหาข้อมูลและวางแผนสำหรับการเรียนต่อต่างประเทศ โดยเฉพาะสำหรับการเรียนต่ออเมริกาและแคนาดา
Photo Credit : John-Mark Smith from Pexels
1) Location หรือแหล่งที่ตั้ง ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการค้นหาและเลือกสถาบัน
เราอาจจะเริ่มต้นจากการค้นหาสถาบันที่ตั้งอยู่ภายในรัฐที่เราสนใจอยู่แล้ว เช่น รัฐ Washington, รัฐ Oregon, รัฐ Illinois หรือ รัฐ New York ในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือรัฐ British Columbia, รัฐ Alberta หรือ รัฐ Ontario ในประเทศแคนาดา ในแต่ละรัฐจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งจะตอบโจทย์ เงื่อนไข หรือความต้องการของแต่ละคนในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป เช่น รัฐ Oregon ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็น 1 ใน 5 รัฐของอเมริกาที่ไม่มีภาษีซื้อขาย ซึ่งอาจช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายจากการซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน หรือ รัฐ New York ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ ฝั่งตะวันออกของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสภาพที่อากาศที่หนาวเย็นกว่ารัฐทางตอนใต้ เช่น Florida และ California เป็นต้น
สำหรับประเทศแคนาดา รัฐ Quebec นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตร diploma หรือปริญญาจากสถาบันในรัฐนั้น สามารถยื่นสมัครขอสถานะ Permanent Resident (PR) ได้เลย โดยไม่ต้องทำงาน เพียงแต่เราจะต้องสอบวัดระภาษาฝรั่งเศสให้ผ่านเกณฑ์ ขณะที่รัฐอื่นในประเทศแคนาดา เราจะต้องทำงานหลังสำเร็จการศึกษาให้ครบ 1 ปี เป็นอย่างต่ำ เพื่อให้มีคุณสมบัติสำหรับการยื่นสมัครขอ PR
นอกจากนี้แล้วการตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราต้องการใช้ชีวิตในเมืองขนาดใหญ่ มีชีวิตที่รวดเร็ว ผู้คนมากมาย หรือชานเมืองที่เป็นย่านพักอาศัยของผู้คน สามารถเดินทางเข้าออกเมืองได้ ไม่วุ่นวาย หรือเมืองขนาดเล็กที่มีความเป็นชุมชน มีกิจกรรมร่วมกัน ก็อาจช่วยในการพิจารณาเลือกสถาบันการศึกษา ที่เหมาะกับเราความเป็นอยู่ของเราได้
ตัวอย่างจากประสบการณ์ของผม แรกเริ่มผมสนใจที่จะสมัครไปเรียนต่อวิทยาลัยในรัฐ California เพราะต้องการไปอยู่ในรัฐที่ไม่หนาวจนเกินไป มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ สัญชาติของผู้คน แต่สุดท้าย ผมตัดสินใจเลือกไปรัฐ Washington (ไม่ใช่ D.C.) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือฝั่งตะวันตก เนื่องจากมีความหลากหลายของผู้คน ถึงแม้จะมีอากาศที่เย็น แต่ไม่หนาวเท่าฝั่งตะวันออกทางตอนเหนือ มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาตินอกตัวเมืองที่น่าสัมผัส และมีค่าครองชีพของรัฐในช่วงปี 2009 นั้นต่ำกว่า California พอสมควร … และผมเองได้เลือกไปอยู่ย่านชานเมืองของ Seattle เนื่องจากต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย สภาพแวดล้อมที่มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่าในเมือง (เพราะอยู่กรุงเทพ จนเบื่อบรรยายกาศความเป็นเมืองๆ อยากไปมีประสบการณ์ที่แตกต่าง) ในขณะเดียวกันการเดินทางเข้าหาสิ่งอำนวยความสะดวก และจุดสำคัญของเมืองก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ลำบากจนเกินไป
ดังนั้นการคำนึงถึงสภาพอากาศ และสภาพแวดล้อมของเมืองที่จะเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ ความสนใจและความต้องการของเราจึงนับได้ว่าเป็นปัจจัยหนึ่ง สำหรับการค้นหาและเลือกสถาบัน
*ทั้งนี้เมืองและรัฐในต่างประเทศอาจจะซ้ำซ้อนและสร้างความสับสน เช่น รัฐ Washington เป็นรัฐที่อยู่ฝั่ง Westcoast ของสหรัฐอเมริกา แตกต่างจากเมือง Washington D.C. ที่อยู่ฝั่ง East Coast และชื่อเมือง Portland หรือ Vancouver อาจมีอยู่ในรัฐ/ประเทศที่แตกต่างกันออกไป ควรจะระมัดระวังในการศึกษาตัวเลือก
Photo Credit : Pixabay from Pexels
2) Area of study : สาขาการเรียนที่สนใจ … ไม่ใช่ทุกสถาบันที่จะมีสาขาที่เราต้องการเรียน
สำหรับการเรียนต่อป.ตรีในอเมริกา และแคนาดา โดยทั่วไปแล้ว วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมักจะเป็นสอนวิชาพื้นฐานสำหรับสาขาการเรียนต่างๆในระดับพื้นฐานที่ไม่แตกต่างกัน เนื่องจากจะเป็นหลักสูตรที่เรียกว่า Liberal Arts ที่ผู้เรียนจะได้เรียนวิชาเรียนในภาคแขนงต่างๆให้มีความรู้และความสามารถแบบรอบด้าน รวมถึง English, Mathmatics, Science, Art, Social Science ในช่วงปี 1-2 ของหลักสูตรปริญญาตรี
เมื่อเราต้องการศึกษาต่อในช่วงชั้นปีที่ 3-4 ของหลักสูตรปริญญาตรี เราจะได้ศึกษาในเชิงลึกของสาขาการเรียน (major) ที่เราสนใจ หรือที่เราเรียกว่า concentration ซึ่งในส่วนนี้จะมีความแตกต่างกันตามแต่ละสถาบัน ยกตัวอย่าง …
Foster Business School ของ University Of Washington (UW) เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีด้านธุรกิจ โดยมีสาขาให้เลือกดังนี้ Accounting, Entrepreneurship, Finance, Human Resources Management, Information Systems, Marketing, Operations and Supply Chain Management ในขณะที่ Carson College of Business ของ Washington State University (WSU) เปิดสอนสาขาดังนี้ Accounting, Management, Information System, and Entrepreneurship, Hospitality Business Management, Finance and Management Science และ Marketing and International Business …ในกรณีนี้ ระหว่าง 2 มหาวิทยาลัยนี้ หาก A ต้องการศึกษาเกี่ยวกับ Human Resources Management หรือ Operation and Supply Chain Management คงจะต้องเลือกไปเรียนที่ UW ในขณะที่ WSU คงจะตอบโจทย์ B ที่สนใจเรียนด้าน Hospitality Business Management หรือ International Business มากกว่า
… สำหรับคุณ A ที่ต้องการเรียนต่อด้าน Business Analytics อาจจะต้องหาตัวเลือกอื่นนอกจาก 2 มหาวิทยาลัยนี้ เช่น Seattle University (SU) ที่มีโรงเรียนด้านธุรกิจชื่อ Albers School of Business and Economics ที่เปิดสอนด้าน Business Analytics หรือสำหรับคุณ B ต้องการเรียนด้านปริญญาตรีด้านธุรกิจ ที่เกี่ยวกับการออกแแบเสื้อผ้า (Apparel Design) การออกแบบการฟฟิค (Graphic Design) หรือการออกแบบภายใน (Interior Design) College of Business ของ Oregon State University อาจจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดก็เป็นได้
สำหรับการศึกษาต่อระดับปริญญาโท (Graduate / Master) ผู้ที่สนใจควรจะตอบตนเองให้ได้ว่า ต้องการเรียนปริญญาโทด้านใด?ต้องการศึกษาเพิ่มเติมในประเด็นเป็นพิเศษ ไหม? และนอกจากวุฒิการศึกษาที่จะได้รับแล้ว ต้องการนำความรู้ ทักษะและประสบการณ์ที่ได้รับเพื่อใช้ทำอะไรต่อไป? เมื่อสามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้โดยสังเขปแล้ว เราจะสามารถเริ่มค้นหาได้ว่าควรเรียนป.โทหลักสูตรใด และมีสถาบันใดเปิดสอนบ้าง สถาบันการศึกษามักจะมีความคาดหวังให้ผู้ที่จะสมัครเรียนต่อระดับปริญญาโท มีความชัดเจนในส่วนนี้
Photo Credit : YURI MANEI from Pexels
3) Ranking : การจัดลำดับมหาวิทยาลัย
ผู้คนจำนวนมาก รวมถึงตัวผมเอง มักจะใช้ Ranking หรือการจัดลำดับมหาวิทยาลัย หรือวิทยาลัยในการพิจารณาเลือกสถาบัน ถึงแม้ว่า Ranking อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้เราพิจารณาเลือกสถาบันได้ การตัดสินใจเลือกสถาบันจาก Ranking โดยไม่ได้พิจารณาถึงรายละเอียดของการจัดลำดับก็อาจสร้างสภาวะของความมืดบอดให้เกิดขึ้นได้ กล่าวคือ มันอาจจะมีสถาบันที่เหมาะสมกับโจทย์ เงื่อนไขและความต้องการต่างๆของเรามากกว่าสถาบันที่ Ranking สูง แต่ถูกมองข้ามไปก็เป็นได้
เมื่อเราดูหรือพูดถึง Ranking อาจจะต้องคำนึงไว้ว่า ranking มีหลายประเภท อาทิ
• National Universities ranking ระดับประเทศ,
• National Liberal Arts Colleges สำหรับประเภทของ liberal arts colleges,
• Regional universities มหาวิทยาลัยระดับภูมิภาค,
• Regional colleges วิทยาลัยระดับภูมิภาค, หรือ specialty เช่น ranking ตามโปรแกรมการเรียน เช่น Finance, Business Management, Computer Sciences, Engineering เป็นต้น
แนะนำแหล่งข้อมูลสำหรับการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ranking
• U.S. News Ranking : https://www.usnews.com/education/best-colleges/articles/ranking-category-definitions
• Best Graduate School Ranking : https://www.usnews.com/best-graduate-schools/rankings
สำหรับผู้ติดตามก้อปันกันและสนใจการเรียนต่อ community college อเมริกา เราขอแจ้งไว้ที่นี้เลยนะครับว่า Community Colleges จะไม่มีการจัด ranking เหมือนมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัย 4 ปี เราจะเลือกสถาบันจากที่ตั้ง บริการและสาขาการเรียนที่สนใจเป็นหลัก
Photo Credit : Rudy and Peter Skitterians from Pixabay
4) Cost : ค่าใช้จ่าย งบประมาณ และทุนการศึกษา
ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมาก คือ การพิจารณาถึงค่าใช้จ่าย งบประมาณตลอดจนทุนการศึกษา สำหรับการเรียนต่อต่างประเทศ
สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา เรียนต่อปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย 4 ปี ค่าเล่าเรียน (tuition) ขั้นต่ำสุดจะอยู่ที่ประมาณ $18,000 – $20,000 USD ในขณะที่ค่าเล่าเรียนสูงสุดจะอยู่ที่ประมาณ $60,000 – $62,000 USD ต่อปีการศึกษา ซึ่งจะมีทุนให้นักศึกษาต่างชาติบ้างเป็นบางส่วน แต่เป็นไปได้ยากที่จะหาทุนเต็มจำนวน นอกจากผู้สมัครจะมีผลการเรียนและโปร์ไฟล์ส่วนตัวที่โดดเด่นจริงๆ สำหรับทุนการศึกษาทั่วไปอาจจะอยู่ที่ประมาณ $2,000 – $18,000 USD ต่อปีการศึกษา และสามารถ renew ได้ในแต่ละปี
สำหรับค่าเล่าเรียนในวิทยาลัยชุมชน หรือ community college สำหรับการเรียน 2 ปีแรกของหลักสูตรปริญญาตรี ก่อนโอนเข้ารับการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย 4 ปี จะมีอยู่ใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ $9,000 – $12,000 USD ต่อปีการศึกษา ซึ่งประหยัดการค่าใช้จ่ายของมหาวิทยาลัยไปได้มากกว่า 50% และวิทยาลัยชุมชนหลายที่มักจะมีทุนลดหย่อนค่าเล่าเรียนให้กับนักเรียนประมาณ $500 – $3,500 USD อีกด้วย
ทั้งนี้สำหรับการเรียนต่อป.โทในอเมริกา ค่าเล่าเรียนโดยทั่วไปแล้วจะอยู่ที่ประมาณ $12,000 – $30,00 USD โดยเฉลี่ย ซึ่งอาจะขึ้นอยู่กับหลักสูตรและสถาบัน อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยโดยทั่วไปมักจะไม่ค่อยมีหรือมีทุนลดหย่อนค่าเล่าเรียนให้กับนักศึกษาต่างชาติ ในอัตราที่จำกัดมากกว่าการเรียนต่อระดับปริญญาตี
หากผู้ที่สนใจเรียนต่อต่างประเทศ ต้องการมหาวิทยาลัยที่มีทุนให้กับนักศึกษาต่างชาติในอัตราที่สูง มหาวิทยาลัยที่อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังในระดับสากล และตั้งอยู่ในย่านเมืองขนาดเล็ก แต่เป็นสถาบันที่ได้รับการรับรองด้านคุณภาพและตรวจสอบโดยรัฐบาล มักจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
ยกตัวอย่าง Valparaiso University รัฐ Indiana ตั้งห่างจาก Chicago ประมาณ 1 ชม. มีค่าเล่าเรียนป.ตรี $37,550 USD แต่มีทุนให้ระหว่าง $5,000 – $25,00 USD สำหรับค่าเล่าเรียนป.โทอยู่ที่ประมาณ $23,310 USD และมีทุนให้ประมาณ $2,000 – $6,000 USD หรือ Saginaw Valley State University (SVSU) ในรัฐ Michigan ซึ่งตั้งอยู่ห่างจาก Detrior ประมาณ 2 ชั่วโมง มีค่าเล่าเรียนป.ตรี $24,823 USD (ทุน $12,308 USD) มีค่าเล่าเรียนป.โท $20,577 USD (ทุน 8,138 USD) ต่อปีการศึกษา หรือ University of North Alabama รัฐ Alabama ตั้งอยู่ห่างจาก Bermingham ประมาณ 2 ชั่วโมง มีค่าเล่าเรียนสำหรับหลักสูตรป.ตรีประมาณ $16,620 USD และ $12,000 USD สำหรับหลักสูตรป.โท แถมยังมีทุนลดหย่อนค่าเล่าเรียนมูลค่า $3,000 USD และยังฟรีค่าหอพักแบบ 2 เตียง สำหรับทั้งระดับป.ตรีและป.โทอีกด้วย
สำหรับประเทศแคนาดา ค่าเล่าเรียนปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัย 4 ปี ต่ำสุดจะอย่ที่ประมาณ $13,000 – $18,000 CAD ในขณะที่อัตราสูงสุดจะดอยู่ที่ประมาณ $43,000 – $50,000 CAD ต่อปีการศึกษา สำหรับการเรียนต่อประเทศแคนาดามีความน่าสนใจ คือ อัตราแลกเปลี่ยนที่ต่ำกว่า USD และในขณะที่เรียนหลักสูตร diploma ปริญญาตรีหรือปริญญาโท ผู้เรียนสามารถทำงานทั้งในและนอกสถานศึกษาได้อย่างถูกกฎหมาย ไม่เกินว่า 20 สัปดาห์ของช่วงเปิดเทอม และเต็มเวลาในช่วงเบรคปิดเทอม
ค่าใช้จ่ายนี้จะยังไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าที่พัก ค่าธรรมเนียมอื่นๆ และค่าตั๋วเครื่องบิน เราจำเป็นต้องคำนึงถึงอัตราค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมต่อปีการศึกษา ตลอดจนจบหลักสูตรการเรียนตามที่คาดหวังและตั้งใจ
สุดท้ายนี้ หากยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร และต้องการมีผู้เชี่ยวชาญในการแนะนำให้คำปรึกษา สามารถติดต่อก้อปันกันมาได้เลย !!