[รีวิว] เรียนหลักสูตร Diploma Culinary Art ที่แคนาดา กับสถาบัน VCC โดย คุณฟาง

รีวิว เรียนหลักสูตร Diploma Culinary Art
สถาบัน Vancouver Community College (VCC)

โดย คุณฟาง

อะไรทำให้ตัดสินใจมาเรียนต่อที่แคนาดา?

ลูกนี่แหละ ตัวพี่วางแผนว่าวันหนึ่งอยากส่งลูกไปต่างประเทศ แต่ว่าด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่ไทยและมีกลุ่มย้ายประเทศ บวกกับตัวแฟนของพี่ก็มีความสนใจที่อยากจะลองไปเหมือนกัน คือไม่ได้แค่ส่งลูกไปแต่เราลองไปกันด้วยเลย จุดประสงค์ที่มาคืออยากได้ PR เราก็เลยต้องมาด้วย ตอนพี่เริ่มทำเรื่อง เริ่มวางแผนช่วงปี 2021 ช่วงนั้นกระแสย้ายประเทศกำลังดังมาก พี่ก็กังวลนะว่ามันจะผ่านไหม ตอนแรกพี่ไม่ได้มองว่าจะมาแคนาดา พี่จะไปออสเตรเลีย แต่เงื่อนไขการได้ PR ที่ออสเตรเลียมันไม่ตอบโจทย์กับพี่ อีกอย่างหนึ่งการลงทุนพวกค่าเรียน ค่าใช้จ่ายที่แคนาดาไม่ได้สูงมากเท่ากับออสเตรเลีย

บวกกับพี่มาเจอเพื่อนในเฟซบุ๊กแนะนำพี่ว่าไม่สนใจมาแคนาดาหรอ เด็ก ๆ ได้เรียนฟรีนะ พี่ก็เลยได้มาฉุกคิดและลองศึกษาเกี่ยวกับประเทศแคนาดาดู เลยเป็นสิ่งที่จุดประกายพี่ให้เลือกแคนาดา แต่เอาจริงตอนนี้สิ่งที่เรามีที่ไทย มันมี support ให้ลูกได้ แต่ว่าเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงและมันจะสามารถ support ไปได้นานแค่ไหน พี่เลยคิดว่าในวันที่เราเป็นลูก เราทำทุกอย่างให้พ่อแม่เราแล้ว เหลือแค่ลูกเรานี่แหละ และพ่อแม่พี่กับพ่อแม่แฟนพี่ก็เป็นคนที่อยากให้เรามา พี่ก็เลยโอเค ในเมื่อวันนึงเราให้พ่อให้แม่เราแล้ว ในวันนี้เราลองให้โอกาสตัวเองที่เราจะเอาตรงนี้ให้ลูกเราบ้าง พี่ก็เลยเลือกที่จะมาค่ะ

เมืองแวนคูเวอร์เป็นยังไง หลังจากอยู่แล้วเมืองนี้มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้างคะ?

ตอนนี้อยู่มาได้ 6 เดือนแล้ว ส่วนตัวพี่ พี่ชอบนะ เป็นครั้งแรกแลยที่มาแคนาดา ช่วงที่มาถึงเป็นช่วงปลายฤดูหนาว ก็ไม่ได้หนาวมาก สิ่งที่ชอบเลยคือ เรื่องการเดินทาง ผังเมืองเขาดี ตอนอยู่ไทยขับรถไปไหนก็หลง แต่ที่นี่มันเป็นบล็อก จำง่าย พอเราต้องมาใช้ชีวิตในการเดินทางเอง ตอนแรกพี่ก็กังวล แต่พอมาถึงแล้ว การเดินทางไม่ได้ยากอย่างที่คิดค่ะ เราคาดคะเนได้ว่ารถจะมากี่โมง ทุกอย่างมันเป๊ะดีพี่ก็เลยชอบ และก็สภาพแวดล้อม สภาพอากาศ บางคนอาจจะบอกว่าแวนคูเวอร์เป็นเมืองหนาว เมืองฝน แต่สำหรับพี่เวลามีแดดและไม่มีฝน อากาศมันบริสุทธ์ดีค่ะ แต่สิ่งที่แปลกตาสำหรับพี่เลยคือ คนไร้บ้าน ตอนมาถึงที่นี่ แล้วได้ผ่านดงคนไร้บ้าน เพราะพี่ไปทำ SIN Number แถวนั้น แล้วไปเจอเต็นท์คนไร้บ้านเรียงกันเยอะมาก เราก็ตกใจว่ามันเยอะขนาดนี้เลยหรอ ขอทานบ้านเราชิดซ้ายไปเลยนะ บางคนที่เล่นยาก็เหมือนซอมบี้ แต่พอเราเจอบ่อยมันก็จะชิน แล้วเขาก็ไม่ได้มาทำอะไรเรา เหมือนต่างคนต่างอยู่ค่ะ

ใช้เวลาในการปรับตัวที่นี่นานไหมคะ?

ของพี่ พี่มาเป็นครอบครัว มีพี่ สามี และลูกชาย 2 คน ตอนแรกพี่กังวลเรื่องการปรับตัวของลูกพี่มากกว่า เพราะเราโตแล้ว เมื่อเราตัดสินใจว่าจะมา เราก็เตรียมใจมาแล้วว่าจะเจอกับอะไรบ้าง แต่ลูกพี่เขาไม่ได้เลือกว่าจะมาที่นี่ เราเป็นคนพาเขามา พี่เลยห่วงสภาพจิตใจลูก ๆ ของพี่ แต่กลายเป็นว่า พอลูกมาถึงพวกเขาแฮปปี้กับที่นี่ ลูกพี่ก็แปลก เขาไม่บ่นอะไรกันเลย ทั้ง ๆ ที่มานี่ก็ไม่ได้สบาย อย่างอยู่ไทยเรายังมีรถรา ไปไหนมาไหนสบาย แต่ที่นี่เราไม่ได้มีรถส่วนตัว ทุกอย่างต้องใช้ขนส่งสาธารณะ พวกเขาก็โอเค พี่ก็เลยโอเค เมื่อลูกอยู่ได้ เราก็ต้องอยู่ได้ ลูกพี่เขากินได้อยู่ได้ อาจจะมีปรับเรื่องเวลากิน เวลานอน พอสักหนึ่งสัปดาห์เขาก็ปรับได้แล้ว เราก็เลยไม่ได้ห่วงอะไรเขา แต่สำหรับตัวพี่พี่ไม่ได้ปรับตัวอะไรมากเท่าไหร่ค่ะ

ทำไมเลือกเรียนหลักสูตร Diploma Culinary Art ที่ VCC?

จริง ๆ พี่เป็นคนชอบทำอาหาร และพอเราคิดว่าเราต้องมาเรียน ตั้งแต่ตอนจะไปเรียนที่ออสเตรเลีย และพี่ก็ไปดูว่ามีอาชีพอะไรที่ออสเตรเลียที่ขอ PR ได้ และมันก็มีอาชีพเชฟที่ติด 1 ในนั้น พี่เลยคิดว่างั้นเอาดีทางด้านนี้ละกัน แล้วพอเปลี่ยนใจจะย้ายมาที่แคนาดา เลยคิดว่าเชฟนี่แหละน่าจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์กับเรา ไม่น่าจะยากเกินไปสำหรับเราที่ต้องเรียนในวัยนี้ เลยเลือก Culinary Art ค่ะ

การเรียนการสอนในหลักสูตรนี้ได้เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้างคะ?

พี่เรียนมาได้หกเดือนตอนนี้ เดือนแรกเขาสอนเกี่ยวกับความปลอดภัยในครัวและการประกอบอาหาร เดือนที่สองเขาจะสอนเกี่ยวกับเรื่องน้ำสต๊อก น้ำซุป ซอสต่าง ๆ เดือนที่สามเรียนเกี่ยวกับเรื่องอาหารเช้าคือมีการบริการขายด้วย ทำอาหารเช้าพวกไข่ต่าง ๆ พอเดือนที่สี่จะเป็นเบเกอรี่ ได้เรียนรู้วิธีการทำขนมเบื้องต้น ขนมปัง คุ้กกี้ และพายประมาณนี้ค่ะ เดือนที่ห้าเรียนเกี่ยวกับ Butchery ไปแล่เนื้อสัตว์ พี่ไม่นึกว่ามีหลักสูตรนี้ด้วย ทรมานมาก เรามาจากเมืองร้อน แต่ต้องเข้าไปแล่เนื้อสัตว์ในตู้เย็น ต้องเรียนเกี่ยวกับ Anatomy วัวมาเป็นครึ่งตัว แล้วเชฟก็แล่ให้ดูว่าแต่ละส่วนเรียกว่าอะไร และก็มีสอบแล่ปลาแซลมอนทั้งตัวเริ่มตั้งแต่ขอดเกล็ดเลย ตอนสอบถ้าเราเรียนเรื่องอะไรก็สอบเรื่องนั้นเลย มีทั้งสอบทฤษฎีและปฏิบัติตอนจบแต่ละบล็อก ทฤษฎีเป็น Multiple choice อย่าง Butchery สอบแล่ปลา ตั้งแต่ขอดเกล็ด เอาปลาออกจากก้าง พอแล่ออกมาต้องเอาไปชั่งใหม่ และดูว่าเนื้อมันติดอยู่กับก้างมากน้อยแค่ไหน ถ้ามากไปก็โดนหักคะแนน อย่างเบเกอรี่ก็สอบทำเบเกอรี่ เขาจะมีมาตรฐานของเขา เรื่องรสชาติ เรื่องความละเอียด แล้วถ้าสอบไม่ผ่าน ก็ต้องเสียเงินลงเรียนซ้ำบล็อกที่ไม่ผ่านนะคะ

หลังจากเรียนหลักสูตรนี้ที่ VCC แล้วเป็นยังไงบ้าง?

ตอนแรกพี่ก็คิดนะว่า เรามาเรียนจะเป็นยังไง ภาษาพี่ก็ไม่ได้เก่งมากขนาดนั้น พี่สามารถติดต่อสื่อสารคุยได้ในระดับพื้นฐาน วันแรกที่พี่ไปเรียน เพื่อนคนแรกที่รู้จักกันเป็นคนอิหร่าน ในคลาสไม่มีคนไทยเลย ในห้องพี่มีทั้งหมด 18 คน ฮ่องกงปาไปแล้วครึ่งห้อง มีเกาหลี อิหร่าน ด้วยความมันหลายสัญชาติ ถึงจะพูดภาษาอังกฤษกันได้ก็เถอะ แต่สำเนียงไม่เหมือนกันไง แต่ตั้งแต่พี่อยู่มา พี่ว่าสำเนียงที่ฟังยากสุดคือเกาหลี พี่ก็ใช้เวลาปรับตัวเยอะนะ พี่ได้เรียนรู้หมดทุกอย่างเลย อะไรที่พี่ไม่รู้พี่ก็จะพยายามถามเพื่อน เพื่อนเขาก็จะเห็นใจเรา

ในเรื่องของทฤษฎีมาเรียนรู้ใหม่หมดเลย ตั้งแต่วิธีการจับมีด การหั่นผัก ผักแบบนี้เรียกว่าอะไร ตัวพี่เองเป็นแค่คนชอบทำอาหารแต่ไม่ได้รู้เรื่องอาหาร ไม่ได้ถนัดอาหารตะวันตก ทำแค่อาหารไทย แต่พี่เป็นคนที่กินอาหารบ่อย กินอาหารหลากหลายเชื้อชาติได้ แต่ไม่เคยออกจากเซฟโซนตัวเองในเรื่องการทำอาหาร แต่มาอยู่ที่นี่ เราออกจากเซฟโซนเราได้ เรากล้าที่จะทำ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เก่งภาษาเท่าคนอื่น ไม่ได้เก่งทฤษฎีเท่าคนอื่น แต่เวลาปฏิบัติ เราก็ไม่ได้ด้อยกว่าคนอื่น กลายเป็นว่าเวลามีปฏิบัติอะไรเราทำได้ดีกว่าเพื่อน เพื่อนพี่คนที่เก่งทฤษฎีมาก ๆ ปฏิบัติเขาจะไม่ค่อยได้ ถ้าเป็นเรื่องทฤษฎีเราก็จะถามเขา ส่วนเรื่องปฏิบัติเขาก็จะถามเรา เหมือนเป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน มันเลยอยู่ได้และพี่ก็แฮปปี้ดีกับการได้อยู่กับเพื่อน ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่มีคนไทยเลย รู้สึกเรามีตัวตน คือเพื่อนก็ยังให้ความสำคัญแก่กันและกัน

มีบริการอะไร Support นักเรียนบ้างคะ?

เขาจะมีแผนก International student คอยช่วยเหลือนักเรียนต่างชาติ มีเกี่ยวกับจิตวิทยาที่เราสามารถเข้าไปพูดคุยกับเขาได้ เกี่ยวกับเรื่องการหางาน เขาจะสอนเขียนเรซูเม่ ถ้าหางานไม่ได้ ก็ลองมาคุยมาปรึกษากัน เขาก็จะมี support เราประมาณนี้ค่ะ

หลังจากเรียนจบ มี Plan หรือ ตัดสินใจอย่างไรต่อ?

ใจพี่ก็อยากหาเก็บประสบการณ์ตามร้านอาหาร ใจก็อยากจะโต อยากมีร้านอาหารของตัวเอง แต่ก็ยังอยากทำอาหารไทย ตัวพี่เองพี่ชอบอาหารไทย ทุกวันนี้ที่ไปเรียนพี่ก็จะทำอาหารไทยไปกินและก็เอาไปเผื่อเพื่อน ๆ แล้วเพื่อนพี่ก็จะบอกว่าเราทำอาหารอร่อยและหลายคนเขาก็ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ในการกินอาหารไทย เขาก็จะชมและทุกคนก็จะพูดกับพี่ว่าอนาคตคุณต้องเปิดร้านอาหารนะ มันเลยทำให้เรามีความฝันว่าถ้าเราทำงานไปเรื่อย ๆ เก็บเงินได้สักก้อน ก็อยากจะมีร้านอาหารไทยที่นี่ และอยากสร้างรากฐานของตัวเองให้ลูกที่นี่ และตัวเราก็อายุเท่านี้แล้วเนาะ จะไปทำงานเป็นลูกจ้างเขาไปตลอด มันก็ไม่ไหว

คือพี่ก็คิดอย่างนี้นะ ตัวเราลงทุนแค่คนเดียว 1,300,000 บาท (ค่าเทอมที่ VCC) แต่แลกกับว่าลูกพี่ได้เรียนที่นี่ทั้งสองคนอย่างน้อย 5 ปี (เรียน 2 ปี ได้ PGWP ทำงานหลังเรียนจบอีก 3 ปี) เราก็ลองลุ้นดูเผื่อเราจะได้ PR เหมือนเราเหนื่อยให้ลูกอ่าค่ะ แต่มันก็ต้องแลกนะ อย่างแรกเลยคือเรื่องเงิน เรามากันสองสามีภรรยาและลูกอีกสองคน มันไม่สามารถทำงาน Full-time ทั้งสองคนได้เลย เพราะคนนึงก็ต้องดูลูก อย่างตอนนี้แฟนพี่ทำงานคนเดียวมันไม่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้หมดนะ เราต้องใช้เงินจากไทยมาช่วย support ด้วย คนเดียวทำงานเพื่อเลี้ยงสี่คนมันอยู่ไม่ได้ แต่ถ้ามาคนเดียว ไม่ได้มีภาระอะไร หรือมากันเป็นคู่สามีภรรยาไม่ได้มีลูก แบบนั้นถึงได้เงินเต็ม ๆ ค่ะ

ช่วยแชร์ประสบการณ์การหางานและการทำงานที่แวนคูเวอร์ทั้งของคุณฟางและผู้ติดตามได้ไหมคะ?

ตอนนั้นพี่เรียนได้ประมาณหนึ่งเดือน ก็หางานได้แล้ว พี่ได้เข้าไปทำงานร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่ไม่ได้เข้าไปเป็น Line cook อะไรขนาดนั้น พี่เคยทำอาหารแต่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำอาหารในครัวที่นี่ มันเลยกลายเป็นเหมือนกับว่าเรายังไม่มีประสบการณ์อะไรมาก ได้แค่ช่วยหั่นผัก แต่ตอนนี้พี่ไม่ได้ทำงานแล้ว เพราะแฟนพี่ได้งานที่ Mission ถ้าเดินทางจากบ้านพี่ไปที่เมืองนี้ ประมาณ 2 ชม. เขาก็เลยต้องไปพักอยู่ที่นั่น พี่ก็เลยต้องคอยดูเด็ก ๆ แฟนพี่ทำตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเชฟ จริง ๆ แล้วแฟนพี่เขาไม่ได้มีประสบการณ์การทำอาหารอะไรขนาดนั้นหรอก แต่พี่โชคดีที่พอมาที่นี่ ก็ได้กลุ่มคนไทยที่อยู่ที่นี่คอยช่วยเหลือกัน เหมือนเขารู้ว่าแฟนพี่กำลังหางาน ภาษาเขาก็ไม่ค่อยได้ และไม่ได้มีทักษะอะไรที่โดดเด่นที่จะมีตัวเลือกอะไรมากมาย ก็ได้พี่คนไทยเขาแนะนำให้ คือลูกสาวเขาไปเปิดร้านอยู่ที่ Mission เขาเลยมาชวนแฟนพี่ไป

พี่ก็ดีใจที่เขาให้โอกาส ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเราทำอะไรไม่เป็นแต่แฟนพี่ดีตรงที่เขาเป็นคนขยัน ใจเย็น และเป็นคนเปิดรับฟัง เขาเลยไปทำงานตรงนั้นเพื่อไปเอาประสบการณ์ เผื่อวันหนึ่งเรากลับมาทำงานที่แวนคูเวอร์ มันก็จะหางานง่ายกว่าเมื่อเทียบกับถ้าเราไม่มีประสบการณ์อะไรเลย แฟนพี่จะทำงานตรงนั้นวันพฤหัสบดี จนถึงวันอาทิตย์ แล้วทุกวันจันทร์ตอนเช้าก็จะนั่งรถกลับมาที่บ้าน ได้หยุด 1 วัน แล้ววันอังคารกับพุธ ก็ทำงานอีกที่นึงแถว Coquitlam ถึงบอกว่ามาที่นี่พวกพี่โชคดีได้เจอมิตรภาพดี ๆ อย่างที่ Coquitlam ก็มีรุ่นพี่อีกคนนึงที่รู้จักกันไปแนะนำให้ จากบ้านก็ไปไกลนะ ประมาณ 1 ชม. คือเขาก็เหนื่อยนะ แต่เขาบอกว่าเขาโชคดีที่ได้เจอเจ้าของร้านและเพื่อนร่วมงานที่ดี เขาก็แฮปปี้ค่ะ

คุณฟางมีวิธีการหาที่พักที่แคนาดาอย่างไรคะ?

ตอนที่พี่มาถึง ทุกอย่างมันใหม่หมดสำหรับพี่ พี่เลยต้องใช้ตัวช่วย พี่เลยจ้างคนให้ช่วยหาบ้านให้ อยู่ที่นั่นได้ประมาณ 2-3 เดือน พี่ก็ย้ายบ้าน แต่รอบหลังพี่เป็นคนหาบ้านเอง เพราะเราได้เรียนรู้แล้ว พี่ว่ามันไม่ได้ยากขนาดนั้น มันจะมีเว็บไซต์หาบ้าน ตัวพี่เองพี่ใช้ Facebook Market Place ตอนแรกที่อยู่มันเป็นคอนโด 2 ห้องนอน ราคา 3,500 CAD ราคาสูงเพราะมันเป็นคอนโดใหม่ เดินทางง่าย ป้ายรถบัสอยู่หน้าคอนโด เดิน 10 นาที ก็ถึงสถานีรถไฟ แต่เหตุผลที่ย้ายมาที่ใหม่เพราะพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างจำกัด อยู่แล้วรู้สึกอึดอัด และอยากลดค่าบ้านลงหน่อย

คือต้องยอมรับว่าเรามาที่นี่ใหม่ ๆ เราไม่ได้ทำงานอะไร เราก็ต้องเอาเงินที่มีจากที่ไทยมาใช้ เจอค่าบ้านไปสองเดือน สามเดือนก็กระอักเหมือนกัน มาที่นี่ไม่ได้ใช้เงินไปกับอะไรเลยนะ หมดไปกับค่าบ้านนี่แหละค่ะ พี่เลยหาที่พักใหม่ก็คือที่อาศัยอยู่ปัจจุบันนี้แหละค่ะ พี่ย้ายมาอยู่เป็น Basement 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ราคา 2,800 CAD ก็ถูกลงมาพอสมควร แต่เดินทางไกลกว่าที่เดิมแต่ไม่ได้ยาก ยังอยู่ในโซน 1 อยู่ พี่ชอบนะ บ้านกว้างขึ้นเยอะ มันไม่ได้อยู่แล้วอึดอัด สภาพแวดล้อมเหมือนหมู่บ้าน ตรงข้ามบ้านคือโรงเรียนที่ลูกจะได้เรียน เดินไปอีกนิดนึงคือสวนสาธารณะที่ลูกไปเล่นได้ ได้อยู่กับธรรมชาติ

การเรียนของน้อง ๆ ในโรงเรียนที่แคนาดาเป็นอย่างไรบ้างคะ?

ที่นี่ทุกโรงเรียนมีมาตรฐานเท่า ๆ กันหมดนะ เพราะเขาจะมี Vancouver School Board (VSB) ที่ทุกโรงเรียนจะอยู่ใต้การควบคุมดูแลของ VSB ค่ะ พี่เลยเชื่อว่า การสอนเด็กค่อนข้างที่จะใกล้เคียงกันมากที่สุดและก็อย่างหนึ่ง อีกจุดประสงค์ เราอยากให้ลูกเราได้ภาษา ไม่ว่าจะเรียนโรงเรียนไหน เขาก็ต้องได้ภาษาและอะไรหลาย ๆ อย่าง พี่ว่าน่าจะคล้าย ๆ กัน และพี่ว่าอย่างตอนเราเรียนที่ไทย หลักสูตรบางวิชาเราเรียนมา เราก็ไม่ได้ใช้ทั้งหมด พี่เลยคิดว่าการที่ลูกได้มาอยู่ตรงนี้ ได้ภาษา ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตด้วยตัวเอง มันก็น่าจะมีประโยชน์กับเขา

เงื่อนไขของที่นี่ก่อนที่เราจะให้ลูกเข้าโรงเรียนได้ เราจะต้องมีที่อยู่ก่อน และต้องเป็นที่อยู่ที่มีการเซ็นสัญญา เพราะอย่างตอนที่พี่บินมาถึงพี่ยังไม่มีบ้าน พี่เช่าโรงแรมอยู่ก่อน 18 วัน แต่พี่วางแผนไว้ว่าช่วงที่พี่อยู่โรงแรม พี่ต้องรีบหาบ้านให้ได้ เพราะบ้านที่นี่เราจะย้ายเข้าได้ วันที่ 1 หรือ วันที่ 16 ของเดือน พี่เลยต้องเข้าให้ได้วันที่ 1 มี.ค. พอพี่หาบ้านได้ พี่ก็ต้องรอเอกสารสัญญาเช่าบ้าน เพื่อที่จะต้องเอาเอกสารสัญญาพวกนี้อัปโหลดเป็นข้อมูลสมัครเรียนให้ลูก ที่นี่จะเป็นเว็บไซต์ของ VSB นี่แหละค่ะ เราต้องอัปโหลดเอกสารทุกอย่าง เอกสารของพ่อแม่ เอกสารของเด็ก ๆ เอกสารสุขภาพ เอกสารการเรียน และสัญญาการเช่าบ้าน หลังจากนั้นทาง VSB ก็จะหาโรงเรียนที่ใกล้บ้านที่สุดให้ลูกเรา ลูกพี่ได้เข้าเรียนตอนประมาณกลางเดือนเม.ย. จนถึง มิ.ย. และตอนนี้ก็ปิดเทอม เด็กส่วนมากเป็นเด็กนานาชาติ ทำให้ลูกพี่ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยว และมันก็ไม่ได้มีเรื่องการบูลลี่ให้เราต้องกังวล ตอนพี่ไปส่งเขาตอนเช้า เราก็จะเห็นเด็ก ๆ เขาจับกลุ่มเล่นกัน เขาก็ดูแฮปปี้ และไม่ได้บ่นว่าไม่อยากไปเรียน

มีข้อคิด คำแนะนำอะไรสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจอยากมาเรียนต่อหรือมาอยู่แคนาดาบ้างไหม?

สิ่งที่พี่อยากจะแนะนำเลยนะคือเรื่องสุขภาพ มันไม่ได้เรียนหนักอะไร แต่มันยืนเยอะ อยากให้เตรียมร่างกายตัวเองมาให้พร้อม อย่างตัวพี่เองก่อนที่พี่จะมา พี่มีปัญหาสุขภาพและได้ปรึกษาวิธีการรักษากับทางแพทย์ คือพี่ไม่อยากมาเจ็บป่วยที่นี่ พี่เลยตัดสินใจผ่าเลย แล้วหนึ่งเดือนหลังจากนั้นก็บินมาที่นี่ พี่ขอบคุณตัวเองมากเลยที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นอะไรและแสดงออกมาให้เราเห็นก่อน เพราะพอมาเรียนที่นี่ คือยืนนานมาก ยืนทั้งวัน ใครเลือกจะมาเรียน ห่วงอย่างเดียวเลยคือเรื่องสุขภาพค่ะ ต้องดูแลตัวเองให้ดี เช็กตัวเองให้ดีว่าร่างกายของตัวเองเป็นยังไง แข็งแรงพอไหม

เพื่อนพี่ตอนเดือนแรกที่เข้ามาเรียนด้วยกัน 18 คน หายไปแล้ว 2 คน เพราะร่างกายเขาทนไม่ได้ อยู่หน้าเตาร้อน ๆ ใช้ตะกร้อตีไข่ก็ปวดข้อมือ เราต้องรู้ว่าสถานการณ์ในครัวจริง ๆ ถ้าเราต้องไปทำงาน มันไม่ได้สวยหรู เรื่องมีดบาดกลายเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าใครที่คิดจะมาเรียนก็ต้องทำใจตรงนี้ หน้ามัน หน้าเยิ้ม ยกของหนัก ๆ ถามตัวเองให้แน่ใจว่าชอบจริง ๆ ไหม ส่วนตัวพี่ไม่ได้เป็นคนกลัวมีด กลัวน้ำมัน ก็จะได้แผลจากรอยเตาดาด อย่างตอนนี้เรียน Service เราต้องทำอาหารออกมาขาย ทำเองขายเอง เพราะที่นี่เขามีโรงอาหาร ตอนกลางวันจะเปิดให้คนภายนอกเข้ามาซื้อได้ ก็ต้องมายืนขาย ร้อนมาก เพราะที่นี่เขาเข้มงวดเรื่องอุณหภูมิ ต้องเช็กทุก ๆ 30 นาที เพราะฉะนั้นเราอยู่หน้าถาดอุ่นอาหารร้อน ๆ ก็ต้องทนให้ได้

รีวิวก้อปันกันให้ฟังได้ไหมคะ อะไรทำให้เลือกใช้บริการของก้อปันกัน?

จริง ๆ พี่ไม่ได้ติดต่อกับก้อปันกันเจ้าเดียว ตอนพี่ติดต่อเจ้าอื่น พอเขารู้ว่าพี่อายุ 36 เขาก็ไม่อยากทำให้ค่ะ แล้วจะไปกันเป็นครอบครัวอีก พี่คิดว่าเขากลัวถ้าเราไม่ผ่าน แล้วประวัติเขาจะเสีย พี่เลยหาหลาย ๆ ที่ จนมาเจอน้องกันต์นี่แหละ และเขาก็เปิดใจคุยว่าพี่ฟางและครอบครัวมีความพร้อมขนาดไหน พอคุยกันมันก็คลิ๊ก พี่ชอบก้อปันกันตรงที่ทุกอย่างเป็นระบบ เราสามารถรู้ว่ามันถึงขั้นตอนไหนแล้ว อย่างตอนแรกที่ติดต่อกันเราคุยผ่านไลน์ เจ้าอื่นก็ติดต่อผ่านไลน์ แล้วน้องกันต์ก็ขอนัด Zoom เพื่อคุยรายละเอียด เขาก็ให้ความใส่ใจและสนใจที่อยากจะรู้ว่าจุดประสงค์เราเป็นยังไง มันมีความเป็นไปได้ไหม แล้วเขาก็พูดกับพี่ตรง ๆ ว่าทำอะไรได้ อะไรไม่ได้

เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Vancouver Community College (VCC)

Photo Credits : คุณฟาง
# รีวิว เรียนหลักสูตร Diploma Culinary Art กับสถาบัน VCC โดย คุณฟาง

ขอรับคำปรึกษา

 

เรียนต่อแคนาดา อเมริกา

Line : @korpungun

เรียนภาษาที่ฟิลิปปินส์

Line : @kpglearn

คอร์สออนไลน์ KPG LIVE

Line : @kpglive

TEL: 094-883-8778

นัดหมายพูดคุยผ่าน