รีวิว เรียน Global Trade and Transportation Management
กับสถาบัน BCIT
ประสบการณ์เรียนต่อแคนาดา โดย คุณทิรา
อะไรทำให้ตัดสินใจมาเรียนต่อที่แคนาดา?
คิดว่าหลาย ๆ คนก็น่าเหมือนกันที่ไปเจอกลุ่มโยกย้าย เป็นช่วงกลางปี 2021 ที่มันดังขึ้นมาก็ประมาณ 2 ปีกว่าแล้วเนาะ ตอนนั้นเห็นว่ามันเป็นกระแสก็เข้าร่วมกลุ่มไม่ได้คิดอะไร เพราะส่วนตัวพี่ไม่ใช่คนที่ทะเยอทะยานอะไรขนาดนั้น เป็นคนใช้ชีวิตเรื่อย ๆ แต่พอได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้นและได้อ่านประสบการณ์ของคนในนั้น ก็เลยรู้สึกว่าทำไมเราไม่มีไฟเหมือนคนอื่นเขา เราทำอะไรอยู่นะ บวกกับตอนนั้นเป็นช่วงโควิด แล้วปกติเราเป็นคนชอบเที่ยวทำให้ไปไหนไม่ได้เลย ชีวิตมันก็งง ๆ แล้วมันทำให้คิดได้ว่า ถ้ามีโอกาสอะไรในชีวิตก็ควรรีบทำเพราะพอมันไม่มีโอกาสแล้ว ชีวิตโคตรแย่เลยนะ ซึ่งจริง ๆ แล้วประเทศแคนาดาไม่เคยอยู่ในหัวเลย แต่พออ่าน ๆ ข้อมูลมามันก็น่าสนใจดีนะ ทำไมเราไม่เคยนึกถึงมัน อีกอย่างเลยคือเป็นประเทศที่ธรรมชาติสวยมาก และเป็นประเทศที่เป็นสถานที่ถ่ายหนัง ซึ่งพี่ชอบดูหนัง ชอบดูซีรี่ย์ไรงี้ เราก็เลยอยากมาเหยียบประเทศนี้สักครั้งหนึ่ง
หลังจากมาอยู่ที่นี่ คิดว่าแวนคูเวอร์เป็นอย่างไรบ้าง?
ย้อนกลับไปตอนแรกก่อน ที่พี่บอกว่าไม่ได้เป็นคนทะเยอทะยาน ใช้ชีวิตเรื่อย ๆ อยู่ไปวัน ๆ ไม่ได้มีเป้าหมายสูงส่ง ต้องประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไร ก็เลยไม่ค่อยว้าวกับอะไรเท่าไหร่ เอาจริง ๆ มาอยู่ที่นี่ดีไหม พี่ว่าก็ดีนะ แต่ชอบมากอยากจะอวยอะไรขนาดนั้น ก็คงไม่ใช่ แต่ก็ชอบ ชอบในระดับที่ตัดสินใจถูกที่มา
อย่างแรกคือธรรมชาติ แวนคูเวอร์เป็นเมืองท่าเรือ จะมีบรรยากาศทั้งน้ำทั้งภูเขาซึ่งสวยมาก ใครชอบธรรมชาติน่าจะชอบมาก อย่างที่สองคนเอเชียที่นี่เยอะมากเลยรู้สึกไม่แปลกแยกมาก พี่เคยไปเรียนที่นิวซีแลนด์มาก่อน แล้วที่นั่นไม่ได้เป็นเมืองใหญ่ คนเอเชียเลยน้อย พอไปอยู่ตอนนั้นก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเราเท่าไหร่ มันก็ดีตรงที่เราก็ต้อง Push ตัวเอง แต่พอเป็นที่แวนคูเวอร์คือถ้าเจอฝรั่งก็จะรู้สึกแปลก มันทำให้เราปรับตัวกับที่นี่ได้ง่ายกว่าและใช้เวลาน้อยกว่า การกินก็ไม่ได้ต่างจากไทยมาก สามพี่ชอบระบบขนส่งสาธารณะนะ แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมเท่าไหร่นะ มีแค่สองสามสายสั้น ๆ แต่พี่ชอบรถบัสนะ เข้าใจง่ายด้วยการบอกเวลา ตารางรถเช็คง่ายกว่าตอนอยู่กทม. บัตร Compass card ใบเดียวขึ้นได้ทั่วเมือง แต่ถ้าเป็นของกทม. พี่พกประมาณ 4-5 บัตร ถ้าในแง่นั้นก็อาจจะเทียบได้ประมาณนึง แต่ตอนที่หิมะตกและรถบัสหยุด พี่รู้สึกว่าแย่มาก มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกปี ซึ่งพี่ว่าเขาน่าจะรับมือได้ดีกว่านี้ แต่มันเป็นเรื่องของสภาพอากาศน่าจะเทียบกับไทยไม่ได้ ส่วนด้านที่มันไม่ดีเท่าไหร่ก็อย่างที่ทุกคนรู้คือคนไร้บ้าน โซน Hasting จะเยอะหน่อย แต่ถามว่าเขามาทำอะไรเราไหม พี่ก็ยังไม่เคยเจอ ก็เคยเห็นแค่เขามึน ๆ และโวยวาย มันก็ตกใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
ทำไมเลือกเรียนหลักสูตร Global Trade and Transportation Management ที่ BCIT?
ตอนที่พี่จะเลือก พี่มองว่ามันเป็นการเปลี่ยนชีวิต และทำอะไรใหม่ ๆ พี่วางเป้าเป็นการย้ายประเทศจริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ต้องลงทุนทั้งเงินและเวลา พี่ค่อนข้างคิดเยอะอยู่เหมือนกัน ก็เลยไปศึกษาวิธีอพยพว่าเขามีโปรแกรมอะไรบ้างที่แคนาดา และแต่ละจังหวัดมันก็มีเงื่อนไขต่างกัน เลยไปศึกษาตรงนั้น British Columbia (BC) ก็มีเงื่อนไขของเค้า ส่วนใหญ่ถ้าเป็น PR เขาจะเอานักเรียนที่จบจาก College ในจังหวัดของตัวเอง พี่เลยหาว่า College ไหนที่มีชื่อเสียงใน BC ซึ่งชื่อของ BCIT เขาก็ขึ้นมาต้น ๆ นะ เขาเคลมตัวเองว่านักเรียนที่จบจากเขา 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ได้งานทำแน่นอน เหมือนบริษัทต่าง ๆ เขาโอเคกับคนที่จบจากที่นี่ แล้วมันมีโปรแกรมเรียน Diploma 2 ปี แล้วได้ PGWP หลังเรียนจบ 3 ปี ด้วย
ตอนแรกพี่มุ่งหาโปรแกรมทาง IT เป็นหลักเพราะคิดว่าตลาดงานของที่นี่น่าจะรองรับสำหรับคนที่จบทางด้านนี้ แต่ก็ช่างใจอยู่เพราะพี่ไม่ใช่มนุษย์คอมอะไรขนาดนั้น ไม่ได้ถนัด เลยลังเลอยู่ว่าจะเหมาะกับเราไหม และอีกโปรแกรมก็คือเกี่ยวกับ Logistic ที่พี่เรียนอยู่นี่แหละ พอพี่ติดต่อก้อปันกันไป เขาจะมีฟอร์ม ถามว่าสนใจเรียนด้านไหน พี่ก็บอกว่า IT และ Logistic และพี่เขาบอกว่า โปรแกรมที่เกี่ยวกับ IT มันเต็มแล้ว ก็เลยต้องเป็น Logistic แทน ซึ่งตัวพี่ก็ไม่เชิงมีประสบการณ์ตรงทางด้านนี้มาก่อนนะ แต่ก่อนที่จะมาที่นี่พี่ทำงานบริษัทเอกชนพี่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ เคยจัดการกับเอกสารนำเข้า เคยติดต่อกับ Partner ที่เป็นบริษัทต่างชาติเหมือนกัน รู้สึกว่าไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไรมันจะมีเรื่อง Logistic เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอก็เลยเลือกโปรแกรมนี้
หลักสูตรนี้เรียนเกี่ยวกับอะไรและหลังจากเรียนไปแล้วเป็นยังไงบ้าง?
ตัวหลักสูตรนี้ พี่เรียนเกี่ยวกับการทำธุรกิจระหว่างประเทศและการขนส่ง ตอนนี้จบปีแรกแล้ว พี่เริ่มเรียนกันยายนปีที่แล้ว เรียน 2 ปี ปีละ 2เทอม ทั้งหมด 4 เทอม หลังจากเรียนมา 1 ปี หลักสูตรที่พี่เรียนมันอยู่ใน School of Business ถ้าเทียบกับที่ไทยก็เหมือนเป็นคณะ ซึ่งแต่ละโปรแกรมที่มันอยู่ใน School of Business เหมือนกันจะมีวิชาพื้นฐานที่เหมือนกัน พี่ก็จะได้เจอคนที่เรียนจากคณะอื่น ๆ ด้วย แต่พอเทอมสองจะเป็นวิชาเฉพาะทางมากขึ้น อย่างของพี่จะมีวิชาการขนส่งที่เป็นเฉพาะทางของพี่ อย่างที่พี่เรียนเทอมสอง จะเป็นเกี่ยวกับ การขนส่งในแคนาดา มันมีทางหลวงไหนบ้าง ใช้รถบรรทุกแบบไหน เรียนเกี่ยวกับทางรถไฟ ทางเครื่องบิน และทางเรือในแคนาดา มันก็จะเรียนแคบเข้ามาเรื่อย ๆ ตามโปรแกรมของเรา
หลักสูตรที่นี่ค่อนข้างเรียนหนัก 5วัน เรียนทุกวันจันทร์-ศุกร์ พี่เคยได้ยินบางมหาวิทยาลัย เขาเรียนแค่วันเว้นวัน หรือสัปดาห์ละสองวัน และที่ BCIT บางวันเริ่มเรียน 8.30 น. เลิกเรียน 17.30 น. ก็คือเรียนไปเลยทั้งวัน เหมือนย้อนกลับไปม.ปลายเหมือนกันนะ 5555 หรือหน่วยกิตแต่ละเทอม บางมหาวิทยาลัย 1 เทอม เรียน 4ตัว หรือ 5 ตัวก็ถือว่าเยอะแล้ว แต่ที่นี่เรียน 6 ตัวเป็นอย่างน้อย คือเขาเอาเนื้อหาที่ต้องเรียน 4 ปี มาอัดให้อยู่ใน 2 ปี ใครที่จะมาต้องเตรียมใจมาเรียนเลยนะ เพราะเรียนหนักค่ะ
ตอนพี่เข้ามาวันแรก มีเกือบ 20 คน ตอนนี้เหลือไม่ถึง 15 คน อันนี้เป็นภาพรวมของ BCIT ที่คิดว่าทุกโปรแกรมไม่น่าจะต่างกันมากเท่าไหร่ อีกอย่างที่นี่เน้นงานกลุ่มเยอะมาก อย่างเทอมแรกเรียน 6 ตัว งานกลุ่มไปแล้ว 4 ตัว เทอมสอง เรียน 8 ตัว งานกลุ่ม 6 ตัว จะมีแค่วิชาเลขที่ไม่สามารถทำเป็นงานกลุ่มได้ คือเขาเน้นการงานเป็นทีมมาก ถ้าใครจะเอาเปรียบเพื่อนในกลุ่ม ที่นี่เขา Report ได้ แต่ก็ต้องเก็บหลักฐาน เข้าไปดูประวัติการล็อกอินเข้ามาดูไฟล์งานต่าง ๆ ที่นี่เป็นระบบมากค่ะ
เพื่อนในห้องปีนี้เป็นปีที่เอเชียเยอะที่สุด ประมาณ 90% อย่างปีก่อน ๆ ก็ยังมีคนแคนาดามาเรียนบ้าง แต่ปีพี่มีแคนาเดียนแค่คนเดียวเอง ที่นี่เขาแบ่งระบบห้องเป็นเซ็ต ในโปรแกรมที่พี่เรียนมี 2 เซ็ต เซ็ตละประมาณ 15 คน ในแต่ละเซ็ตจะเรียนด้วยกันไปจนจบ ทุกคนมีตารางเรียนเดียวกัน จะได้เจอกันไปจนวันสุดท้ายที่เรียนจบเลย ที่แคนาดาค่อนข้างให้ความสำคัญเรื่อง Connection มันจะไม่ใช่การใช้เส้นแบบที่ไทยนะ Connection ที่ไทยอาจจะฟังดูในแง่ลบนิดนึง แต่ที่นี่ คำว่า Connection คือ เรารู้จักคนคนนึงที่สามารถแนะนำเราเพราะรู้ว่าเรามีความสามารถอะไร แล้วการที่เราได้เรียนกับคนเดิม ๆ มันก็ทำให้เราได้ทำความรู้จักเขา มันก็อาจจะมีผลในอนาคต เวลาจับกลุ่มคนสอนเขาจะจับกลุ่มมาให้เลยว่ากลุ่มนี้กลุ่มเดียวอยู่ด้วยกันทั้งเทอม ถ้ามีงานกลุ่มก็นัดประชุมกันเอาเอง มันก็จะได้เรียนรู้กับคนที่หลากหลาย
อย่างของพี่มีโอกาสได้ทำงานกับคนที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานมาเลย และกับคนที่มีประสบการณ์ทำงานมาเยอะมาก เวลาทำโปรเจคกลุ่มกันมันก็จะเห็นเลยว่า คนนึงเขาจะมีไอเดียไม่ได้เยอะมากเท่าไหร่เพราะเขาไม่ได้มีประสบการณ์ทางด้านนี้แต่ทุกคนก็จะมีข้อดีข้อเสียต่างกันค่ะ มันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ในห้องช่องว่างระหว่างอายุค่อนข้างกว้าง ช่วงอายุเด็กสุด 18 ปี มากสุด 38 ปี อย่างที่บอกเขามาเพื่อขอ PR คนพวกนี้เขามีประสบการณ์การทำงานมาเยอะเขาจะ Discuss ได้ค่อนข้างดี แต่คนที่เด็กหน่อย เขาอาจจะต้องให้เรานำนิดนึง อย่างตอนที่เราทำงานที่ไทยเรามีหัวหน้า พอมาอยู่ตรงนี้เราก็เหมือนได้ฝึกความเป็นผู้นำไปในตัว มันก็เป็นข้อดีนะพี่ว่า
ส่วนอาจารย์ที่นี่ เขาจะมีประสบการณ์ในสายงานนั้น ๆ มาก่อนที่เขาจะมาสอนทุกคนเลย อย่างคนที่สอนเกี่ยวกับการคมนาคมขนส่ง เขาทำงานในสาขานี้มา 30-40 ปีแล้ว เขาก็จะรู้ว่าในสายงานอาชีพนี้มันจะเป็นประมาณไหน เขาก็จะสามารถให้คำแนะนำในฐานะคนในได้ บางคนก็ไม่ได้ให้เรียกเขาว่า Professor เขาจะถือว่า เขาเป็นคนมีประสบการณ์มาให้ความรู้เธอแค่นั้นจบ ไม่ได้หัวสูงอะไร บรรยากาศในห้องมันเลยค่อนข้างเป็นเหมือนมาแลกเปลี่ยนความรู้กันมากกว่า
และ BCIT จะมี Event ให้นักเรียนไปเจอกับคนทำงานในสายที่เราเรียน ให้มาเจอ แนะนำตัวทำความรู้จักกันไว้ เป็น Network ที่นี่เขาพยายามเชื่อมนักเรียนกับธุรกิจข้างนอก มันก็เป็นอีกหนึ่งโอกาส และที่นี่ตอนเทอม 4 ช่วงมกราคมปีหน้าเป็นต้นไป จะมีโปรเจกจบให้นักเรียนไปทำงานกับบริษัทจริง 3 วัน/สัปดาห์ ของโปรแกรมที่พี่เรียน เราต้องเข้าไปแก้ปัญหาให้เขา อย่างปีก่อน ๆ มันมีปัญหาในโรงงาน เราก็ต้องเข้าไปช่วยดู ไปสัมภาษณ์พนักงานในโรงงานนั้น ไปดูว่าปัญหามันคืออะไร และก็ทำ Report และ Proposal เสนอ ซึ่งมันมีนักเรียนที่ได้งานจากโปรเจกจบหลายคน พี่ว่าถ้าเราทำได้ มันก็เป็นโอกาสที่ดี แต่เขาไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนนะคะ ซึ่งเขาก็เรียกว่า Co-op work permit ที่เราต้องยื่นขอพร้อมกับ Study Permit ตอนยื่นขอวีซ่าตั้งแต่แรกเลย
บริการ Support นักเรียนที่ BCIT มีอะไรบ้าง?
จริง ๆ ตัวพี่ไม่ค่อยได้ใช้บริการเท่าไหร่ แต่มีเพื่อนในห้องพี่เขาใช้ ก็มี Career Service ช่วยดูเรซูเม่ ซึ่งพี่คิดว่าหลาย ๆ College มันก็มี และก็ Wellness จิตวิทยาบำบัด คือ เวลาเราเรียนเครียด ๆ ก็ไประบายให้เขาฟังได้ พี่ว่ามันก็มีอีกหลายอย่างนะ ค่าใช้จ่ายบริการพวกนี้มันก็รวมอยู่ในค่าเทอมเรียบร้อยแล้ว
ช่วยแชร์ประสบการณ์การหางานและการทำงานที่แคนาดาหน่อยค่ะ?
การหางานทำที่นี่ง่ายหรือยากมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย หนึ่ง พี่มองว่าประสบการณ์ในอดีตเราคืออะไร สอง งานที่เราหาคืออะไร ตัวอย่างของพี่นะ ก่อนมาที่นี่ พี่ทำงาน Business Development ในบริษัทเอกชน แล้วพี่ไม่ได้มีประสบการณ์อื่นเลย แล้วในประสบการณ์พี่มันค่อนข้างกว่างไม่ได้มีอะไรเจาะจง ตอนแรกพี่จะหางานเกี่ยวกับการขนส่ง ลองสมัครไปหลายที่ มันจะเป็นพวกบริษัทขนส่ง พี่สมัครของ UPS ไป เขาโทรมาหาพี่แต่ติดต่อกลับไปมันติดต่อไม่ได้แล้วอ่า เสียดายมาก ก็ลองสมัครไปอีกหลายที่ มันก็มีที่ที่ไม่ตอบกลับมาเลย และมีที่ที่ตอบกลับมาว่าเสียใจด้วยแต่ตำแหน่งอาจจะไม่เหมาะกับคุณ
จนไปได้ที่นึง ตำแหน่งล้างจาน มันไม่ต้องมีประสบการณ์ก็สมัครได้ ซึ่งถ้าไปไล่ดูในเว็บสมัครงาน Indeed น้อยมากนะที่จะมีงานที่ไม่ต้องมีประสบการณ์ ตำแหน่งมันบอกว่า Dishwasher แต่พี่ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะข้อกำหนดทางกฎหมายของแคนาดารึเปล่า การสมัครร้านอาหารใคร ๆ ก็ทำได้ แต่อันนี้เขาให้สอบเกี่ยวกับ Food safe ก่อน มันไม่ใช่ว่าสมัครแล้วได้งานทำเลย แต่มันต้องมีความพร้อมที่จะทำตามกฎเขาด้วย พี่ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลยที่พี่มาสมัครร้านนี้ ร้านนี้เขาบอกพี่ตั้งแต่แรกเลยว่า ถ้าเขารับคนเข้ามา แล้วเขาเห็นว่ามีแวว เขาก็พร้อมจะผลักดันให้ขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงขึ้นนะ อย่างเชฟบางคนในร้าน เขาไม่ได้เรียนตรงสายมาหรอก เขาเรียน Finance แต่วันนี้เขาเป็นเชฟ พี่ฟังเขาพูดประโยคนั้นกับพี่แล้วรู้สึกว่ามันเป็น Mindset ที่ดีมากเลย อย่างพี่ทำ Dishwasher แต่เขาบอกพี่ว่า วันนี้จานไม่เยอะ มาลองทำอย่างอื่นไหม เราก็เลยได้ลองเตรียมอาหารด้วย คนที่ทำ Prep cook ก็ได้ขึ้นไปลอง Line cook แต่พี่มองไม่เห็นอนาคตตัวเองในร้านอาหารขนาดนั้น พี่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นมนุษย์ครัว แต่เป็นประสบการณ์ที่ดี ที่พี่ได้เห็น mindset ของแคนาเดียน และรู้สึกโชคดีที่ได้มาทำงานที่นี่ ของพี่เขาให้ 18 CAD/ชั่วโมง ไม่รวมทิป ทำ 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ พี่ว่าโอเคแล้วสำหรับพี่ มันสามารถจ่ายค่าบ้าน ค่าของใช้ ค่าโทรศัพท์ ค่าประกันได้ แต่ไม่รวมค่าเทอมนะ แต่ด้วยความที่ว่าตอนนี้พี่ปิดเทอมเลยทำได้เยอะ แต่ถ้าเปิดเทอมพี่ก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้แค่ไหน
มีวิธีการหาที่พักที่แคนาดาอย่างไรคะ?
พี่หาในกรุ๊ปคนไทยในแคนาดา ก็ติดต่อไปให้เขาดูบ้าน จ่ายมัดจำ และคุยกับเจ้าของบ้านให้ ตอนนี้พี่ก็ยังอยู่ที่เดิมนะ ทำเลมันขึ้นรถบัสแล้วตรงไปที่ BCIT เลย เป็น Basement ราคา 850 CAD รวมค่าที่พัก ค่าน้ำค่าไฟ เครื่องซักผ้า จะซักกี่ครั้งก็ได้ ชั้นบนเจ้าของบ้านอยู่ แล้วชั้นใต้ดินที่พี่อยู่ อยู่กับ Roommate อีกคนนึง รวมเป็นสองคน แชร์ห้องน้ำกับห้องครัวกัน แต่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนนะ
หลังจากเรียนจบ มี Plan หรือ ตัดสินใจอย่างไรต่อ?
การมาที่นี่มันเป็นการลงทุน เราลงทุนก็อยากให้มันงอกเงย แต่เราก็ต้องวางแผนจากจุดที่เรามี เป้าหมายเราคือ PR แต่สุดท้ายถ้ามันไม่ได้มันก็เป็นประสบการณ์ คือพี่เป็นคนที่ชอบประสบการณ์ใหม่ ๆ แม้จะไม่ใช่คนทะเยอทะยาน ชอบลองทำอะไรที่แบบถ้าไม่ทำแล้วอีกสิบปีพี่จะรู้สึกเสียใจถ้าเกิดไม่ได้ทำ พี่ก็จะทำ สมมติอีกสิบปีข้างหน้าพี่นั่งอยู่กทม. แต่ถ้านั่งนึกย้อนมาปี 2022-2023 พี่ได้มาทำอะไรบางอย่างที่แคนาดา พี่ก็ไม่เสียใจแล้วอ่า
มีข้อคิด คำแนะนำอะไรสำหรับ คนที่กำลังตัดสินใจอยากมาเรียนต่อหรือมาอยู่แคนาดาบ้างไหม?
ต้องตอบคำถามตัวเองก่อนว่าเป้าหมายของเราคืออะไร และต้องรู้ว่าเรามีอะไร มีอะไรในที่นี้ คือมีประสบการณ์ มีคุณสมบัติ มีทุนมากพอรึเปล่า การที่เราจะมาที่นี่มันเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ อย่างที่พี่บอกตั้งแต่แรก มันเป็นการลงทุนทั้งเงินและเวลา มันต้องวางแผนและต้องเป็นคนที่ศึกษาอะไรมาด้วยตัวเองก่อน เพราะไม่งั้นอาจจะโดนหลอกได้ ถ้าเรารู้ไม่มากพอ ไม่รู้ดิอาจจะมีเอเจนซี่ที่มาเอาเปรียบเราก็ได้ อย่างพี่เลือกก้อปันกัน พี่ก็อ่านและศึกษามาเยอะเหมือนกัน แต่ถ้าในเรื่องของ BCIT มันเรียนหนักนะให้เตรียมใจมาเลย เพราะมันมีคนที่เรียนไปแล้วดรอปไปเยอะจากที่พี่เจอในโปรแกรมเดียวกัน การดรอปมันทำให้เราเสียเวลาชีวิตเราประมาณนึงนะ ถ้าจะมาจริง ๆ ก็อยากให้มั่นใจ
อีกอย่างหนึ่ง อย่างตัวพี่ช่วงเปิดเทอม พี่ไม่ได้ทำงาน พี่เพิ่งมาทำตอนปิดเทอม พี่เป็นคนทำอะไรเต็มที่ ไม่อยากเรียนไปแล้วกังวลเรื่องงาน ทำงานแล้วกังวลเรื่องเรียน เลยเลือกที่จะไม่ทำงานตอนเรียน ถ้าเรียนแล้วทำงานได้ไหม ต้องถามตัวเองว่าเราไหวแค่ไหน ต้องรู้จักตัวเองและประมาณตัวเองให้ดี ถ้าตัวเองสามารถจัดการเวลาทำงานและเวลาเรียนได้ดี ก็ทำเลย ถ้าเราเน้นทำงานแล้วงานกลุ่มไม่ทำมันเป็นการเอาเปรียบเพื่อนในกลุ่ม พี่ว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือ อย่าเอาเปรียบคนอื่น
รีวิวก้อปันกันให้ฟังได้ไหมคะ อะไรทำให้เลือกใช้บริการของก้อปันกัน?
ตอนนั้นพี่ดูโปรแกรมเรียน และเอเจนซี่ควบคู่กันไปด้วย แล้วตอนนั้นก้อปันกันก็มาโพสต์ในกลุ่มโยกย้ายอยู่เหมือนกัน คือก็มีคนรีวิวว่าจริง ๆ เราสามารถทำเรื่องด้วยตัวเองก็ได้ แต่สำหรับพี่ พี่ไม่อยากพลาดอะไร ถ้าทำก็อยากให้มันเรียบร้อย ครบถ้วน และอยากให้มีคนช่วยเช็คเอกสารด้วย ซึ่งมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร และอีกอย่างเอเจนซี่ เขาจะได้ค่าตอบแทนจากสถาบันที่เราไปเรียน เราไม่ต้องจ่ายอะไรเลยนะ อย่างของพี่จ่ายมัดจำไป แล้วผ่านไป 1 เทอม เขามั่นใจว่าเราเรียนต่อแน่ ๆ เขาก็จะ refund เงินให้เราคืน พี่มองว่าการที่มีเอเจนซี่มาช่วยและพี่ไม่ต้องจ่ายอะไรเลยมันก็ดีไหม ซึ่งจริง ๆ ก็ดูหลายเจ้าอยู่นะ เพราะเอเจนซี่ก็มีเยอะ คือพี่เป็นคนที่ขี้ระแวงมาก เลยศึกษาเยอะ แต่ละเจ้ามีรีวิวยังไง เข้าไปดูหน้าเว็บ วิธีการติดต่อ คือพี่ชอบของก้อปันกันที่สุด ถ้าเจ้าไหนที่พี่อ่านข้อมูลบนเว็บไซต์แล้วพี่เข้าใจได้โดยไม่ต้องถามเขาเพิ่ม ก็ถือว่าเขาสามารถพรีเซ็นต์อะไรที่มันออกมาแบบ พูดจารู้เรื่อง 5555 พี่ว่ามันควรจะเป็นแบบนั้น เวลาเราให้บริการอะไรแก่ใคร เราทำโปสเตอร์แผ่นเดียว ลูกค้าต้องดูและเข้าใจได้ในแผ่นเดียว คือก้อปันกันเขียนชัดเจน เข้าใจเลย ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ คืนเท่าไหร่ คืนวันไหน โดยที่พี่ไม่ต้องถามเขาอีกรอบ แล้วพี่รู้สึกว่าพี่ประทับใจในส่วนนี้ของเขา
เพิ่มเติมเกี่ยวกับสถาบัน BCIT