คุยกับ ชิง – ญานิกา
กับ 2 เดือนในแคนาดา ที่ทำให้เธอพูดภาษาอังกฤษดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนไทยไปเรียนภาษาในต่างประเทศเพื่อพัฒนาทักษะของตัวเอง แต่ก็ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เจอกับนักศึกษาในคณะวิทยาศาสตร์ที่ตัดสินใจพาตัวเองไปฝึกฝนภาษาอังกฤษทั้งที่ยังเรียนไม่จบ!
วันนี้ KPG มีโอกาสได้คุยกับ ชิง – ญานิกา จันยั่งยืน กับประสบการณ์ 2 เดือนในแคนาดาที่เปลี่ยนเด็กไม่ชอบออกจากบ้านให้กลายเป็นคนชอบเดินป่า และพูดภาษาอังกฤษได้ไม่หยุด นี่ไม่ใช่ความมหัศจรรย์ แต่เป็นสภาพแวดล้อมที่ชิงได้ไปอยู่แบบถูกที่ ถูกเวลา และชิงจะเอาเรื่องราวทั้งหมดนี้มาเล่าให้เราทุกคนฟัง
เป็นยังไงบ้างบรรยากาศในการเรียนหลังกลับจากแคนาดา
นี่เพิ่งขึ้นปี 2 มา ตอนนี้เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ สาขาจุลชีววิทยา เอาจริงๆ ก็ยังไม่ชินกับการเรียนออนไซท์ และรู้สึกไม่ชอบเลย เพราะตอนเรียนปี 1 เป็นแบบออนไลน์ กลายเป็นว่ารุ่นเรารู้สึกดีกลับการเรียนออนไลน์ไปแล้ว ไม่อยากไปเรียนที่มหาวิทยาลัย เพราะคิดว่าบางวิชาไม่จำเป็นต้องไปเรียนในห้องก็ได้
ภาษาอังกฤษในสถาบันการศึกษาไทยสมัยนี้ก็ยังไม่พอหรอ?
เราคิดว่าประเทศไทยสอนภาษาอังกฤษแน่นมาก โดยเฉพาะแกรมม่า และคำศัพท์ แต่การเอาออกมาใช้ในชีวิตประจำวันมันไม่ได้ เหมือนมันอ่านได้ เขียนได้ แต่พูดไม่ออก เรียนแต่วิธีเอาเข้าแต่ไม่รู้วิธีเอาออก การเรียนที่แคนาดาคือได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษล้วน แค่เลิกเรียนก็ได้ใช้เลย เวลาไปซื้อของก็ได้ฝึกจริงๆ แต่ที่เมืองไทย ชิงก็เคยเรียนที่สถาบันสอนภาษามาก่อน ไม่ได้เลย เพราะว่าเพื่อนก็คนไทย
แล้วทำไมต้องแคนาดา?
ตอนแรกจะไปที่ประเทศออสเตรเลีย แต่ว่าเขาปิดประเทศอยู่ก็เลยขอวีซ่าไม่ได้ แล้วก็เปลี่ยนไปที่ประเทศอังกฤษ แต่ดูไปดูมาแล้วรู้สึกแพงมาก (หัวเราะ) ค่าครองชีพเขาสูงมาก สุดท้ายก็มาจบที่แคนาดา จริงๆ ไม่เคยรู้จักเมืองนี้มาก่อนด้วยซ้ำ ไม่เคยได้ยินชื่อแวนคูเวอร์เลย (หัวเราะ)
สุดท้ายก็มาเจอ VGC แล้วก็ KPG ในเวลาไล่เลี่ยกัน ถูกไหม?
เราเสิร์จใน Google ก่อน ก็พยายามดูหลายๆ เอเจนซี่ว่าเขามีโรงเรียนไหนบ้าง หลักๆ ก็จะมี ILSC (ILSC Language Schools & Greystone Colleges) ILAC (International Language Academy of Canada) กับ VGC (VGC International College) ที่เขานิยมไปเรียนกัน จากนั้นก็อ่านรีวิวไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็มาจบที่ VGC เพราะรู้สึกว่าเขาสอนเน้นไปที่การใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่าทางวิชาการ ถึงค่อยมาเจอพี่กันต์กับ KPG
แล้วคอร์สที่ชิงเลือกเรียนคือ?
ชิงเลือกเรียนคอร์ส Global English แต่จริงๆ มีให้เลือกเยอะเลยนะ เช่น University Pathway หรือคอร์สสำหรับ IELTS ก็มี แล้วก็พวกโปรแกรมที่ร่วมกับสถาบันอื่นต่างๆ อีกเยอะมาก
เป็นยังไง ไปจริงๆ แล้วเหมือนหรือต่างจากที่คิดไหม?
ที่จินตนาการตอนแรกคือต้องใช้ชีวิตยาก แอบกังวลนิดนึงว่าเราจะไปรอดไหม นี่คือการไปต่างประเทศครั้งแรกคนเดียวของชิงเลย ตอนแรกพ่อก็กังวลนิดหน่อย เป็นห่วงเรื่องการอยู่การกินของเรา แต่สุดท้ายก็อยู่ได้นะคะ (หัวเราะ) แต่เข้าใจความกังวลของที่บ้านนะ เพราะปกติชิงไม่ค่อยออกไปไหน อยู่แต่ในห้อง แต่วันหนึ่งจะพาตัวเองข้ามน้ำข้ามประเทศไปแคนาดาเลยหรอ
แปลว่าเราใช้เวลาเตรียมตัวประมาณนึงเลย?
ความคิดอยากจะไปเรียนต่อผุดขึ้นมาเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ตอนนั้นเรียนออนไลน์อยู่แล้วรู้สึกว่า เห้ย เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ฉันต้องไปที่ไหนสักที่หนึ่ง ไม่อยากจมอยู่กับสิ่งเดิมๆ แบบนี้ ก็เลยเริ่มหาข้อมูลตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ส่วนการเตรียมตัวจริงๆ ประมาณเดือนกุมภา-มีนานี่แหละ เพราะเราก็ต้องรอให้วีซ่าผ่านเพื่อความแน่ใจว่าได้ไปแน่ๆ เราปิดเทอมต้นเดือนเมษา พอถึงกลางเมษาก็บินเลย แต่ชิงก็ทำการบ้านหนักเหมือนกันนะ หาเลยว่าตั้งแต่เครื่องออกจากประเทศไทย พอไปเปลี่ยนเครื่องที่ญี่ปุ่นต้องไปทางไหน สภาพอากาศเป็นยังไง ต้องเตรียมเสื้อผ้าแบบไหนไปบ้าง พยายามดูรีวิวทั้งในเว็บไซต์ และ Youtube ส่วนเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเรียน และยื่นวีซ่า พี่กันต์ทำให้หมดเลย ไม่มีปัญหาอะไรเลย
วันแรกใน VGC ล่ะ ยังจำได้ไหม?
เริ่มวันแรกตอน 25 เมษา จำได้เลย เป็นการปฐมนิเทศก่อน ก็จะแนะนำว่าที่นี่เรียนกันยังไง มีกิจกรรมอะไรบ้าง แล้วเขาก็พาทัวร์แคมปัสเพื่อให้เราดูว่าสถานที่อะไรอยู่ตรงไหน ที่ไหนเราเข้าได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นมากนะ เพราะหาข้อมูลมาแล้ว ชิงถึงกับเปิด Google Map แล้วเอาคนลงไปเดิน (หัวเราะ) ให้รู้ว่าโรงเรียนใกล้อะไรตรงไหน
เล่าให้ฟังหน่อยว่าแต่ละวันเรียนอะไรบ้าง?
เรียนภาษา แต่เรียนเต็มวันเลย วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่ 8:45 – 15:25 แต่ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นนะ เขาจะแบ่งออกเป็น 3 บล็อก ช่วงเช้าจะเรียนแกรมม่าทั่วไป มีคำศัพท์ และบทสนทนา ช่วงบ่ายก็จะเป็นวิชาเลือกแยกกันไป เลือกเรียนเองได้ อีกอันจะเป็นวิชาย่อยอีก คล้ายๆ วิชาเลือกเลย ทั้งวันจะแยกทั้งหมด 3 คลาส เจอครู 3 คน
เด็กไทยใน VGC นี่สู้กับนักเรียนชาติอื่นไหวไหม?
กลายเป็นว่าอังกฤษของคนไทย ดีกว่าของประเทศอื่นๆ ในเอเชียอีก เวลาครูพูดมาเรารู้เลยว่าต้องใช้ในบริบทไหน ชิงคิดว่าเราพอสื่อสารรู้เรื่องนะ ในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าจะไปสอบจริงจังแบบ IELTS คงยังไม่ได้ นั่นแปลว่าไม่ใช่เราไม่เก่งนะ แต่เราไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนให้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน มาที่นี่ก็เหมือนการลงทุนซื้อบรรยากาศ ซื้อเวลาตลอด 2 เดือนที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน ส่วนชาติอื่นเขาจะมีความสู้ตายมากในเรื่องการพูด ถึงแม้ว่าแกรมม่าอาจจะไม่ได้ดีมากแต่เขาจะกล้าพูดออกมามากกว่า นอกจากจะได้เรียนภาษาแล้ว เรายังได้เห็นว่าประเทศอื่นเขาให้ความสำคัญกับเรื่องการสื่อสารในมิติไหนมากกว่ากัน
คนแคนาดาล่ะ เป็นยังไงบ้าง?
ใจดีนะ ถามอะไรก็ตอบ บางครั้งอยู่ดีๆ ก็มาเซย์ไฮกับเรา ตอนแรกก็งงว่าใครวะ (หัวเราะ)
แล้วครูกับบุคลากรที่นั่นเขาฟีดแบ็กกับเราว่ายังไงบ้าง?
เขาบอกว่าการออกเสียงเราดี (หัวเราะ) มันจะมีการทดสอบทุกๆ 2 อาทิตย์ แบ่งเป็ 4 ทักษะ ก็คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน วันนั้นจะสอบทั้งวันเลย พอถึงวันศุกร์เขาก็จะเอาคะแนนมาให้ แล้วก็มีฟีดแบ็ก เรียกไปคุยตัวต่อตัวเลย ชิงว่าจากทักษะทั้งหมด การพูดเนี่ยของพัฒนาได้ดีที่สุดเลย พอเข้าสัปดาห์ที่ 3 ก็รู้สึกว่ากล้าพูดมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เราไม่กล้านะ แต่ในหัวมันเรียบเรียงออกมาเป็นประโยคไม่ได้ ในสัปดาห์หลังๆ ชิงรู้สึกว่าตัวเองพูดเก่งมากเลย (หัวเราะ)
โฮสต์ล่ะ ได้บ้านที่โอเคใช่ไหม?
โอ้ น่ารักมากค่ะ เป็นครอบครัวชาวฟิลิปปินส์ ที่บ้านเขาอยู่ด้วยกันทั้งหมด 7 คน ส่วนเด็กแลกเปลี่ยนที่ไปอยู่จะมีชิงกับเพื่อนญี่ปุ่นอีกคนนึง เขาบอกว่าปกติจะรับเฉพาะคนไทยกับคนญี่ปุ่นเท่านั้น ถ้าเป็นชาติอื่นจะไม่รับเลย
วันธรรมดาต้องไปโรงเรียน แล้ววันหยุดทำอะไร?
เหมือนชีพจรลงเท้าเลย (หัวเราะ) ถ้าแฮงเอ๊าท์กับเพื่อนกลุ่มใหญ่ก็จะไปพวกอุทยานแห่งชาติ ไปเดินป่า ไป Hiking เป็นสิ่งที่อยู่เมืองไทยไม่เคยทำเลย แต่บรรยากาศที่นี่มันดีมาก เดิน 11 กิโลเมตรต่อวันยังไม่รู้สึกเหนื่อยเลย อากาศดีมาก แต่ถ้าไปกับรูมเมทก็จะเป็นพวกการชอปปิ้ง เอาเรื่องเหมือนกัน มีเท่าไหร่ก็หมด ร้านอาหารก็กินเยอะ (หัวเราะ) มีคาเฟ่นิดหน่อย ไม่ค่อยนั่งเพราะไม่ใช่สายถ่ายรูป เป็นสายกิน
แต่ไม่ได้มีปัญหากับเรื่องการเดินทางเนอะ? ปกติเดินทางยังไง?
ใช้รถบัสแล้วก็ Sky Train สนุกมากๆ เลย อย่างถ้ามาจากบ้านที่ชิงอยู่ จะต้องไปรอรถบัสก่อน แป๊บเดียวเอง พอข้ามสะพานไปต่อรถไฟฟ้าก็ยั่งยาวไปจนถึงสุดสถานีเลยเพื่อไปโรงเรียน มันดีนะ ถึงแม้มันจะไกลแต่ก็รู้สึกว่าใช้ชีวิตได้สะดวกสบายกว่าอยู่เมืองไทย
แล้วอะไรทำให้ชิงเลือกใช้บริการจาก KPG
จริงๆ ชิงทักไปถามหลายเอเจนซี่มากๆ บางที่ก็ตอบเหมือนไม่อยากได้ลูกค้า ไม่รู้สึกว่าอยากจะช่วยเหลือเรา จนมาเจอพี่กันต์เพราะทักไปถามว่ามีคอร์สเรียนภาษาที่แคนาดาไหม เขาก็ส่งรายละเอียดมาให้ แล้วก็ได้คุยกันว่าทำไมเราอยากไป พอตกลงว่าจะใช้ KPG แล้วเลยนัดคุยกันทางออนไลน์ สัมภาษณ์เราเพื่อช่วยเขียน SOP (Statement of Purpose) เพื่อเอาไปยื่นประกอบตอนขอวีซ่า เพราะแคนาดาเขาให้ความสำคัญกับเรื่องความรับผิดชอบทางด้านค่าใช้จ่ายมาก ต้องเขียนไปว่าที่บ้านเราทำอะไร ใครจะเป็นคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายตลอดการอยู่ตลอด 2 เดือนนี้ไหม
อีกอย่างที่ตัดสินใจใช้ KPG เพราะเขามีระบบหลังบ้านที่ดี เราจะเช็คได้เลยว่าแต่ละขั้นตอนดำเนินการไปถึงไหนแล้ว มีอะไรที่จะต้องทำต่อไป ง่ายต่อการตามเอกสาร ก่อนชิงจะกลับ 2 อาทิตย์ พี่กันต์ก็มาหาถึง VGC เลยนะ มาเจอกัน ประทับใจมาก
เพิ่มเติมเกี่ยวกับ VGC International College – คลิก