รีวิว เรียนหลักสูตร SPEED ESL ที่ฟิลิปปินส์
ระยะเวลา 4 สัปดาห์ (09 MARCH – 04 APRIL 2025)
กับสถาบัน API BECI EOP Campus โดยคุณไวโอลิน
แนะนำตัวหน่อยค่ะ ?
ชื่อ ณฐิกา แก้วจันทร์ ชื่อเล่น ไวโอลิน อายุ 17 ปีค่ะ ตอนนี้เป็นนักเรียนกำลังจะขึ้น ม.6 ค่ะ
ทำไมถึงสนใจไปเรียนที่ฟิลิปปินส์ ?
ตอนเเรกก็ดูที่อื่นไว้เยอะค่ะ แต่ว่าเจอของฟิลิปปินส์ ที่เจอเป็นบรรยากาศของโรงเรียนก็เลยเหมือนเป็น First impression ถูกใจบรรยากาศของโรงเรียนเขา ที่เป็นหอพักของ API BECI นี่ล่ะค่ะ ห้องพักน่าอยู่ วิวตรงหน้าต่างค่อนข้างจะร่มรื่นเป็นธรรมชาติ ด้วยส่วนตัวหนูชอบธรรมชาติแล้วเจอรูปนี้เข้า ก็เลยเป็นจุดเปลี่ยนเลยค่ะจากประเทศอื่นๆ มาเป็นฟิลิปปินส์ค่ะ
รู้สึกกลัวไหมก่อนมาเรียนที่ฟิลิปปินส์ ?
ตอนแรกที่ดูยังไม่เท่าไหร่ค่ะ เพราะยังไม่ได้ศึกษาลึกมาก แต่พอเริ่มศึกษาไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมีคนมาพูดให้เราฟังว่า ฟิลิปปินส์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ แต่เราก็ไปเมืองที่เขาบอกว่าปลอดภัย ก็เลยอยากลองไปดูสักครั้งค่ะ
การเดินทางจากสนามบินไปโรงเรียนค่อนข้างใช้ระยะเวลานานเป็นอุปสรรคไหม ?
สำหรับหนูไม่ค่อยเป็นอุปสรรคค่ะ ส่วนตัวหนูชอบนั่งอยู่ในรถนานๆ แบบนั่งรถไปแล้วก็ชมวิวรอบข้างไป หนูก็เลยรู้สึกว่า 6 ชั่วโมงบนรถของหนูไม่ได้เป็นอุปสรรคมากค่ะ
เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกมีความกังวลอะไรบ้าง ?
ตอนเเรกหนูไม่ได้กังวลมากเท่าไหร่ พอไปถึงสนามบินมะนิลาถึงค่อยกังวลว่าเราจะเอาตัวรอดได้ไหม จะมีคนมารับเราจริงๆ รึเปล่า เริ่มมีความคิดในหัวเยอะแยะค่ะ แต่พอขึ้นรถตู้ที่โรงเรียนมารับเราก็หายกังวลแล้วค่ะ
ประสบการณ์ผ่าน ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เป็นอย่างไรบ้าง ?
ตม. ค่อนข้างจะหน้านิ่งๆ ถามเบาๆ แค่คำถามเดียวค่ะว่า มาทำอะไร ก็เลยตอบเขาไปว่า มาเรียนภาษา เขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อค่ะ แต่เราก็ส่งเอกสารที่ทาง KPG ให้เตรียมไว้ยื่นให้ทางเจ้าหน้าที่ดูหมดเลยค่ะ
หาเจ้าหน้าที่ที่มารับที่สนามบินมะนิลายากไหม ?
หนูไปถึงสนามบินตี 3 รถมาถึงสนามบิน 7 โมง เกือบ 8 โมงเช้า ก็ออกไปหาเจ้าหน้าที่ค่ะ หาเจ้าหน้าที่ไม่ยากค่ะ เพราะว่าเดินไปที่จุดนัดพบ เขาก็จะมีป้ายใหญ่ๆ Besa Pick up เราก็เดินไปหาเขาค่ะ
ประสบการณ์นั่งรถตู้จากสนามบินไปโรงเรียนเป็นยังไงบ้าง ?
รถตู้ที่หนูนั่งไปมี 6 คน เขามีแวะจอดพักที่นึงค่ะ เข้าห้องน้ำได้ กินข้าวได้ค่ะ แล้วก็จะแวะที่ JIC ก่อน 4 คน แล้วก็ส่งหนูที่ Beci เเล้วก็คนสุดท้ายที่ Monol ค่ะ จากสนามบินมะนิลาไปโรงเรียน ถ้าไม่รวมที่รถจอดแวะพักก็ประมาณ 5 ชั่วโมงนิดๆ ค่ะ แต่ถ้ารวมที่จอดแวะพักด้วยก็ 6 ชั่วโมงค่ะ แต่เหมือนคนขับรถเขาจะหลงทางนะคะ เพราะชื่อแคมปัสจาก Cafe เปลี่ยนเป็น EOP ใช่ไหมคะ เขาก็งง ว่า EOP คืออะไร เพราะเพื่อนอีกคนนึงที่เขาเป็นรูมเมทหนูเขามาอีกคันนึง (มาจาก Terminal3) เขามาถึงก่อนหนูทั้งๆ ที่รถก็ออกพร้อมๆ กันเลย
พอรถมาส่งที่โรงเรียนแล้วทำอะไรต่อบ้างคะ ?
คนขับรถตู้เขาก็จอดรถรอให้เจ้าหน้าที่โรงเรียนมารับหนูก่อน เขาก็ค่อยไปค่ะ ข้างหน้าโรงเรียนจะมีที่นั่ง ตอนแรกหนูก็นั่งรอสักพักก็มีเจ้าหน้าที่โรงเรียนมารับ เขาก็มาถามชื่อ มาช่วยยกกระเป๋าพาไปที่ห้องพักค่ะ เจ้าหน้าที่โรงเรียนเขาก็จะมีเอกสารมาให้ว่าพรุ่งนี้เราต้องทำอะไรบ้าง แล้วก็บอกเรื่อง Wifi แล้วก็แจ้งว่าสามารถลงไปทานข้าวได้ ห้องพักก็ค่อนข้างจะตรงปกนะคะ แต่เรื่องวิวไม่ค่อยตรงเพราะว่าไม่ได้นอนห้องที่มีวิวแบบที่หนูเห็นในรูปค่ะ
ห้องน้ำที่ต้องเเชร์กันเพียงพอไหมกับจำนวนนักเรียน ?
ด้วยความที่หนูไปตอนนักเรียนไม่เยอะค่ะ ชั้นที่หนูอยู่มีคนอยู่แค่ 6 คนเองค่ะ ก็เลยค่อนข้างจะสะดวก เวลาที่หนูไปห้องน้ำไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเลยค่ะ หนูสามารถเข้าได้คนเดียวเลย หนูไปทีไรไม่เคยเจอใครเลยค่ะ ถ้าหนูไปอาบน้ำเร็วก็ไม่เจอใคร แต่ถ้าอาบน้ำดึกก็จะเจอบ้างค่ะ
รูมเมทเป็นยังไงบ้าง ?
รูมเมทจะมีคนนึงที่มาวันเดียวกันกับหนูเป็นคนเวียดนามค่ะ เขามาถึงก่อนหนูเขาก็เลยได้เลือกเตียงก่อนหนู (หัวเราะ) หนูก็เลยได้นอนตรงกลางค่ะ กับอีกคนนึงที่เขาอยู่มานานแล้ว อยู่มา 3-4 เดือนแล้วเป็นคนญี่ปุ่นค่ะ คนญี่ปุ่นเขาอยู่แค่ 2 อาทิตย์ เขาก็จบการศึกษาไปค่ะ เขาเหมือนร้านขายของชำเลยค่ะ เขามีของทุกอย่าง (หัวเราะ)
วันจันทร์แรกเป็นยังไงบ้าง ?
ตอนเช้าหลังจากทานข้าวเสร็จเขาก็จะให้ไปทำข้อสอบค่ะ มีทั้งหมด 4 พาร์ท Speaking, Reading, Listening และ Writing ค่ะ หลังจากที่สอบเสร็จก็เที่ยงพอดี เราก็พักทานข้าวกัน หลังจากนั้นก็จะมีชี้แจงกฎระเบียบต่างๆ ในโรงเรียน แล้วก็พาทัวร์โรงเรียนค่ะ หลังจากทัวร์โรงเรียนเสร็จ ก็พาไปห้าง SM ค่ะ หลังจาก SM เสร็จก็ค่ำแล้วค่ะ ก็กลับมาโรงเรียนมาทานข้าวเย็น ไปจ่าย Local Fee รับหนังสือเรียน แล้วก็เข้านอนปกติค่ะ
อาหารที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง ?
หนูไม่ค่อยชอบอาหารเช้าค่ะ เพราะว่าเขาจะมีซีเรียล นม ขนมปัง ผัก แค่นี้ค่ะ หนูไม่ค่อยชอบทานคาร์โบไฮเดรตตอนเช้า มันไม่ค่อยอยู่ท้องสำหรับหนูค่ะ
กลางวันค่อนข้างโอเคค่ะ แต่ก็จะมีบางมื้อที่เขาจะเน้นคาร์โบไฮเดรตเยอะก็จะไม่ค่อยอยู่ท้องค่ะ บางมื้อก็มีโปรตีน ก็หนักโปรตีนก็มีค่ะ
อาหารก็มีครบ 3 มื้อค่ะ ทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ แต่ว่า เสาร์-อาทิตย์ ก็จะมีเมนูน้อยกว่าวันธรรมดาค่ะ
การเรียนเป็นยังไงบ้าง ?
สำหรับหนูบางวิชาก็จะซ้ำๆ แพทเทิร์นเดิมๆ ทุกวัน สำหรับบางคนอาจจะเบื่อค่ะ เช่น ในหนังสือจะมีแต่งประโยค 3 ประโยคจากคำศัพท์ 3 คำ มีตอบคำถาม แต่งประโยคจากภาพ แล้วก็จะมีตอบคำถามอีกค่ะ วิชานึงก็จะเหมือนเดิมทุกๆ วัน ก็จะเปลี่ยนคำศัพท์ไปเรื่อยๆ เปลียนคำถามไปเรื่อยๆ ค่ะ
คาบแรก หนูเรียนเป็นแกรมม่า ตัวต่อตัวค่ะ ตอนแรกหนูก็เปลี่ยนคุณครูค่ะ เขาสอนดีนะคะ แต่เขาพูดแล้วหนูไม่เข้าใจ เขาอธิบายหนูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี มันอาจเป็นเรื่องที่หนูเรียนมาแล้วที่โรงเรียน แต่พออธิบายปุ๊บหนูงง จากเข้าใจเป็นงง ก็เลยเปลี่ยนครูค่ะ ครูคนใหม่เขาไม่ได้สอนตามหนังสือค่ะ เขาสอนตามที่เขาอยากสอนค่ะ เขาดูว่าหนูควรจะเรียนเรื่องประมาณไหน เขาค่อนข้างอธิบายเข้าใจเลยค่ะ ถ้าเราไม่เข้าใจอะไร เขาก็จะให้เราสร้างคำถามให้เขาตอบค่ะ
คาบที่สอง เป็นคลาสกลุ่ม speaking ค่ะ มีนักเรียนในคลาสประมาณ 5 คน เป็นคนไต้หวัน 2 คนค่ะ ญี่ปุ่น 1 คน และซาอุฯ 1 คนค่ะ ค่อนข้างจะชอบ เพราะว่า เขาจะสอน idiom เอา idiom มาแต่งประโยค แชร์ความคิดเห็นกัน เราก็จะได้เห็นมุมมองจากเพื่อนๆ ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ แล้วเอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวันเราได้ด้วย หนูคิดว่ามันได้มากกว่า Speaking ค่ะ
ตอนเเรกหนูมีเปลี่ยนคลาสเรียนกลุ่ม Speaking ค่ะ ครูค่อนข้างน่ารัก สอนเข้าใจ แต่หนูรู้สึกว่าเนื้อหาง่ายไปสำหรับหนู ก็เลยอยากจะเปลี่ยนคลาสอื่นแทนค่ะ
คาบที่สาม เป็นคลาส Speaking ตัวต่อตัว ชื่อ Tic Talk ค่ะ
คาบที่สี่ เป็นคลาสกลุ่ม Listening ค่ะ มีนักเรียนในคลาสประมาณ 5 คนเหมือนกันค่ะ เริ่มแรกครูจะสอนเรื่องคำศัพท์ก่อน หนูค่อนข้างจะชอบครูคนนี้ค่ะ เพราะบางคำศัพท์เราไม่รู้ ครูเขาสามารถอธิบายให้เราเข้าใจในภาษาอังกฤษได้เลย ครูเขาจะเปิด Audio ให้เราฟังแล้วให้เราตอบคำถาม จะมีหาคำที่หายไป ให้เราฟังแล้วก็เขียนคำในช่องว่างที่หายไปค่ะ
คาบที่ห้า เป็นคลาส Reading ตัวต่อตัวค่ะ ช่วงแรกๆ จะเป็นสอนคำศัพท์ค่ะ เขาจะมีคำอธิบายแล้วให้เราเลือกคำศัพท์ไปใส่กับคำอธิบายให้ตรงกัน พวกคำศัพท์ในนั้นก็จะอยู่ในบทความที่เราต้องอ่านค่ะ
คาบสุดท้าย เป็นคลาสเรียน แบบตัวต่อตัว ชื่อ Speaker’s Nook เป็นคลาสเรียน Speaking ที่ได้ฝึก Writing ไปด้วยค่ะ เพราะว่า เขาจะให้เราบรรยายภาพค่ะ วันแรกก็จะมีภาพมาให้เล่าเกี่ยวกับภาพนั้นค่ะ พูดไปก่อน พอหลังจากนั้นก็ไปทำการบ้านเป็นแบบเขียนมาแล้วก็วันถัดมาก็ให้ครูเขาตรวจแกรมม่าค่ะ
ตอนที่ไปแรกๆ หนูจะเขียนเหมือนที่หนูพูดค่ะ พูดอาจจะถูก แต่พอเราเขียนก็อาจจะไม่ถูก แต่พอเขียนไปเรื่อยๆ เขียนบ่อยๆ เราก็จะรู้วิธีการเขียน จะเห็นว่า การเขียนต้องเขียนแบบนี้ค่ะ ถ้าเราไม่รู้เราสามารถถามครูได้ค่ะว่าจะเริ่มยังไงดี แต่ว่าในหนังสือก็จะมีคำถามมาให้ ว่าเราควรที่จะอธิบายประมาณนี้ มีตัวอย่างมาให้ค่ะ
Optional Class ที่โรงเรียนมีเรียนอะไรบ้าง ?
มีเป็น Night Class จะมีคุณครูสอนค่ะ จะมี Speaking, Listening แล้วก็ Pronunciation ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มค่ะ ไม่บังคับเรียนใครอยากเรียนก็เรียนได้ สำหรับนักเรียนที่ไม่ใช่ Intensive ESL เพราะถ้าเป็นนักเรียน Intensive ESL จะบังคับเรียนค่ะ เขาจะมีให้เลือกเรียน 3 เวลา เป็นคลาสกลุ่มไม่เกิน 6 คน ต้องไปลงชื่อก่อนค่ะ ไม่เเบ่งระดับภาษาอังกฤษของนักเรียน สามารถเปลี่ยนได้ตลอด ถ้าไม่ถูกใจก็เปลี่ยนไปคลาสอื่นได้ตลอดค่ะ
หนูเรียนแค่คาบเดียวค่ะ ตอนแรกเรียน Speaking แล้วก็เปลี่ยนไปเป็น Listening คลาสแรกค่อนข้างสนุกค่ะ เขาจะมีหัวข้อมาให้เราพูด ให้แชร์เกี่ยวกับวัฒนธรรมของประเทศเรา ส่วนคาบที่สองเหมือนหนูสับสนเวลานิดหน่อย พอเข้าไปเรียนเขาก็ใกล้จะจบคลาสแล้ว (หัวเราะ) สอนเกี่ยวกับคำศัพท์ ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ
เลือกเรียนในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียน ?
ช่วงอาทิตย์แรกหนูเรียนในห้องค่ะ แต่พออาทิตย์ที่สองก็เรียนข้างนอก สำหรับบางคนหนูคิดว่าถ้าเรียนในห้องอาจจะอึดอัด ถ้าต้องอยู่ห้องเล็กๆ ทุกวันๆ
EOP (English Only Policy) Campus มีความเข้มงวดในการใช้ภาษาอังกฤษมากน้อยแค่ไหน ?
ช่วงที่หนูไปเป็นช่วงเริ่มของเขา เขาก็ยังไม่ได้เข้มงวดมาก แต่อาทิตย์สุดท้ายที่หนูจะกลับมา มีเพื่อนได้ใบ -5 คะแนนหลายคน แต่ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีใครได้ค่ะ
ปรับตัวยากไหม ?
หนูว่าสำหรับเรื่องเวลาก็ไม่ได้ปรับตัวยากค่ะ แต่ก็เครียดๆ วันสองวันเเรก เพราะเรากลัวไม่มีเพื่อน กลัวไม่มีใครคุยกับเรา แต่พอเริ่มมีเพื่อนก็เริ่มดีขึ้นค่ะ ไม่ได้เครียดค่ะ เรื่องการอยู่การกินเขาค่อนข้างเหมือนเราค่ะ แต่เรื่องอาหารก็มีบางคนที่อาจจะไม่ชอบ เพราะว่าก็จืดๆ บ้าง บางอย่างอาจจะไม่ถูกรสปากคนไทยค่ะ
สำเนียงครูฟิลิปปินส์เป็นยังไงบ้าง ?
ถ้าสำเนียงคุณครูดีเลยค่ะ การออกเสียงค่อนข้างเป๊ะนะคะ ถ้าเราออกเสียงผิดคุณครูเขาก็จะแก้ให้ตลอด แต่ถ้าเป็นคนฟิลิปปินส์ข้างนอกที่ไม่ใช่คุณครูเขาก็มีสำเนียงของเขาค่ะ
เรียนครบ 4 สัปดาห์แล้ว ภาษาอังกฤษพัฒนาตามที่คาดหวังไว้ไหม ?
ตอนไปแรกๆ เราคาดหวังว่าเราจะพูดคล่องขึ้น และคาดหวังว่าเราจะเข้าใจการฟังมากขึ้น เพราะตอนทำเทสต์ เราเข้าใจที่เขาพูดแต่ก็ยังเข้าใจไม่สุด ยังงงๆ อยู่ค่ะ ก็เลยคาดหวังว่าพอเราเรียนเสร็จเราต้องเข้าใจแบบเคลียร์ แต่ว่า ส่วนตัวหนูรู้สึกว่า ด้วยเนื้อหาที่เขาสอนกับเนื้อหาที่เขาสอบค่อนข้างจะแตกต่างกัน เพราะข้อสอบเป็นข้อสอบแบบมาตรฐาน อาจจะด้วยระดับภาษาของหนูก็จะยังไม่ถึงระดับข้อสอบที่ได้สอบค่ะ
เวลาหนูเรียนคาบ Listening ในห้องเรียนก็จะฟังรู้เรื่อง แต่พอทำเทสต์ก็จะงงๆ ก็พอเดาได้ค่ะ แต่ส่วนตัวหนูรู้สึกว่า Speaking ไม่ได้พัฒนาเท่าไหร่ เพราะเวลาเราเรียนกับคุณครูเราก็จะพูดกันที่เนื้อหาที่เรียน แต่ที่เราพัฒนาก็มาจากเพื่อน ถ้าใครอยากพัฒนา Speaking เยอะๆ ต้องคุยกับเพื่อนที่เขาระดับภาษาสูงๆ กว่าเราค่ะ
ตอนเเรกหนูค่อนข้างจะขี้อาย แต่ว่าเหมือนตอนนั้นเราไปก็บอกกับตัวเองว่า เราต้องคุยกับเพื่อนนะ เราต้องได้สื่อสารกับคนอื่นนะ ก็เลยรู้สึกว่า เหมือนเป็นคนละคนกับตอนอยู่ที่ไทยค่ะ เพราะเราคุยกับเพื่อนเยอะขึ้นได้ทำความรู้จักกับทุกคนค่ะ
ถ้าใครที่ฝึก Listening ก็ค่อนข้างดีเลยค่ะ เพราะจบคอร์สแล้วกลับบ้าน เราก็สามารถขอ Audio จากครูไปฟังไปฝึกต่อที่บ้านได้ค่ะ
เรียนภาษาอังกฤษที่ไทยกับเรียนที่ฟิลิปปินส์เหมือนหรือต่างกันยังไงบ้าง ?
หนูรู้สึกว่าตอนเรียนที่ฟิลิปปินส์ พอเราเรียนเสร็จปุ๊บ หนูเรียนคำศัพท์นี้ หนูสามารถเอาไปใช้ได้เลย พอใช้ปุ๊บเราก็จะจำได้เลยค่ะ แต่ถ้าตอนเรียนอยู่ไทย เราก็เรียน เราก็จำอย่างเดียว แต่เราไม่ได้เอาไปใช้เลยสักวันนึงเราก็จะลืมคำศัพท์นั้นไปค่ะ ถ้าเรียนกับครูคนไทยเราก็พูดภาษาไทยกันก็จะเข้าใจกันได้ง่ายกว่า แต่ครูฟิลิปปินส์ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ เราก็ถามเขาได้ หนูแค่รู้สึกว่า บางจุดที่เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ถ้าเราพูดเป็นภาษาไทยเราน่าจะเข้าใจกันง่ายกว่าค่ะ
สิ่งที่ได้กลับไทยนอกจากภาษาที่พัฒนาขึ้น ?
ได้เพื่อนค่ะ หนูรู้สึกว่าทุกคนเฟรนลี่มาก เขาไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร เราสามารถคุยได้กับทุกคนเลย ตอนที่หนูไปสัปดาห์แรก หนูจะอายุน้อยที่สุด คนอื่นเขาก็อายุ 20+ แต่หนูก็รู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นปัญหากับอายุของเราเลย เราสามารถที่จะคุยกับเพื่อที่เป็นผู้ใหญ่ได้ เราได้มิตรภาพกลับมาเยอะมากๆ แล้วก็เพื่อนที่เป็นรุ่นพี่เขาก็บอกหนูว่า เราเปลี่ยนไปจากวันแรก รู้สึกว่าเราโตขึ้น
ที่นั่นเหมือนครอบครัวค่ะ รู้สึกว่าอยู่ที่นั่นเหมือนอยู่กับครอบครัว ไม่ได้รู้สึกว่าอยู่กันแค่คุณครู อยู่กับแค่เพื่อน อาจจะหนูอายุน้อยสุดเขาเลยดูแลเทคแคร์ดีค่ะ
โรงเรียนไม่มีเจ้าหน้าที่คนไทย มีปัญหาอะไรไหม ?
สำหรับหนูไม่มีค่ะ สมมติว่าเราต้องการขอความช่วยเหลือเราสามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ทุกคนได้ แต่ว่าคนที่เขามีเจ้าหน้าที่ของตัวเอง เขาก็ต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ของตัวเองค่ะ แต่หนูสามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ทุกคนได้เลยค่ะ
หนูเป็นคนไทยคนเดียวเลยค่ะ ตอนที่หนูไปวันเเรกแล้วขึ้นไปที่หอพัก ก็มีเจ้าหน้าที่คนจีนค่ะ เขาก็เข้ามาถามหนูว่า มาจากไหน พอรู้ว่าเป็นคนไทยเขาก็ตื่นเต้นกันใหญ่เลยค่ะ
ที่โรงเรียนเจอเพื่อนชาติไหนบ้าง ช่วงอายุเท่าไหร่บ้าง ?
เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม ไต้หวัน ซาอุฯ ค่ะ ช่วงอายุหนูเจอ 20 ขึ้นหมดเลย แต่ว่าถ้าเป็นคนญี่ปุ่นก็จะเป็นนักศึกษาที่ช่วงนี้ปิดเทอมมาเรียนกันค่ะ แต่ถ้าชาติอื่นก็อายุประมาณ 26 ขึ้นหมดเลย อายุ 45 ก็มี 60 ก็มีค่ะ
หนูว่าหนูสนิทกับคนที่อายุ 40 มากกว่าคนที่อายุน้อยๆ (หัวเราะ) เพราะเหมือนเขาอยากมีลูก เขาเอ็นดูหนูเหมือนเป็นลูกเลยค่ะ หนูรู้สึกว่าเขาก็ไม่ได้ดูแก่เวลาอยู่ด้วยกัน เหมือนเราอายุเท่าๆกัน เราคุยภาษาเดียวกันค่ะ ส่วนมากเขาก็แค่ถามอายุกันแค่ครั้งเดียว จากนั้นก็ไม่ได้คุยเรื่องอายุกันอีกเลยค่ะ คุยกันเหมือนเพื่อนเลยค่ะ
ระบบการจัดการที่โรงเรียนโอเคไหม ?
ค่อนข้างดีค่ะ แต่บางอย่างก็ค่อนข้างนานค่ะ เช่น SSP card ของหนูข้อมูลผิด เพราะว่าเป็นลายมือเขียน หนูก็พยายามตั้งใจเขียน คิดว่าเขาอ่านลายมือเราไม่ออกรึเปล่า เพราะข้อมูลผิดเยอะมาก เลยต้องทำใหม่ค่ะ ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม เขาก็ทำใหม่ให้เรา เราก็รอประมาณอาทิตย์กว่าๆ ค่ะ
Wifi ที่โรงเรียนสัญญาณดีไหม ?
ดีค่ะ เขาจะมีหลายเราเตอร์ (Router) ค่ะ ถ้าเราอยู่ชั้นล่างก็จะใช้ตัวนึง พอเราขึ้นไปที่ห้องเรา เราก็ใช้อีกตัวนึง แต่ก็จะมีจุดที่ขาดการเชื่อมต่อสักช่วงนึง เป็นช่วงที่เราเดินขึ้นบันไดก็จะไม่มีสัญญาณบ้างค่ะ แถวโต๊ะปิงปองก็จะไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต ไม่มีสัญญาณมือถือเลยค่ะ
เสาร์-อาทิตย์ ทำอะไรบ้าง ?
เสาร์อาทิตย์ แรกๆ ก็ไปแค่ห้าง SM ค่อนข้างครบครันค่ะ ถ้าไปที่อื่นก็จะใช้ Credit/Debit Card ไม่ได้ แต่ไปที่ SM ก็จะใช้ได้ เพื่อนหลายๆคนที่เขาไม่ได้พกเงินสดไป เขาก็จะเลือกไปที่ SM กันค่ะ แต่ถ้าอยากได้ของถูกๆ จะต้องไปซุปเปอร์ข้างนอก อย่างใกล้ๆ โรงเรียนก็จะมีที่ CAAA Supermarket เราสามารถเดินไปได้ค่ะ โดยส่วนมากนักเรียนที่โรงเรียนก็จะเดินไปที่นั่นกันค่ะ
ส่วนสัปดาห์สุดท้ายไปออกทริป Scada เป็นทริปค้างคืนเป็นการไป Hiking กับทางโรงเรียนค่ะ แต่ว่าต้องจ่ายเงินเพิ่ม 3,600 เปโซ สำหรับหนูวิวหรือว่าสถานที่ค่อนข้างโอเค ที่ไม่โอเคก็คือโรงเเรม แต่เขาก็ไม่โอเคทั้งหมดเลยค่ะที่ไปด้วยกัน เขาไม่มีตารางเวลาที่ชัดเจนเท่าไหร่ค่ะ เราไม่รู้ว่าต่อไปเราต้องทำอะไร ต่อไปเราจะไปที่ไหน ก็คือนั่งในรถตู้แล้วก็ขับตามกันไปค่ะแค่นั้นเลย
ออกจากโรงเรียนเที่ยงคืน ถึงที่แรกประมาณตี 5 เขาก็ให้เดินเลยค่ะ ตื่นปุ๊บก็เดินเลย เพื่อนบางคนก็ยังงงๆ อยู่ เหมือนตอนแรกจะเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันแต่ว่าหมอกเยอะ ก็เลยไม่เห็นค่ะ หลังจากนั้นก็พาไปกินข้าวเช้าค่ะ ก็มีไข่กับแพนเค้ก ไม่หวานค่ะ แล้วก็มีคุ้กกี้ช็อกโกแลตเเข็งๆ ที่แรกที่ไปจะเป็นภูเขาชันๆ เลยค่ะ ส่วนที่ที่สองที่ไปเราต้องเดินลงไป 2 กิโลเพื่อไปเจอน้ำตก ก็ค่อนข้างสวยนะคะ เเต่เพื่อนคนเวียดนามบอกว่า ที่เวียดนามสวยกว่านี้ (หัวเราะ)
บริเวณรอบๆ โรงเรียนน่ากลัวไหม ปลอดภัยไหม ?
ไม่ค่อยน่ากลัวค่ะ ด้วยความที่คุณครูบางคนก็จะอยู่เล่นกีฬากับเด็กๆ ถึงประมาณ 2-3 ทุ่มเลย ช่วง 3 ทุ่ม ก็จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาเช็คที่โรงเรียนแล้วเขาก็อยู่ที่นั่นตั้งแต่ 3 ทุ่มเป็นต้นไป
ที่โรงเรียนมีกิจกรรมอะไรบ้าง ?
ถ้าตอนที่หนูไปเขาจะไม่ได้มีทุกวัน จะมีอาทิตย์ที่สามเป็น BBQ Party แต่ว่าหลังเลิกเรียน บางคนก็จะไปทบทวนเนื้อหาที่เรียน บางคนก็จะไปเล่นกีฬาค่ะ เช่น ปิงปอง เเบดมินตัน ค่ะ
ส่วน บริการนวดที่โรงเรียนมีให้ ตอนที่หนูไปแรกๆ ไม่มีใครลงชื่อเลยค่ะ แต่ว่าสัปดาห์สุดท้ายที่หนูจะกลับมาก็มีเยอะเลย เพราะเขาไป Hiking กันมา เขาก็อยากไปนวดกัน
ส่วนเรื่องเครื่องดื่มฟรี จะมีกาแฟอเมริกาโน่ฟรีทุกวัน ถ้าเป็นเครื่องดื่มอื่นๆ เราต้องจ่ายส่วนต่างค่ะ เช่น อเมริกาโน่จะ 70 เปโซ เเล้วเครื่องดื่มเรา 100 เปโซ เราก็ต้องจ่ายส่วนต่าง 30 เปโซค่ะ
บริการซักแห้งที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง ?
เขาจะมีบริการ 2 ทางเลือก ไปซักเองที่ Mansion จะเสีย 120 เปโซค่ะ กับจะมีบริการซักให้เริ่มที่ 150 เปโซค่ะ ถ้ามากกว่า 4 กิโลค่อยคิดที่ 300 เปโซค่ะ ตอนแรกหนูคิดว่าไปซักเองจะยากรึเปล่า แต่จริงๆ เราก็แค่โยนเสื้อผ้าใส่เครื่อง ใส่น้ำยาซักผ้า แล้วเราก็กดให้เครื่องทำงานแล้วเราก็ออกมาค่ะ ถ้าสมมติว่าเราไม่ว่าง เขาก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยดูอันไหนที่ซักเสร็จแล้ว เขาก็จะเอาออกมาไว้ให้ค่ะ ส่วนเครื่องอบเราก็ต้องต่อคิว แต่ถ้าซักเองก็จะมีเวลา ตอนไหนที่เขาจะไม่ให้ใช้ เช่น ช่วงเที่ยง ก็อาจจะมีปัญหาบางวันว่า บางคนอยากซัก แต่ปั่นแห้งไม่ได้ เพราะเครื่องต้องพัก ต้องหยุดเวลานี้
ช่วงอาทิตย์แรกหนูก็ให้โรงเรียนซักให้ แต่ว่าพอหลังๆ มาหนูก็อยากประหยัดแล้วค่ะ (หัวเราะ) เพราะว่า 120 เปโซจะซักเท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้าเราใช้บริการโรงเรียนถ้าผ้าเกิน 4 กิโล ก็จะต้องจ่าย 300 เปโซค่ะ รอบแรกหนูก็ไม่ได้ส่งซักหมด ต้องแบ่งซักเพราะว่าเหมือนจะเกิน 4 กิโล (หัวเราะ)
อากาศช่วงที่ไปเป็นยังไงบ้าง ?
ช่วงที่หนูไปไม่หนาวมากค่ะ ค่อนข้างสบาย แต่ก็มีบางวันที่ร้อน แต่ก็ไม่ร้อนเหมือนเมืองไทย ร้อนอยู่ได้ค่ะ
การเดินทางในเมืองบาเกียวลำบากไหม ?
มันไม่ถึงขั้นเข้าเมืองมากเพราะแค่ประมาณสิบกว่านาทีค่ะ ถ้าเรียก Grab ไม่ได้ เราต้องออกจากซอยโรงเรียนไปนิดหน่อย แล้วก็ต้องไปโบกรถที่ซอยใหญ่ แต่ก็มีรถผ่านทั้งคืน ผ่านตลอดเวลาค่ะ ไม่ได้ยากมาก แต่บางคนก็เลือกนั่งรถจี๊ปนีย์กัน เพราะว่าค่อนข้างถูกมากค่ะ
ประสบการณ์ที่อยากเเชร์เพิ่มเติม ?
เรื่องไฟฟ้าที่เมืองบาเกียวค่ะ ตอนที่หนูไป มีไฟดับไป 2 รอบ โรงเรียนมีเครื่องปั่นไฟให้ ก็เลยใช้อินเตอร์เน็ตได้ปกติค่ะ แต่สำหรับคนที่ไปแรกๆ อาจจะกลัว เพราะว่า ตอนเช้ามากๆ เขายังไม่เริ่มปั่นไฟ ห้องน้ำก็จะมืดเลย ก็ต้องเปิดไฟในโทรศัพท์อาบน้ำ แต่สำหรับหนูก็ไม่ได้ลำบากมากค่ะ
สำหรับซิมโทรศัพท์ ตอนแรกหนูเปิดโรมมิ่งไปสัญญาณไม่ค่อยดีนะคะ พอเปลี่ยนเป็นซิมที่โน่นสัญญาณจะดีกว่าค่ะ หนูใช้ของ SMART ค่ะ ตอนแรกหนูลงทะเบียนไม่ได้ เพราะต้องใช้ ID ของคนที่อายุมากกว่า 18 ปี ทางเจ้าหน้าที่โรงเรียนที่เป็นคนฟิลิปปินส์ก็ช่วยใช้ ID ของเขาลงทะเบียนให้ ค่าซิม 50 เปโซค่ะ ส่วนค่าเเพ็คเกจก็ประมาณ 200 กว่าเปโซ หนูซื้อแค่ความเร็ว 6 GB ไม่ได้ซื้อระยะเวลา แล้วก็ใช้ไปยาวๆค่ะ วันกลับความเร็วก็หมดพอดี
สำหรับของกินอยากให้เตรียมอาหารที่เราชอบเป็นพิเศษมาเยอะๆ ค่ะ เพราะที่โน่นถ้าเป็นขนมนำเข้าก็จะเเพงค่ะ เช่น มาม่า ก็จะหายากค่ะ ถ้าเป็นอาหารไทย ชอบอันไหนก็อยากให้เตรียมไปเยอะๆ
ถ้าการใช้ชีวิตในหอพักก็ค่อนข้างครบครันเลยค่ะ ก็อยากให้เตรียมเป็นตะกร้าที่จะเข้าห้องน้ำ เอาไว้ใส่เสื้อผ้า ของที่จะใช้อาบน้ำ เพราะหนูก็หอบของไปทุกวันเลย ถ้ามีตะกร้าก็น่าจะดีกว่าค่ะ
เรื่องรองเท้าถ้าใครไม่ได้ออกไปข้างนอกบ่อย มีแค่คู่เดียวสำหรับใส่ในโรงเรียนก็พอแล้วค่ะ เพราะใส่ในห้องก็ไม่ได้จำเป็น บางคนก็มีคู่เดียวจบเลยจะได้ไม่เปลืองเนื้อที่กระเป๋ามากค่ะ แนะนำเป็นรองเท้าแตะยางนุ่มๆ ที่เดินเยอะๆ แล้วจะไม่เจ็บเท้าค่ะ
สำหรับห้องน้ำเครื่องปรับน้ำอุ่นอาจจะไม่ได้ทำงานทันที อาจจะต้องรอสักพักค่ะ เพราะตอนหนูเปิดคือ 40 กว่าองศา ก็ต้องใช้เวลานิดนึงกว่าน้ำจะเย็นตามที่เราต้องการค่ะ
ห้องน้ำในโรงเรียนมีสายฉีดชำระนะคะ แต่ถ้าข้างนอกโรงเรียนก็จะหายากนิดนึงค่ะ
ขากลับนั่งบัสกลับสนามบินมะนิลาเป็นยังไงบ้าง ?
รถบัสเขาออกตรงเวลา ก็ถึงที่สนามบินตรงเวลา ที่จองไปรอบรถบัสของหนูจะต้องลง Terminal 3 แต่เครื่องบินหนูอยู่ Terminal 1 ที่สนามบินพอเราลงรถบัสด้านหน้าสนามบิน เราก็เดินไปสุดทางเลยค่ะประตูสุดท้าย เราก็จะเจอกับรถบัสมีรถจอดอยู่ มีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่ค่ะ ซึ่งรถก็จะพาไปที่ Terminal 1 ไม่เสียเงินค่ะ
เรียน 4 สัปดาห์ ควรเตรียม Pocket money ไปเท่าไหร่ดี ?
สำหรับหนู 10,000 บาท ก็อยู่แล้วค่ะ ถ้าเราไม่ได้อยากซื้อของเยอะ ไม่ได้อยากช้อปปิ้ง แต่ว่า ถ้าหนูไม่รวมไปทริปหนูใช้ไปแค่ 5,000 บาทเองค่ะ เพราะก็มีซื้อมาม่ามาตุน ขนม กับของที่เราอยากทาน บางวันก็สั่งชานมไข่มุกมา แต่เห็นเพื่อนเกาหลีบางคน ดึกๆ เขาหิว เขาก็สั่งไก่ทอดมา ถ้าแค่เรื่องอาหารการกิน 10,000 บาทก็น่าจะอยู่แล้วค่ะ
ถ้ามีโอกาสอยากกลับไปเรียนอีกไหม ?
สำหรับหนูฟิลิปปินส์ยังเป็นตัวเลือกที่ดีค่ะ แต่อยากลองเปลี่ยนไปเรียนที่โรงเรียนอื่นดูค่ะ เพราะที่หนูได้กลับมาคือการสื่อสารกับหลายๆ ชาติค่ะ เราคุ้นชินกับหลายๆ สำเนียงมากขึ้นค่ะ เหมือนหูเราก็ปรับเข้าใจได้หลายสำเนียงจากหลายๆ ชาติ หนูว่ามันก็เป็นข้อดีอย่างนึงที่คนไม่ค่อยมองเห็นกับการไปเรียนที่ฟิลิปปินส์
หนูรู้สึกว่าพอไปถึงแล้ว 4 สัปดาห์ มันไม่พอสำหรับเราจริงๆ ค่ะ ถึงจะรู้สึกว่าดีขึ้นหลังจากดูและฟังพวก Podcast เราเริ่มเข้าใจบางประโยคโดยที่เราไม่ต้องอ่านคำแปลของเขาค่ะ
แนะนำคนที่สนใจไปเรียนภาษาอังกฤษที่ฟิลิปปินส์อย่างไรดี ?
ถ้าเขามีงบประมาณที่ไม่สูงขนาดที่จะไป เช่น อเมริกา ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีเลยค่ะ ด้วยความที่เราจะเจอแค่คนเอเชียด้วยกัน ก็จะไม่ยากกับการปรับตัวเท่าไหร่ ถ้าเขาไม่ได้ซีเรียสว่าต้องเรียนกับ Native Speaker เท่านั้น ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดีค่ะ
ทำไมถึงเลือกไปเรียนกับ KPG Learn ?
ตอนแรกหนูหาเอเจนซี่ของฟิลิปปินส์มีไม่ค่อยเยอะมาก ก็รู้สึกว่า KPG เป็นเอเจนซี่ที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือที่สุดที่เราเจอมาค่ะ ที่อื่นเขาไม่ค่อยลงข้อมูลเยอะเท่าไหร่ เหมือนแต่ละองค์กรที่เขาเข้าร่วมเขาไม่ค่อยมีตัวตนค่ะ เช่น ที่ได้รับรองจากที่นั่นที่นี่ ของ KPG ค่อนข้างชัดเจน ของที่อื่นเขาไม่ได้มีบอก แล้วก็สื่อของเขาสัมผัสถึงความน่าเชื่อถือค่อนข้างยาก ค่อนข้างเข้าถึงเขาได้ยากค่ะ KPG เป็นเว็บไซต์เดียวที่เจอเวลาที่เราค้นหาคำว่า เรียนภาษาอังกฤษที่ฟิลิปปินส์ KPG ก็จะเป็นเว็บไซต์แรกที่ขึ้นมาตลอด จริงๆ ก็มีติดต่อไปที่อื่นแต่รู้สึกว่ารายละเอียดเขาไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ค่ะ