[รีวิว] ประสบการณ์การเรียนที่ Shoreline Community College โดย พลอย

ประสบการณ์การเรียนที่ Shoreline Community College

ประสบการณ์การเรียนที่ Shoreline Community College 

โดย พลอย
หลักสูตร : 2+2 University Transfer

ปัจจุบัน : เข้ารับการศึกษาต่อที่
University of Florida

พลอย เรียนต่อ Shoreline

เริ่มมาสนใจการเรียนใน Community College ได้ยังไง ?

หนูจบ ม.5 ที่โรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยก่อนค่ะ พอตอนม.6 ก็เริ่มนึกถึงการเรียนต่อมหาวิทยาลัย วันนึงก็ไปเดินบูธเกี่ยวกับการเรียนต่อต่างประเทศกับพ่อแล้วก็ไปเจอบูธเกี่ยวกับ Community College หนูเองก็ไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับ Community College มาก่อน เคยได้ยินแต่ University ก็เลยลองถามดูว่ามันคืออะไร แล้วเขาก็เลยบอกว่ามันคือการเรียนปี 1-2 ในวิทยาลัย และโอนไปต่อมหาวิทยาลัยตอนปี 3 และปี 4  ส่วน Requirement ก็ไม่ได้ยากมาก ที่เรียนก็น่าสนใจ และเราก็ไม่จำเป็นต้องจบ ม.6 ในไทยก่อน เราสามารถไปเรียนต่อและได้วุฒิ High School Diploma หรือวุฒิ Associate Degree ที่นั่นได้ ก็เลยสนใจ

สภาพแวดล้อมของ Seattle เป็นยังไงบ้าง ?

ถือว่าสะดวกนะเพราะว่ามีรถบัส  พวก Transportation ก็มีหลายแบบแต่รถบัสจะถูกที่สุด อากาศที่นี่ก็จะฝนตกเยอะ แล้วก็มีพวก Metro และรถเหมือน Uber ค่ะ สะดวกขึ้นระดับนึงแต่ก็แพงหน่อย แต่ถ้าอยากปั่นจักรยานก็มีแอพพลิเคชั่นให้เราปั่นจักรยานได้ คล้ายๆเช่าจักรยานและนับเป็นไมล์เอา เขาก็จะคิดเงินตามนั้น

ทำไมถึงเลือก Shoreline Community College ?

หนูได้มาคุยกับพี่กันต์เป็นที่แรกๆ แล้วพ่อก็บอกว่าน่าสนใจดี พี่กันต์ก็บอกว่าทางด้าน Science ที่นี่มันดีและมีการรับรองในหลายๆมหาวิทยาลัย ก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจเลยเลือกที่นี่ค่ะ

ชอบอะไรใน Shoreline Community College ?

ชอบครูแนะแนวค่ะ เด็กนักเรียนที่นี่ใช้บริการครูแนะแนวกันจริงๆ เขาจะแนะนำเราไปในทางที่ถูกต้อง ถ้ามีอะไรที่เราไม่รู้หรือไม่แน่ใจ เราก็สามารถถามเขาได้เลย ที่ Shoreline Community College มีครูแนะแนวหลายแบบมากเลย และครูที่นี่ก็สอนดีค่ะ

ไปเรียนที่ Shoreline Community College แล้วเป็นยังไงบ้าง ?

หนูไม่ได้เรียนหลักสูตร High School Completion ค่ะ เพราะหนูจะเอา GED เลย (เป็นการสอบเทียบระดับมัธยมปลายของอเมริกา) เพราะถ้าจะเอา High School Completion หนูต้องเรียนเพิ่ม ตอนนี้ก็เรียนแบบเป็นการเรียนเพื่อจะไปต่อปี 3-4 ในมหาวิทยาลัยค่ะ มันเหมือนตอนนี้เราเรียนวิชาปี 1-2 ในมหาวิทยาลัย (หลักสูตร 2+2 University Transfer) เพื่อเก็บหน่วยกิตวิชาเรียน แล้วมหาวิทยาลัยที่หนูต้องยื่น เขาไม่ได้ดู Requirement ของ High School Completion ค่ะ หนูก็เลยสอบ GED เอา

ที่ Shoreline ก็มีที่สอบ GED เลยด้วย ตอนนี้หนูก็เหลือ Social อีกตัวนึงเพราะมันมี 4 วิชา อังกฤษ คณิต วิทย์ และสังคม คือ เราเรียนคลาสเรียนปกติของ Shoreline ก็เรียนตัวที่จะ Transfer ไปมหาวิทยาลัยตอนปี 3 ปี 4 เราก็ต้องไปดูว่าที่มหาวิทยาลัยนั้นเขากำหนดว่าเราต้องเรียนวิชาอะไรไปแล้วบ้าง แต่ GED มันคือการจบม.6 อีกรูปแบบนึงที่หมายถึงว่าเราผ่านเกณฑ์ ม.6 ไม่ใช่แบบ High School Completion เพราะอันนั้นจะได้ High School Diploma ด้วย

ตอนที่ต้องทำ GED เรารู้สึกว่ามันยากมั๊ย ?

เลขง่ายมากค่ะ อังกฤษก็เหมือนสอบ IELTS หรือ TOEFL ถ้าได้พื้นฐานตรงนั้นมาระดับนึงก็สอบได้เพราะเขาเอาแค่ผ่าน เขาไม่มีคะแนนกำหนดว่าต้องเอาเท่าไหร่ เขามีแค่ผ่านกับไม่ผ่าน แต่เขาบอกกันว่าสังคมยากแต่หนูยังไม่ได้สอบเลย มันค่อยๆทยอยสอบได้ไม่ต้องสอบทีเดียว

ตั้งใจไปเรียนมหาวิทยาลัยไหน ?

ตอนนี้คิดไว้ 3 ที่ค่ะ คือ University of California, Davis แล้วก็ University of Florida และ Oregon State of University ต้องการไปเรียนด้าน Food – Science ค่ะ

ได้ทำงานใน Campus บ้างรึเปล่า ?

หนูได้ทำงานเป็น IPM ค่ะ คือ International Peer Mentor จะดูแลแค่พวกนักเรียนนานาชาติที่ไม่ใช่นักเรียนอเมริกันค่ะ เช่น นักเรียนจีน นักเรียนอินโดนีเซีย นักเรียนไทย ส่วนใหญ่ตอนทำเยอะสุดก็จะทำช่วงปฐมนิเทศน์ประมาณ 5 วัน เงินก็จะได้เป็นรายชั่วโมงค่ะ ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 11.33 ดอลล่าร์ต่อชั่วโมง และก็ทำงานประมาณ 2-3 วันแต่ถ้ามีปฐมนิเทศน์ก็ 5 วันรวดเลย เวลาเปิดเทอมแล้วเขาก็จะจัดเวลาให้เราว่าเราต้องทำงานวันไหนบ้าง แล้วก็จะมีประชุมสัปดาห์ละ 1 วัน อย่าง เทอมนี้ประชุมวันจันทร์ และทำงานวันอังคารกับพฤหัสบดี

ตอนที่อยู่โรงเรียนนานาชาติในไทย หนูก็ได้ทำงานเกี่ยวกับกิจกรรมอยู่แล้ว หนูเอ็นจอยกับการทำงานหลายๆคนค่ะ ถึงตอนนี้หนูจะเรียนสาย Food – Science แต่หนูก็ชอบทำงานพวกนี้ ถึงมันจะเหนื่อยจะหนักแต่หนูก็ชอบค่ะ ทำแล้วรู้สึกว่าเพลินดี หนูอยากจะพัฒนาตัวเองให้ดีมากขึ้น รู้จักคนหลายๆคน และอยากฝึกภาษาตัวเองด้วย

ประสบการณ์การเรียนที่ Shoreline Community College Seattle

ทำยังไงถึงได้มาเป็น International Peer Mentor ?

เขาก็จะมีประกาศรับสมัคร มีเพจ เราก็ไปดูว่าเขารับสมัครตอนไหน เราก็เขียนใบสมัครส่งไป ต่อไปก็ต้องทำ Presentation กับกลุ่มคนที่เขาจัดมาให้ และเขาก็จะดูว่าการที่ต้องทำงานกับคนไม่รู้จักเป็นยังไง จากนั้นเขาก็จะดูเราพรีเซ้นท์ ถ้าผ่านเขาก็จะเลือกเราไปสัมภาษณ์ต่อ ถ้าผ่านอีกเขาก็จะโทรมา แต่ถ้าไม่ผ่านเขาก็จะส่งเป็นอีเมลล์มา ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะได้ค่ะ

การได้ทำงานใน Campus มันส่งผลดีต่อตัวเรายังไง ?

มันทำให้เรามีความกล้าที่จะออกไอเดีย รับฟังคนอื่น บางทีเราทำงานคนเดียวเราก็มีความคิดของเราแค่คนเดียว แต่ถ้าเราทำงานหลายๆคน เราก็จะได้หลายๆความคิดจากหลายๆเหตุผล มันก็จะมีประโยชน์กับเราเพื่อใช้ในอนาคตด้วย และก็ได้ฝึกภาษาแน่ๆ

ตอนแรกหนูก็ไม่ได้หวังว่าจะมีค่าตอบแทนเพราะตอนนั้นแค่อยากลองทำดู แต่พอได้ลองทำก็ได้มีเพื่อนต่างประเทศด้วย อย่างทีมหนูมีคนหลายประเทศมีทั้งมาจากประเทศญี่ปุ่น เวียดนาม อินโด คาซัคสถาน ฯลฯ เราก็ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของเขาด้วยอีกแบบนึง เป็นความรู้ใหม่ๆให้เรา และทำให้เราจัดการเวลาของเราได้ดีขึ้นและได้ Connection ด้วย

การเรียนโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยกับการมาเรียนที่ Shoreline Community College แตกต่างกันยังไงบ้าง ?

ทุกคนพูดภาษาอังกฤษกันหมด คนไทยที่นี่ก็น้อยกว่า ตอนเรียนที่โรงเรียนนานาชาติ เวลาเจอคนไทยเราก็พูดแต่ภาษาไทยกันค่ะ มาอยู่ที่นี่มีคนไทยประมาณ 22 คนแต่เอาที่หนูรู้จักจริงๆก็ประมาณ 10 คนและคลาสที่หนูเรียนมันก็เป็นคลาสเดิน คลาสมันก็จะคละๆกัน Community College ก็จะเป็นวิทยาลัยที่เปิดให้กับคนทั่วไป เพื่อนนักเรียนอายุ 29 – 30 ปีก็มี มาจากหลายประเทศมาก เด็กอเมริกันก็มีค่ะ มันก็เลยหลากหลาย

ความคาดหวังก่อนมาเรียนกับตอนที่มาเรียนจริงๆแตกต่างกันยังไงบ้าง ?

ตอนแรกก็กลัว คิดถึงเพื่อน เพราะเพื่อนที่โรงเรียนเก่าหนูก็ดีทั้งนั้นและเราก็สนิทกัน รักกันเลยไม่ค่อยอยากจากเพื่อน แต่เพื่อนก็บอกว่ายังไงเราก็จะเป็นเพื่อนกันอยู่ดี หลังจากนั้นหนูก็ตัดสินใจมาเรียน Community College ซึ่งหนูก็สนใจ ตอนแรกก็กลัว ไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษกับเขา กลัวเขาฟังไม่ทัน เพราะหนูก็ไมไ่ด้เก่งภาษาขนาดนั้น แต่พอมาเรียนที่นี่ เขาก็ไม่ได้ดูถูกสำเนียง สำเนียงหนูก็คือคนไทยพูดภาษาอังกฤษ คนที่นี่เฟรนด์ลี่กันหมดเลย ทำให้หนูมีความกล้าในการพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น

ความยากของการมาเรียนต่างประเทศคืออะไร ?

เราต้องตั้งใจเรียนมากๆ มันมีเทอมนึงหนูเล่นเยอะไปหน่อย ตอนแรกๆที่มาก็ตั้งใจเรียน แล้วหลังจากนั้น เราก็คิดว่ามันง่าย ไม่ยาก มั่นใจเกินไปและไม่เตรียมตัว คะแนนของเราก็ตกลงเยอะเลย เราต้องห้ามคิดว่ามันง่าย เราต้องตั้งใจเสมอ ทุกๆอาทิตย์ต้องอ่านหนังสือ หนูชอบเขียน Post it ว่าวันนี้ต้องทำอะไรให้เสร็จ พอทำเสร็จเราจะได้ไปติ๊กออกให้มันหายไปและออกไปข้างนอกเที่ยวกับเพื่อนได้

ได้เข้าร่วมกิจกรรมอะไรของวิทยาลัยบ้างรึเปล่า ?

มีช่วงแรกที่เข้าชมรมเต้นแต่ตอนนี้ล่มไปแล้วเพราะไม่มีคนมาแทนและก็ไม่ค่อยมีคนมาซ้อมกัน แรกๆก็พยายามหา Club เข้าแล้ว พอเลิกเรียนก็ไปห้องสมุด ไปหาเพื่อน ไปทำงาน ทำการบ้านให้เสร็จและกลับบ้าน พวกคนต่างชาติส่วนใหญ่ก็จะเรียนและทำงานข้างนอกไปด้วย

แรกๆหนูไม่รู้จะทำอะไร มีช่วงนึงก็ว่างมาก ก็เบื่อ เรียนแล้วกลับบ้าน แต่พอมีงานทำแล้วก็รู้สึกว่ามีอะไรทำมากขึ้นเพระาหนูไม่ชอบอยู่นิ่งๆ ที่นี่เขาจะมีกิจกรรมนะคะแต่เราต้องไปหาเองเพราะบางทีเวลาทำกิจกรรมก็ไม่ตรงกับเวลาว่างเรา และเวลาเลิกเรียนถ้าเราไม่เข้าใจอะไร มันจะมี Tutoring Service คนที่มาสอนก็คือคนที่เรียนวิชานี้มาแล้วและเขาสอนเราได้ เขาก็จะมาสอนเราให้ฟรีๆเหมือนครูสอนพิเศษ เราก็ไม่ต้องเสียตังค์ค่ะ แต่เป็นทางโรงเรียนจ่ายให้แทน

ปรับตัวยากรึเปล่ากับการมาเรียนต่างประเทศครั้งแรก ?

หนูรู้สึกว่าที่ Washington ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้เกิด Cultured Shock ขนาดนั้นเพราะที่นี่มีคนเอเซียเยอะ ไม่เหมือนเด็กแลกเปลี่ยนที่ไปแล้วเจอแต่คนอเมริกันบวกกับโฮสต์ผู้หญิงของหนูเป็นคนเวียดนาม ก็เลยไม่ได้ Cultured Shock ขนาดนั้น แค่กลัวเรื่องภาษาอย่างเดียว

การเรียนการสอนของครูที่นั่นเป็นยังไงบ้าง ?

ก็ดีค่ะ แต่ครูบางคลาสก็ไม่ได้ดีไปทุกคน แต่ส่วนใหญ่ก็ดีเกือบหมด เวลาเลือกครู เราก็จะไปดูในเว็บไซด์ Rate Professor ว่าครูคนไหนสอนเป็นยังไง มันก็ช่วยได้แต่ก็ยังมีวิชาบังคับที่เราต้องเรียน เราก็ต้องเรียนให้มันผ่านๆไป

สังคมเพื่อนที่นั่นเป็นยังไง ?

แรกๆเราก็อยู่กับคนไทยก่อน 2-3 คนจับกลุ่มกับเขาอยู่ เพราะมาจากเอเจนซี่ก้อปันกันเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าคลาสเรียนก็ไม่ได้เรียนกับเขาสักคนเลย บางทีเราต้องทำแลป เราก้ต้องรู้จักเพื่อนใหม่ในคลาส พอนั่งข้างกันหลายๆคลาส เราก็เริ่มทักเขา พอรู้จักคนนี้ เราก็จะรู้จักเพื่อนของเพื่อนเขาต่อไปอีก Quarter หน้าเราก็รู้จักคนใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ

อยู่โฮสต์เป็นยังไงบ้าง ?

มันไม่เหมือนกับน้องชายของหนู น้องชายหนูไปแลกเปลี่ยน เขาก็จะมีกิจกรรมร่วมกันเยอะหน่อย แต่อย่างของหนูมันจะเหมือนเราเช่าห้องเขาอยู่ เราก็จ่ายเขารายเดือน เขาก็จะมีข้าวเย็นให้เรา มีคุยกันเรื่องทั่วไปบ้าง ส่วนตอนเช้าเขาก็มี Cereal หรือ Yogurt ให้เรา กลางวันก็ไปหากินเองที่วิทยาลัย ถ้าไปค้างบ้านเพื่อนเราก็จะส่ง Messeage บอกเขา มันไม่เหมือนของเด็กแลกเปลี่ยน ของเราจะดูเป็นผู้ใหญ่นิดนึง

อยากแนะนำคนที่ไปเรียนที่นี่ยังไง ?

สำหรับคนที่ไม่เคยได้ยินว่า Community College คืออะไรก็ไม่ต้องสงสัย มันเป็นการเรียนอีกรูปแบบนึงที่ทำให้เราได้เข้ามหาวิทยาลัยที่ดีได้อีกทางนึง ซึ่งคิดว่าเป็นทางเลือกที่ดีเหมือนกันนะเพราะการมาที่นี่ได้ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้พัฒนาตัวเองมากขึ้น เพราะที่นี่คนเขาไม่ได้ดูถูกคนที่สำเนียงอยู่แล้ว แค่เราสามารถ Communicate กับเขาได้แค่นี้ก็โอเคแล้ว คือ เราไม่เคยเจอการดูถูกเลย และเราก็ไม่ได้ Cultured Shock ขนาดนั้น คนที่นี่ก็น่ารักนิสัยดี ไม่ต้องกลัว

เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Shoreline CC คลิก

shoreline
# ประสบการณ์การเรียนที่ Shoreline Community College 
Photo Credits : พลอย

ขอรับคำปรึกษา

 

เรียนต่อแคนาดา อเมริกา

Line : @korpungun

เรียนภาษาที่ฟิลิปปินส์

Line : @kpglearn

คอร์สออนไลน์ KPG LIVE

Line : @kpglive

TEL: 094-883-8778

นัดหมายพูดคุยผ่าน