2 ปีครึ่งแห่งความพยายามของ ‘เหมียว’ อนิเมเตอร์สาวไทยในแคนาดา
และความฝันที่ต้องไปให้ถึง
แคนาดา เป็นอีกหนึ่งประเทศที่นักเรียนไทยใฝ่ฝันอยากไปเรียนต่อ ด้วยภูมิประเทศที่สวยงาม และเงียบสงบ และสภาพอากาศที่ความหนาวมีมากกว่าความรู้ ทำให้ประเทศนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่ทุกคนปักหมุดเอาไว้ และจะมาให้ได้ถ้ามีโอกาส เช่นเดียวกับ เหมียว – รินรดา ตันรัตนากร นักเรียนไทยที่ใช้บริการของ KPG เพื่อไปเรียนต่อที่แวนคูเวอร์ ทว่าสิ่งที่เหมียวเลือกเรียนไม่ใช่ความรู้ทางด้านภาษา หรือการต่อยอดเพื่อสอบเอาใบประกาศนียบัตร เธอมีความมุ่งมั่นที่จะเรียนต่อในด้านธุรกิจ เพื่อต่อยอดความรู้ด้านอนิเมชั่นของตัวเอง เพราะอนาคตของเหมียวไม่ใช่แค่การทำงานในระดับลูกจ้าง แต่คือบริษัทอนิเมชั่นในเมืองไทยที่จะทำงานกับคนทั่วโลกในระดับนานาชาติ
ก่อนจะถามถึงสิ่งที่เรียน อยากรู้จักเหมียวให้มากขึ้นกว่านี้หน่อยว่าจบอะไรมา ทำงานที่ไหนอยู่ และทำไมถึงมีเป้าหมายอยากเปิดบริษัทอนิเมชั่นในเมืองไทย
เหมียวจบจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) เรียนเกี่ยวกับสายอนิเมชั่นโดยตรงเลย แล้วก็ทำงานเกี่ยวกับการผลิตอนิเมชั่นมาตลอด 4 ปี จนวันหนึ่งเราคิดว่าถ้ามีธุรกิจของตัวเองได้ก็น่าจะดี เลยเรียนเลือกเรียนต่อธุรกิจดีกว่า พอดีแฟนมาทำงานอยู่ที่แคนาดาด้วย เลยหาโอกาสมาเรียนที่นี่ จริง ๆ เป็นสิ่งที่คิดไว้กับแฟนตั้งแต่แรกเลยนะเรื่องการเปิดบริษัท เพราะเขาทำงานเป็นอนิเมเตอร์อยู่ที่ Sony Pictures ด้วย เลยคิดว่าถ้าเรามีความรู้ด้านธุรกิจ เราอาจจะให้แฟนช่วยติดต่อคนที่รู้จักมาเป็นลูกค้าของบริษัทเราที่ไทย
ทำไมถึงต้องเป็นแคนาดา
นอกจากที่แฟนอยู่ที่นั่นแล้ว เราเคยได้ยินจากหลาย ๆ คนว่าแคนาดาเป็นเมืองที่ค่อนข้างปลอดภัย ไม่มีการเหยียดเชื้อชาติกัน ยิ่งเราเป็นเอเชียด้วย ถ้าไปอเมริกาก็จะดูเป็นคนละชั้น พอมาอยู่ที่นี่ จริง ๆ เขาก็ให้ความสำคัญกับการแตกต่างทางเชื้อชาติมาก รู้สึกไม่แปลกแยกเลย การตัดสินใจก็เลยง่ายมาก ๆ จำได้ว่า ตอนไปที่ KPG คือไปแต่ตัวเลย แล้วบอกว่าเราอยากเรียนด้านธุรกิจ เรียนจบแล้วก็จะเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง รู้แน่ ๆ ว่าอยากไปแวนคูเวอร์ แต่ยังไม่รู้ว่าสถาบันไหนที่จะเหมาะกับเรา
พอมาเจอ KPG แล้วยังไงต่อ? ใช้เวลาเตรียมตัวหรือหาข้อมูลนานแค่ไหน?
ตอนแรกที่พี่กันต์เลือกมาให้ 2 ที่ คือ BCIT (British Columbia Institute of Technology) ในหลักสูตร Entrepreneurship Program ที่จะได้เรียนแน่นๆ เหมือนปริญญาตรีอีก 1 ใบกับที่ Langara แบบประกาศนียบัตร แต่ตอนนั้นที่ทักพี่กันต์ไปมันเป็นช่วงเดือนมิถุนาปี 2021 ซึ่งหลักสูตร Entrepreneurship ของ BCIT เขาเปิดแค่ปีละครั้ง เราเลยดูหลักสูตรของ Langara (Langara College) ซึ่งมันก็เรียนครอบคลุมเหมือนกัน ตอนนั้นพี่กันต์ก็ดีนะคะ หาช่วงเวลาให้เราคุยกับเจ้าหน้าที่ของ Langara เลย เขาก็บอกว่าถ้าอยากเปิดธุรกิจเอง เรียนแบบประกาศนียบัตรจะครอบคลุมกว่า เลยตัดสินใจมาที่นี่
เป็นยังไงบ้าง การเรียนที่แคนาดา ยากไหม เหมือนอย่างที่คิดไหม?
ก็ใช้เวลาเหมือนกันนะ ถึงจะเป็นหลักสูตรประกาศนียบัตรแต่เรียน 2 ปีครึ่งเลย เราไปถึงตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2021 ใช้เวลาปรับตัวนิดหน่อย ตอนนั้นสถานการณ์โรคระบาดเริ่มดีขึ้นแล้ว สำหรับที่วิทยาลัย ตอนแรกจินตนาการว่าต้องเป็นรูปแบบมหาวิทยาลัยแน่ๆ แต่ที่นี่เขาจะเรียนหนักกว่าที่ไทย หนักในด้านเนื้อหาและเรียนเร็วกว่า เราเลยต้องปรับตัว ที่นี่กลับมาที่บ้านต้องอ่านหนังสือต่อ ไปเรียนในคลาสเพื่อเป็นการทบทวน แต่ที่ไทยถ้าเราไปเลคเชอร์อย่างเดียวก็จะพอได้อยู่
ตอนอยู่ที่เมืองไทยเหมียวก็จบมหาวิทยาลัยที่ใช้ภาษาอังกฤษ ทักษะที่มีพอช่วยได้ไหม?
หืม อาจจะเป็นเพราะเราจบมาแล้ว 4-5 ปีก่อนจะมาต่อที่นี่ ช่วงที่ทำงานไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลยทำให้ต้องใช้เวลาปรับตัวปัดฝุ่นภาษาอังกฤษอยู่พอสมควรเพื่อให้พูดคล่อง แต่พื้นฐานเดิมก็มีส่วนช่วยให้เราไม่กลัวที่จะพูดคุยกับชาวต่างชาติ ที่นี่จะมีการ Discuss ในห้องตลอดเวลา และเน้นการแสดงออกทางความคิดเห็น แล้วก็หลายวิชาจะมีงานกลุ่มให้ทำ เราว่ามันก็ดีนะเพราะได้ทำงานกับคนหลายเชื้อชาติ ทำให้ได้รู้ว่าคนแต่ละเชื้อชาติมีวิธีการทำงานอย่างไร น่าจะเป็นประโยชน์ในอนาคตได้เยอะ แต่ถ้าใครจะมาเรียนต่อแบบไม่เผื่อเวลามาปรับพื้นฐานก่อน ต้องตั้งใจและเตรียมตัวให้มากเลย
ถ้านอกเหนือจากการเรียนล่ะ มีอะไรที่ชอบและอยากแชร์บ้างไหม?
โห เยอะนะ นักเรียนประมาณ 80-90 % เป็นคนต่างชาติ ทำให้เราค่อนข้างสบายใจที่มีคนมาจากหลายที่ แต่ก็เกร็งอยู่นิดหน่อย เพราะต่างชาติบางคนพูดอังกฤษได้คล่องมาก ด้วยความที่เราไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันบ่อย คนที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ หรือว่าเพื่อนที่เป็น Native Speaker เขาก็เข้าใจว่าเราไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เขาก็จะอธิบายให้เราเข้าใจ และชอบที่เขาให้ความสำคัญเรื่องความแตกต่าง พอเขารู้ว่าเรามาจากชาติอื่นที่ไกล คนที่เรียนอยู่ก่อนแล้วเขาก็จะมาช่วยไกด์ น่ารักมากเลย
ถ้าถามถึงเด็กไทยโดยเฉลี่ย คิดว่าทักษะการสื่อสารอยู่ในระดับไหน ไปเรียนต่อที่แคนาดาได้ไหม?
คิดว่าน่าจะอยู่ประมาณกลางๆ จนถึงขึ้นมา เพราะถ้าดูจากเกรดที่เพิ่งได้มาคือประมาณ 80 กว่า ๆ ที่เจอเวลาสอบเขาจะให้เรียนเป็น Case Study มา เราก็เอาสิ่งที่เรียนมาใช้กับเคสนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเขียนหมดเลย ถ้าเป็นนักเรียนไทยอาจจะไม่ชินต้องฝึก แกรมม่าก็สำคัญนะ ใครบอกว่าต่างชาติเขาไม่แคร์แกรมม่านี่ไม่เสมอไป ถ้าพูดทั่วไปก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเขียนรายงานก็เขียนแกรมม่าให้ถูก แต่ก็ค่อนข้างต่างจากการเขียนตอนเรียนอยู่ที่ไทย เพราะที่นี่เขาจะสอนให้เขียนแบบ Specific และ Precise คือสั้นแต่เจาะจง แต่ของไทยจะเป็นพรรณนามากกว่า พอเราเอาของที่เคยเรียนจากไทยมาเขียนเขาก็จะบอกว่าอันนี้ไม่ได้นะ
เรียนเยอะไหม หมายถึงวิชา การบ้าน รายงานต่าง ๆ มีเวลาให้เราออกไปเที่ยวบ้างไหม?
จริง ๆ เทอมแรกเขาแนะนำให้ลง 3 ตัว แต่เราดื้อ ลงไป 5 ตัว เพื่อนก็บอกว่ามันหนักมากเลยนะ เลยลดลงเหลือ 4 ตัว แต่ก็ยังคิดว่าหนักมาก เพราะมีทั้งงานกลุ่มและงานเดี่ยวเยอะมากในแต่ละวิชา เลยเรียนสลับ 3-4 ตัวต่อเทอม มีงานกลุ่มด้วย วิชาที่อาจารย์เคยจับให้เขาก็จะให้คนต่างเชื้อชาติมาทำงานร่วมกัน เราว่ามันเวิร์กมาก เราได้เห็นมุมมองหลากหลาย และได้เปิดรับมุมมองของคนอื่น เวลาส่งงาน ส่วนใหญ่เป็นการเขียน เขาจะพยายามให้เรายกตัวอย่างเยอะ ๆ จะได้รู้ว่าเราเข้าใจจริงไหม ส่วนบรรยากาศในห้องเรียน เขาก็จะถามว่าใครเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ไหม ให้เรายกมือตอบและแชร์ให้เพื่อนฟัง และเราก็จะได้รู้เรื่องราวของเพื่อนจากประเทศอื่นด้วย แต่ก็ได้เที่ยวนะ เรียนหนักยังไงก็ต้องเที่ยว
โอเค ถ้าอย่างนั้นนอกจากเรื่องการเรียนแล้ว อะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่เลือกแคนาดา?
สภาพแวดล้อม ชอบฤดูของที่นี่ทุกฤดูเลย เราอาศัยอยู่ในแถบ West End ที่นี่เป็นธรรมชาติมาก มีต้นไม้เยอะมาก เวลาร้อนก็จะมีต้นไม้บังแดดให้เรา ตอนมาเป็นช่วงคริสต์มาส หิมะตกพอดี ตอนช่วงฤดูใบไม้ผลิก็เซอร์ไพรส์มาก เพราะที่นี่ซากุระเต็มเลย ส่วนเรื่องเที่ยว เราไม่ค่อยไปแฮงเอ๊าท์กับเพื่อนเท่าไร เพราะคนที่นี่เขาทำงานพาร์ทไทม์เป็นส่วนใหญ่ เรียนเสร็จก็แยกย้าย มีนัดทำงานกลุ่มบ้าง เวลาว่างก็จะไปเดินเล่นสวนสาธารณะหรือริมทะเล เพราะใกล้บ้าน
ถ้าอย่างนั้นถามเผื่อคนอื่น ถ้าไปเรียนคนเดียวล่ะ เหมียวคิดว่าที่นี่ปลอดภัยและสะดวกแค่ไหน?
ได้นะ ไม่น่าจะมีปัญหาเลย เพราะรู้จักน้องคนไทยคนหนึ่งเขาก็มาคนเดียวเหมือนกัน แล้วก็เช่าอพาร์ทเมนต์ที่เป็น Sharing เขาก็ได้สังคมตรงนั้นไปด้วย คิดว่าก็ดีอีกแบบเหมือนกัน แต่ควรจะมีเป้าหมายในใจแล้วว่าอยากมาเรียนอะไร จริง ๆ เราไปดูเอเจนซี่มาหลายเว็บไซต์ แต่พี่กันต์ตอบเร็วมาก เลยเลือกพี่กันต์ เรามีแต่โจทย์มาเลย พี่กันต์ก็ไปหาตัวเลือกมาให้ ตอนแรกยังไม่รู้เลยว่าจะเรียนอะไรให้ตอบโจทย์ พี่กันต์ก็ช่วยตรงนั้นหมดเลย ช่วยเรื่องเอกสาร ส่งแพลนให้ตลอด ตอนมาถึงก็ติดต่อมาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง
อื่น ๆ ล่ะ มีอะไรที่คนที่อยากไปเรียนต่อควรเตรียมตัวบ้าง?
อ้อ เราทำงานพาร์ทไทม์นะ รับสอนศิลปะทางออนไลน์ เพราะตอนอยู่ไทยเราไปสอนตามบ้าน สอนที่นี่ 1 ทุ่ม – 3 ทุ่มครึ่ง คิดว่าไม่กระทบกับการเรียนเท่าไร แต่ถ้าทำพาร์ทไทม์ที่นี่ เขากำหนดเวลาทำงาน ก็อาจจะค่อนข้างจัดเวลายาก ส่วนที่อยู่ก็เป็นอพาร์ทเม้นต์ ใช้เวลาเดินทางไปเรียนประมาณ 30-40 นาที นั่งบัสไปต่อรถไฟฟ้าแล้วก็เดินต่ออีก 10 นาที จริง ๆ อยู่ที่นี่เดินเยอะมาก แต่ไม่เหนื่อย อากาศดีกว่ามากถ้าเทียบกับกรุงเทพฯ ส่วนเรื่องอาหารไม่น่าเป็นห่วง คนเอเชียเยอะ อาหารหลากหลายเลยล่ะ
เหมียวจบแล้วกลับไทยเลยไหม?
ที่ Langara เวลาเรียนจบแล้วจะมี PGWP (Post-Graduation Work Permit) ที่สามารถทำงานต่อได้ 3 ปี เลยคิดว่าอยากลองทำงานที่นี่สัก 1-2 ปี เพราะเป็นโอกาสที่ดีก่อนกลับไทย อยากลองทำสาย Management ในสตูดิโออนิเมชั่นสักแห่ง แต่ไม่แน่ใจว่าจะหาได้ไหม เราจะได้เอาไปใช้ประโยชน์ได้เลย หลังจากนั้นก็คงกลับ เพราะคิดว่าทำธุรกิจที่ไทยง่ายกว่าที่นี่เยอะมาก ในทางกฎหมาย ที่นี่เขาจะมีข้อจำกัดเยอะกว่าที่ไทย ในไทย ถ้าเราอยากขายอะไร เราสามารถทำขายที่ไหนก็ได้ แต่ที่นี่ต้องมีใบรองรับ มีสอบ ก่อนจะเปิดร้านอาหารได้ กฎหมายเขาเข้มกว่า
อะไรทำให้เรารู้สึกว่าถ้าไม่ทำตอนนี้มันอาจจะสายไป?
ชีวิตมันมีครั้งเดียว เราอยากทำอะไรต้องรีบทำ จริง ๆ มันเป็นแพลนที่เลือนรางมาก หลังจากสถานการณ์โควิดดีขึ้นเราก็มาเลย เหมียวว่าการทำงานก่อนมาเรียนมันดี เพราะเราจะได้ประสบการณ์มาก่อน แล้วเวลาที่เรา Discuss กับใคร เราจะได้ใช้ประสบการณ์ของเรามาคุยกับเขา
เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Langara College