[รีวิว] เรียนภาษาอังกฤษที่ Toronto แคนาดา
หลังจากที่เรียนภาษาที่ฟิลิปปินส์ 10 เดือน
โดย มนัสนันท์ เปรุนาวิน
ชื่อเล่น ไอซ์ อายุ 24 ปี
สถาบัน ILSC (Toronto)
หลักสูตร Full Time Intensive English
(เรียน 30 คาบ หรือ 27 ชม./สัปดาห์)
วันที่ 9 มี.ค. – 23 ส.ค. 62 ( 24 สัปดาห์)
บทความนี้ประกอบด้วย 5 ส่วน
(*สามารถคลิกเพื่อข้ามไปอ่านในส่วนที่ต้องการได้)
Part.1 : การพักอาศัยกับโฮสต์ที่ Toronto
Part 2 : เรียนภาษาอังกฤษที่ Toronto แคนาดา กับสถาบัน ILSC
Part.3 : ชีวิต… เรียนภาษาอังกฤษที่ Toronto
Part 4 : เปรียบเทียบระหว่างฟิลิปปินส์และแคนาดา
Part.5 : ส่งท้ายและคำแนะนำ
ทำไมตัดสินใจไปเรียนที่แคนาดา ?
หลังจากที่กลับมาจากเรียนภาษาอังกฤษที่ฟิลิปปินส์ ไม่ได้ตั้งใจจะไปแคนาดา แค่รู้ว่าต้องการจะเรียนภาษาเพิ่มเติม แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกประเทศไหน ก็เลยเปิดเว็บไซต์ดูว่าจะเลือกประเทศไหนดี และถามพี่ (เจ้าหน้าที่ก้อปันกัน) ซึ่งได้รับคำแนะนำเรื่องการเรียนภาษาที่แคนาดา แล้วเลือกดูเมืองว่าจะไปเมืองไหนดี และสนใจโตรอนโต้ ซึ่งตอนแรกผมคิดว่าไปโตรอนโต้ เพื่อที่จะได้แวะไปเที่ยวนิวยอร์กด้วย แต่สรุปไม่ได้ไปนิวยอร์ก เพราะขี้เกียจขอวีซ่าครับ
Part 1 :
การพักอาศัยกับโฮสต์ที่ Toronto
เล่าเรื่องการพักกับโฮสต์แฟมิลี่หน่อย ?
ในช่วงระหว่าง 6 เดือน ผมเปลี่ยนที่อยู่ 3 ครั้งครับ
โฮสต์บ้านแรก เป็นครอบครัวที่มีแม่ 1 และลูก 1 คน เป็นวัยรุ่น อายุประมาณ 17 ปี ส่วนโฮสต์แม่อายุประมาณ 60 ปี เขาย้ายมาจากอังกฤษตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็กๆ และอยู่ที่แคนาดาถาวรเลย โฮสต์แม่ดีครับ แต่ลูกไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ หน้าตาไม่ค่อยรับแขก เขาชอบทำเพลงในห้องเขา เปิดเพลงเสียงค่อนข้างดัง แม่เขาต้องคอยบอกตลอดเวลา ทุกวันเลยครับ เวลากินข้าวก็มีขึ้นเสียงนิดนึง แต่ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายมาก อาหารที่เขาเสิร์ฟให้ทุกวันก็โอเคดีนะครับ มีหลากหลาย มีสเต็กบ้าง แซลมอลย่าง มีอาหารคลีนบ้างบางครั้งครับ เรื่องอาหารบ้านนี้จะเสิร์ฟให้ตอนเช้ากับตอนเย็น ส่วนตอนกลางวันหากินเองหรือจะทำไปเองก็ได้
เหตุผลที่เปลี่ยนโฮสต์ เพราะว่าจองกับทางโรงเรียนไว้แค่ 2 เดือน ก็คิดว่าจะเปลี่ยนโฮสต์อยู่แล้ว ตั้งแต่อาทิตย์ที่ 2 เพราะไม่ค่อยชอบบรรยากาศในบ้านหลังนี้ แต่ไปคุยกับทางโรงเรียน เขาให้เปลี่ยนได้อาทิตย์ที่ 3 เลยกลับไปคิดก่อนว่าจะย้ายเลยรึเปล่า เพราะต้องมาคุยกับโฮสต์ก่อนว่าจะย้ายนะ จะย้ายเพราะอะไร แต่ตอนนั้นคิดไปคิดมาก็อยู่ต่อจนครบ 2 เดือน ผมก็ไปหาเอเจนซี่ที่ดูแลเรื่องที่พักข้างนอก ไม่ใช่ของโรงเรียนเเล้ว เพราะว่าผมสามารถไปเจอโฮสต์ก่อนได้ ไปคุยกับเขาก่อน แล้วค่อยจ่ายเงินให้เขา เราจะได้รู้ว่าบ้านโฮสต์อยู่ห่างจากโรงเรียนไกลไหม โฮสต์เขาเป็นคนยังไง จะเสิร์ฟอาหารเราประเภทไหนบ้าง ก็คุยกับเขาก่อนดีกว่า
โฮสต์บ้านที่สอง เป็นคนจีน ซึ่งพ่อกับแม่เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่งครับ สำหรับโฮสต์หลังนี้ เราจะต้องทำอาหารเองหมดเลย เช้า กลางวัน เย็น ก็รู้สึกดีขึ้น บ้านหลังที่สองผมจะคุยกับเขาน้อย เพราะว่าเวลากินเราก็ไม่ได้เจอหน้ากันทุกครั้ง ก็เลยไม่ได้คุยกันมาก แล้วเขาพูดภาษาอังกฤษกันไม่ค่อยเก่งด้วย แต่ที่เลือกอยู่กับเขา เพราะว่าตอนนั้นตัวเลือกมันเริ่มไม่ค่อยมีแล้วครับ เพราะเป็น high season แล้วก็กะทันหันด้วย เพราะแค่ประมาณเดือนนึงต้องหาให้ได้ แล้วก็เจอที่นี่ อยู่ได้สองเดือนเหมือนกันครับ
พอหลังจากบ้านแรก เราก็คิดไว้แล้วว่าเราอยากลองย้ายไปอยู่ที่ใหม่เรื่อยๆ คือผมอยู่มา 3 ที่ แต่ละที่อยู่คนละมุมกันเลยครับ โรงเรียนจะอยู่ใน Downtown บ้านหลังแรกจะอยู่ซ้ายสุดของเมือง หลังที่สองจะอยู่ข้างบน และหลังที่สามจะอยู่ด้านขวาของเมืองครับ คนละมุมกันเลย
โฮสต์บ้านที่สาม เป็นครอบครัวมาจากฟิลิปปินส์ เขามีลูก 3 คน ซึ่งสองคนแรกโตที่ฟิลิปปินส์แล้วก็ย้ายมานี่ แต่คนเล็กสุดท้องเขามาเกิดที่นี่ครับ ผมว่าบ้านนี้น่าจะโอเคสุด เรารู้สึกว่าถ้าเรื่องอาหาร เขาเสิร์ฟอาหารเยอะมาก ทุกวันมีผักและผลไม้ให้เลือกหลากหลาย วางอาหารหลายๆ จานแล้วให้เราเลือก อารมณ์เหมือนกินอาหารไทยครับ แล้วก็มีขนมให้กินแทบทุกมื้อ ลงมาหยิบได้ตลอดเวลา บางวันโฮสต์แม่เขาก็ชอบทำพวกเบเกอรี่ ทำเค้ก ทำขนมปัง เขาจะอบมาให้กิน ประมาณอาทิตย์ละสองครั้ง มีของให้กินตลอด ถ้าอยู่ที่นั่นประมาณหกเดือน น่าจะอ้วนแน่นอนครับ ลูกเขาก็อายุประมาณ 18-19 ปี อายุไม่ได้ห่างจากเรามาก ก็คุยกันรู้เรื่อง สนุกดีครับ
ระหว่างที่อยู่กับโฮสต์มีปัญหาหรืออุปสรรคไหม? และมีวิธีแก้ไขอย่างไร?
ผมว่าผมมีปัญหาอยู่อย่างเดียวก็คือ ช่วงหน้าหนาวเขาจะเปิดฮีทเตอร์ (เครื่องทำความร้อน) แต่ละบ้านเขาจะเป็นระบบใช้ฮีทเตอร์ตัวเดียวกันทั้งบ้าน ไม่ได้มีแยกของแต่ละห้อง ซึ่งผมเป็นพวกขี้ร้อน พอรู้สึกร้อนแล้วนอนไม่ค่อยหลับ แล้วสิวมันจะชอบขึ้น แล้วเราจะไปปรับให้อุณหภูมิให้ต่ำลง เพื่อให้เราสบายอย่างเดียวก็ไม่ได้ ซึ่งมันก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่สำหรับตรงนี้ ช่วงแรกๆ ก็ลำบากครับ หลังๆ ก็ซื้อพัดลมมาเปิด ตอนแรกๆ จะมีปัญหาแค่บ้านหลังแรกครับ เพราะว่าที่ไปตอนนั้นเป็นหน้าหนาวพอดี แล้วเขาต้องเปิดฮีทเตอร์ แต่หลังที่สองกับหลังที่สามมันเริ่มเข้าหน้าร้อน เขาก็จะเปิดแอร์แทนซึ่งก็ไม่ค่อยมีปัญหา
ปกติอยู่ที่บ้านเขาก็ไม่มีอะไรต้องทำนะครับ เพราะเขาก็รู้ว่าเรามาเรียน แล้วเราก็จ่ายเงินไปแล้ว เราแค่ต้องเก็บกวาดของในห้องเรา เวลากินก็เก็บจานของเรา ซักผ้าก็ซักเองของใครของมันครับ
ทำไมถึงไว้ใจเอเจนซี่ homadorma.com ในการเลือกโฮสต์แฟมิลี่เอง ?
ปกติผมเป็นพวกแบบชอบเช็คก่อนว่าน่าเชื่อถือไหม อย่างก่อนจะมาใช้เอเจนซี่ของก้อปันกัน ผมก็เช็คแล้วเช็คอีกว่าเว็บเพจมีเนื้อหาอะไรบ้าง ผมก็เปิดดูหมด มี Social media อะไรบ้าง update ถึงไหน เมื่อเช็คดูแล้วว่าน่าเชื่อถือ ก็ค่อนข้างจะไว้วางใจได้
Part 2 :
เรียนภาษาอังกฤษที่ Toronto แคนาดา กับสถาบัน ILSC
เรียนภาษาอังกฤษกับ ILSC Toronto เป็นยังไงบ้าง ?
ผมเรียน 6 ชั่วโมง ซึ่ง 3 ชั่วโมงแรกตอนเช้าจะเรียนที่ห้องเดิมกับครูคนเดิม เราสามารถเลือกคลาสได้ว่าเราจะเรียนเน้นเกี่ยวกับด้านอะไร ซึ่งเราสามารถเลือกได้ 3 คลาสครับ ส่วนใหญ่ผมเน้นเรียน IELTS ช่วงเช้า 3 ชั่วโมงแรก มันจะรวมทุกอย่าง (IELTS Listening, IELTS, Writing, IELTS Speaking, IELTS Reading)ไว้ใน 3 ชั่วโมงแรก ส่วนสองคาบหลังจะแบ่งเป็นชั่วโมงครึ่งและชั่วโมงสิบห้านาที ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าเราจะโฟกัสที่ IELTS Speaking หรือ IELTS Writing
ถ้าเป็นคลาส Listening และ Reading มันง่ายนะ ส่วน Writing เขาจะมีครูหลายคนเหมือนกัน เราสามารถเลือกครูได้ ทุกๆ เดือนเราจะต้องเรียนบทเรียนใหม่ เราจะต้องเลือกวิชาอีกครั้ง โดยเขาจะสุ่มครูให้เราว่าเราจะได้เรียนครูกับคนไหน แต่ถ้าเราไม่พอใจ เราก็สามารถเปลี่ยนครูหรือเปลี่ยนวิชาได้ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีวิธีการสอนที่ไม่เหมือนกัน คนที่ผมเรียนด้วยบ่อยๆ เขาจะเขียนให้ดูสดๆ บนกระดานเลยครับ ว่าจะต้องเขียนอะไร ยังไงบ้าง แล้วเราก็นำไปปรับใช้เองในวันสอบ นักเรียนแต่ละคลาสไม่เกิน 16 คนครับ ส่วนใหญ่จะประมาณ 14-15 คน
โดยรวมโอเคนะครับ ครูส่วนใหญ่เป็นคนคุมสอบจากศูนย์สอบ IELTS อยู่แล้ว เขาจะรู้ว่าควรที่จะต้องทำยังไงบ้าง ในการพูดหรือเวลาเขียน เราจะต้องทำอะไรบ้าง
ชอบอาจารย์คนไหนของ ILSC เป็นพิเศษหรือเปล่า ?
Patrick ครับ ช่วงเช้าเขาจะสอน General IELTS ทั้งหมด แล้วก็ช่วงบ่ายเขาก็จะสอน Speaking & Listening ครับ ตอนผมไปเรียนตอนแรกไม่ค่อยชอบเขาหรอกครับ เพราะวิธีการสอนของเขาเหมาะกับนักเรียนที่เลเวลสูงๆ แล้ว คนที่รู้คำศัพท์เยอะๆ คนที่มีพื้นฐานดีมากๆ เพราะเขาจะไม่มานั่งบอกรายละเอียดว่า IELTS คืออะไร จะไม่มาสอนแกรมม่ามาก เขาจะลุยตรงที่เกี่ยวกับการเขียนเลยว่า ต้องเขียนอย่างไร!
เพื่อนร่วมคลาส มาจากประเทศอะไรบ้าง ?
ส่วนใหญ่ก็มาจากฝั่งอเมริกาใต้ครับ เช่นโคลัมเบีย บราซิล แม็กซิโก จะมีฝั่งยุโรปบ้าง แต่น้อยครับ มีจากฝรั่งเศส 2 คน มีรัสเซียมาบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นเกาหลีครับ ที่นี่นักเรียนจากบราซิลและเกาหลีจะเยอะเป็นอันดับต้นๆ
เรียนภาษาอังกฤษที่ Toronto แคนาดา กับ ILSC 5 เดือน ภาษาพัฒนาแค่ไหน ?
ก็ดีครับ แต่ผมไม่ค่อยชอบเข้าสอบตอนปลายเดือนครับ เพราะที่จริง เราจะรู้คะแนนของเราอยู่แล้วในคาบเรียน ผมจะมีความกังวลและหวั่นๆ ในวันสอบ เรารู้แหละว่าเราพัฒนาขึ้น แต่กลัวว่าเราจะไปเจอข้อสอบที่ยากกว่าปกติ แล้วคะแนนเราจะลดลง แล้วเราจะรู้สึกไม่ดีครับ (หัวเราะ)
สัปดาห์แรกอยู่ที่ Intermediate ครับ ก่อนอาทิตย์สุดท้ายก็ประมาณ Upper Intermedite ครับ เกือบจะ Advance แล้ว ถ้าได้สอบเลเวลอาจจะขึ้นก็ได้ครับ (หัวเราะ)
ที่ปรึกษาในที่ ILSC Toronto เป็นยังไง ?
สำหรับผม ถ้ามีปัญหาอะไร ผมไปคุยกับเขาเลยว่าต้องการอะไร คือเรามีปัญหาเกี่ยวกับอะไร เราก็ไปที่แผนกนั้นเลย จะไม่มีคนกลางเหมือนกับที่ฟิลิปปินส์ ระบบในโรงเรียนถือว่าดีนะครับ แต่ผมว่าอาจจะไม่เหมาะกับคนที่ภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยคล่อง เพราะไม่มีคนกลางคอยดูแล
สำหรับ ILSC Toronto คะเเนนเต็ม 10 ให้เท่าไหร่ ?
ผมให้ 9 นะครับ ชอบตรงที่ว่าเราสามารถเลือกวิชาที่เราอยากโฟกัส หรืออยากเรียนอะไรมากกว่าได้ เช่น ผมสามารถเรียน Business กับ IELTS ได้ด้วย หรือว่าจะเลือกเรียนเกี่ยวกับ Presentation หรือสถานการณ์โลกปัจจุบัน ก็จะมีให้เลือกไปเรียน ส่วน 1 คะแนนที่หายไปเพราะปกติไม่ชอบให้คะแนนเต็มครับ (หัวเราะ) เพราะผมมีความเชื่อว่ามันไม่มีอะไรเพอร์เฟ็คร้อยเปอร์เซ็นต์บนโลกใบนี้ครับ
Part 3 :
ชีวิต… เรียนภาษาอังกฤษที่ Toronto
เมือง Toronto ที่คิดไว้ และความเป็นจริงเหมือนหรือแตกต่างกันยังไงบ้าง ?
ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้คิดเลยว่าโตรอนโต้จะเป็นยังไง เพราะไม่ค่อยรู้จักแคนาดามากเท่าไหร่ ที่รู้จักก็แค่ใบเมเปิล (Maple Leaf) ต้นเมเปิล และรู้ว่ากีฬาฮอกกี้ (Hockey) ดังในแคนาดา แต่เกี่ยวกับเมืองไม่ค่อยมีความรู้เลย ก็เลยไม่ได้มีภาพในหัวก่อนไปเท่าไหร่ แล้วก็รู้ว่าโตรอนโต้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคนาดา แค่นั้นครับ พอไปถึงจริงๆ มันเป็นเมืองใหญ่ แต่ไม่ได้ใหญ่เกินไป ถ้าเทียบกับนิวยอร์ก สำหรับผม มันเป็นเมืองที่กะทัดรัด เพราะว่าตัวเมืองเอง มันไม่ได้ใหญ่ครับ
ความปลอดภัยที่ Toronto เป็นอย่างไร ?
อยู่มา 6 เดือน ไม่เคยเจอเกี่ยวกับการเหยียดสีผิว เหยียดเชื้อชาติ หรือไปเจอโจร ขโมยอะไรเลย ก็อยู่สบายดีครับ แต่ว่าก็เคยคุยกับครูที่โรงเรียน เขาก็บอกว่า มันก็มีพวกบ้าๆ บอๆ เหมือนกัน ก็ให้ระวังด้วยประมาณนี้ครับ Homeless (คนไร้บ้าน) ไม่ถือว่าเยอะมาก แต่ก็พอเห็นบ้างหลายจุดครับ
อากาศที่ Toronto ช่วงมีนาคม – สิงหาคม เป็นอย่างไร ?
ตอนที่ไปช่วงเดือนมีนาคม เป็นช่วงปลายๆ หน้าหนาวพอดี อุณภูมิก็เกือบๆ จะติดลบครับ ประมาณ 3-4 องศา หลังจากนั้นสักเดือนนึงก็เริ่มอุ่นขึ้นมาประมาณ 10 กว่าองศา แล้วก็อยู่ถึงเดือนสิงหาครับ ตอนที่ไป ถ้าเป็นเมืองอื่นหิมะกำลังจะหมด แต่ของโตรอนโต้หิมะเกือบจะหมดแล้ว เห็นหิมะตกปรอยๆ แค่วันเดียว มีฝนมาเป็นระลอกๆ ไม่ได้หนักไม่ได้เยอะมากครับ
การเดินทางใน Toronto เป็นยังไงบ้าง?
สำหรับคนไทยไปที่โตรอนโต้ ผมว่าสะดวกสบายนะ ผมเป็นคนชอบใช้ Google Map ที่นี่มันค่อนข้างจะแม่นยำ สามารถดูได้หมดเลยว่าจะขึ้นบัสคันไหน รถไฟสายไหน สบายครับ แต่จะชอบติดปัญหารถไฟชอบดีเลย์ พวกเกาหลี ญี่ปุ่นเขาชอบมาบ่นให้ผมฟัง เพราะที่นั่นเขาไม่มีดีเลย์ แต่ที่นี่มี ผมว่าเกือบทุกวันเลยนะ 1 นาทีบ้าง 2 นาทีบ้าง บางทีก็ 15 นาที บางทีก็ไปขึ้นรถบัสแทน เคยไปคุยกับครูเขาบอกว่าระบบรถไฟไม่ได้เปลี่ยนมา 50 ปีแล้ว แต่พวกรถรางและรถบัสจะใหม่นะครับ แค่รถไฟอย่างเดียวที่เก่าครับ
ร้านอาหารที่ Toronto เป็นยังไงบ้าง ?
ตอนแรกเราไป เราก็รู้ว่าเราจะต้องทิปพนักงาน แต่พอไปถึง เราลืมว่าจะต้องทิปเท่าไหร่ วันแรกเราไม่ได้ทิปไป ก็รู้สึกเป็นตราบาป เพราะเขาเปลี่ยนสีหน้าทันทีตอนที่ผมไม่ทิปเขาเนี่ย แล้วก็เลยนึกขึ้นได้ว่าต้องทิป มันเป็นเหมือนมารยาทของที่นั่นครับ ร้านอาหารไทยก็เยอะพอสมควร ถ้ามาแล้วคิดถึงอาหารไทยก็มีให้เลือกเยอะครับ มีหลายระดับ กินแพง กินถูก แบบ Food court ก็มี แต่ผมอยู่ที่โน่น 6 เดือนไม่ได้กินอาหารไทยเลย แทบไม่ได้กินเผ็ดเลย พอกลับมาที่ไทยกินเผ็ดวันแรกแล้วท้องเสีย เพราะเรายังปรับตัวไม่ได้ครับ
ที่ Toronto หาซื้อข้าวของเครื่องใช้ ง่ายไหม ?
หาซื้อง่ายครับ มีครบ โดยเฉพาะร้านขายยาเนี่ย เดินๆไปก็เจอ สมมติว่าถ้ามีปัญหาอะไรแล้วอยากซื้อยา เดินหลับตาไป เดี๋ยวก็เจอครับมีทุกมุม แต่ผมไม่เคยซื้อนะครับ เพราะเตรียมมาจากที่ไทยครบแล้ว เลยไม่จำเป็นต้องซื้อ ตอนที่ทำอาหารกินเอง มี market ทั่วไปเลยครับ ซื้อง่าย ผมไม่ทำอาหารไทย เพราะอยู่ที่นั่นผมไม่ได้คิดถึงอาหารไทย ก็เลยสบายๆ แต่จะทำอาหารไทยก็ได้ เพราะน่าจะหาซื้อวัตถุดิบได้จาก Asian market ที่อยู่แถวๆ China town
ไปเรียนภาษาที่ Toronto ควรเตรียม Pocket money เท่าไหร่ดี ?
อันนี้ต้องแยกออกเป็นส่วนๆ ครับ ถ้าเป็นเฉพาะค่าเดินทาง วันนึงจะตกที่ประมาณ $6.2 CAD เป็นกรณีที่ทำบัตรมาแล้ว ตกเที่ยวละ $ 3.1 CAD ค่ากิน ถ้าทำอาหารกินเองแบบทุกมื้อก็จะประมาณ 5,000 – 7,000 บาทต่อหนึ่งเดือน ถ้าไปซื้อกินเองบ้าง ทำกินเองบ้างก็อาจจะประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน แต่ถ้าซื้อกินเองทุกเองก็น่าประมาณ 20,000 – 30,000 บาทต่อเดือน ก็จะแพงกว่าเยอะเลย ทำกินเองดีกว่า หรือโฮสต์ทำให้ อันนั้นก็จะถูกเหมือนกัน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็ไม่แพงมากนะครับ เช่น เสื้อ โทรศัพท์ อุปกรณ์ ราคาก็ไม่ต่างจากที่ไทยมาก เพราะสินค้าก็มีมาจากจีนด้วย
ไปเรียนภาษาที่ Toronto … วันหยุดเที่ยวที่ไหนบ้าง ?
ส่วนใหญ่ผมไปพิพิธภัณฑ์ต่างๆ มีที่นึงที่เป็น Art Gallery เข้าฟรีทุกวันพุธ แต่บางทีอาจจะมีค่าเข้า แต่ไม่แพงนะครับ เราสามารถเดินไปรอบๆ เมือง Toronto ได้ มีไปดูหนังบ้าง เมื่อเปรียบเทียบกับที่ไทย ราคาพอๆ กันเลย คือประมาณ $10 CAD หรือ 240 บาท
ถ้าอยากเน้นเที่ยวเยอะๆ ไม่แนะนำให้มา Toronto ครับ (หัวเราะ) มันไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่ได้อยากมาใช้ชีวิตในเมืองขนาดใหญ่ ไปแวนคูเวอร์ดีกว่า ผมว่าน่าจะเหมาะกว่า สมมติถ้าให้เลือกไปเรียนได้อีกครั้ง ผมจะไปแวนคูเวอร์ เพราะว่าผมสายถ่ายรูป ชอบธรรมชาติ ชอบไปเดินเขา ถ่ายรูปแม่น้ำ แวนคูเวอร์จะใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากกว่า
ตอนที่ผมอยู่ Toronto ผมหาที่เที่ยวประมาณนี้ไม่ค่อยเจอ ผมต้องบินไปแคลการี่ (Calgary) ประมาณ 3-4 ชั่วโมง เพื่อที่จะไป National Park เช่น Rock Mountain ผมไปช่วงก่อนซัมเมอร์ เพราะซัมเมอร์จะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเยอะ ช่วงก่อนซัมเมอร์ รถบัสจะเปิดเต็มที่ มีให้เลือกไปหลายเส้นทาง ซึ่งถ้าผมอยู่แวนคูเวอร์ น่าจะไปง่ายกว่า เราอาจจะนั่งรถไฟไปได้ในช่วงวันเสาร์และอาทิตย์
ผมไปน้ำตกไนการ่า (Niagara falls) วันศุกร์สุดท้าย เรียนเสร็จตอนบ่าย ก็ซื้อตั๋วรถบัสไปเลย นั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมง ผมไปอยู่ได้ประมาณ 30-40 นาที แล้วก็กลับมาเลย แค่ไปถ่ายรูปกับน้ำตกแค่นั้นครับ เพราะไม่ไปไม่ได้ เดี๋ยวกลับมาพ่อกับแม่รู้ว่าไม่ไปถ่ายกับน้ำตกแล้วเดี๋ยวโดนว่า เพราะว่าอยู่ใกล้มาก (หัวเราะ)
ก่อนกลับอาทิตย์นึงไปเที่ยว มอนทรีออล (Montreal) ออตตาวา (Ottawa) และควิเบก (Quebec) วันแรกผมไปออตตาวาก่อน ซึ่งเป็นเมืองหลวง เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่ ไม่มีรถไฟ จะมีแค่รถบัส ผมไปอยู่ที่นั่นวันเดียว เดินรอบๆเมือง ถ่ายรูป ชิวๆ ไป วันที่สองไป มอนทรีออล เป็นเมืองที่จะใช้ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งผมก็อยู่แค่วันเดียวครับ วันสุดท้ายก็ไปที่ ควิเบก ถ้าเทียบกันสามเมือง ควิเบก สวยสุด เหมือนบ้านเมืองที่อยู่ในยุโรปครับ ไม่ใช่เมืองใหญ่ เดินเที่ยว ชิวๆ ถ่ายรูป ถ้าคนที่ชอบถ่ายรูป เดินเล่น ชิวๆ น่าจะชอบ ไปนั่งกินอะไรตอนเช้าๆ คนโล่งมากเลยตอนที่ผมไป ผมนั่งรถบัสไปแต่ละเมือง เมืองสุดท้ายที่ควิเบก แล้วต้องนั่งเครื่องบินกลับโตรอนโต้ เพราะว่ามันค่อนข้างไกล ผมมีเวลาไม่เยอะด้วย เพราะเป็นวันหยุดพอดี รีบไปรีบกลับ
แต่สำหรับคนที่ไม่รู้จะเริ่มเที่ยวยังไง ที่โรงเรียนก็มีแพ็คเกจทัวร์มาให้เหมือนกัน ไปแบบ 4 วันสามเมือง ผมก็ลอกการบ้านเขามาจากแพ็คเกจทัวร์แล้วก็ไปเอง จริงๆ ไปเองก็ไม่ได้ถูกกว่า แต่แค่เราอยากไปเองครับ
Part 4 :
เปรียบเทียบระหว่างฟิลิปปินส์และแคนาดา
เปรียบเทียบ ข้อดี-ข้อเสีย ของการใช้ชีวิตที่ฟิลิปปินส์และแคนาดา ?
ต้องบอกว่าตอนแรกเราไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับประเทศแคนาดาเลย ส่วนใหญ่จะรู้เกี่ยวกับประเทศอเมริกามากกว่า เราไม่รู้ว่าที่ Toronto จะมีความหลากหลายของชนชาติเยอะขนาดนี้ เขาจะมีพวกคนที่ย้ายถิ่นฐานจากอีกประเทศนึงมาอยู่ที่แคนาดา ครูบอกว่า 40%-50% เป็นคนที่ไม่ได้เกิดที่แคนาดา แต่จะมาจากประเทศอื่นๆ ซึ่งมันก็ทำให้เราตกใจนิดนึง เพราะตอนแรกเราไม่รู้อะไรเลย คิดว่ามีฝรั่งเยอะ แต่พอมาก็ไม่ใช่ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสียนะครับ
ข้อเสียคือ รถไฟดีเลย์บ่อย โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาว เดือนแรกที่ผมมาเดือนมีนาคม รถไฟเสียประมาณ 2 รอบ คือไม่ใช่ดีเลย์อย่างเดียว แต่เสียเลย ต้องไปใช้บัสแทน อาจจะมีปัญหาเรื่องเดินทางบ้างถ้าเกิดใช้รถไฟ
เรื่องสภาพอากาศแล้วแต่คนชอบ ถ้าคนชอบอากาศหนาว มาที่ Toronto ก็โอเคเลย ส่วนข้อเสียสำหรับผม อาจจะไม่มีนะ เพราะว่าผมเป็นคนง่ายๆ
สำหรับที่ประเทศฟิลิปปินส์ การเดินทางจะลำบากหน่อย ไปไหนมาไหนจะต้องใช้จิปนีย์ ซึ่งถูกมาก เหมือนรถสองแถว มันดูทางยากมากเลย เพราะไม่มีอะไรบอกทิศ ถ้าเราจะเดินทาง เราต้องถามเขาอย่างเดียวเลย หรือไม่ก็ใช้แท็กซี่ ข้อเสียอีกอย่างสำหรับฟิลิปปินส์ คือ อินเตอร์เน็ต ปัญหาหลักของผมเลยตอนไปอยู่ที่นั่น แต่ละโรงเรียนผมไปอยู่มา (3 โรงเรียน) มีปัญหาอินเตอร์เน็ตทุกที่เลย โดยเฉพาะที่สถาบัน EV Academy เขาจำกัดอินเตอร์เนตให้ใช้ 12 GB มั้งถ้าจำไม่ผิด ต่อ 4 เดือน ซึ่งผมใช้แค่ 2 วันก็หมดแล้ว และที่ฟิลิปปินส์ ก็จะมีบางพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่าไหร่ และมันอาจจะดูน่ากลัวสำหรับเรา
สำหรับสถาบัน EV Academy ผมคิดว่าเขาก็ค่อนข้างเป็นระบบดีนะครับ ถ้าไม่นับเรื่องระบบอินเตอร์เน็ตที่ผมไม่โอเค เรื่องอาหารก็ดี EV ดีที่สุดเรื่องอาหาร ซึ่งตรงกันข้ามกับ BECI ที่อาหารจะค่อนข้างซ้ำกัน นักเรียนที่ BECI จะบ่นเรื่องอาหารกันเยอะ รวมถึงผมด้วยแหละ
เปรียบเทียบ ข้อดี-ข้อเสีย ระหว่าง การเรียนภาษาอังกฤษ ที่ฟิลิปปินส์และแคนาดา ?
โดยรวมแล้ว ผมชอบความรู้สึกตอนเรียนที่ฟิลิปปินส์มากกว่านะครับ เราเข้าถึงกับครูที่ฟิลิปปินส์ได้ง่ายกว่าที่แคนาดา เพราะว่าที่แคนาดาส่วนใหญ่จะเป็นกรุ๊ปใหญ่ประมาณไม่เกิน 16 คนครับ ส่วนที่ฟิลิปปินส์ ส่วนใหญ่จะไม่เกิน 10 คน แล้วก็มีที่เป็นกลุ่มเล็ก และยังมีคาบเรียนแบบตัวต่อตัวด้วย ที่ฟิลิปปินส์เราจะได้คุยเยอะกว่า ถ้าเป็นคนชอบสังสรรค์กับเพื่อนหรือชอบคุยกับคนกลุ่มเล็กๆ ได้คุยกันเยอะๆ ฟิลิปปินส์ก็น่าจะดีกว่า
ระบบการเรียนภาษาอังกฤษที่ฟิลิปปินส์ ผมว่ามันลอกกันมาหมดเลยนะครับ มันคล้ายๆ กันหมดเลย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเจอครูคนไหนแล้วล่ะ แต่ถ้าให้เลือกจาก 3 สถาบันที่ไปมา ระหว่าง IDEA Academia, BECI และ EV Academy ผมชอบ BECI ที่สุด ถึงจะไม่โอเคเรื่องอาหาร ถึงไฟจะดับบ่อย น้ำจะไม่ไหลบ่อย อยู่บนภูเขา จะออกไปเที่ยวก็ลำบาก (ส่วนใหญ่จะออกไปแค่วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์กัน) แต่เพราะการที่เราเหมือนกับติดเกาะอยู่ในนั้น มันทำให้เราสนิทกับเพื่อนได้เร็วขึ้น
ใครควรเรียน IELTS ที่ฟิลิปปินส์ และใครควรไปแคนาดา ?
ผมว่าน่าจะสัมพันธ์กับระดับภาษาอังกฤษของเราในตอนนั้น ที่ฟิลิปปินส์ เขาจะมีคลาสเรียนตัวต่อตัว เราก็จะคุยกับครูได้สบายกว่า ไม่ต้องมานั่งรอคนในห้อง ดังนั้นในระดับเริ่มต้นถึงปานกลาง ฟิลิปปินส์อาจจะตอบโจทย์ แต่ผมชอบสไตล์แคนาดามากกว่านะ เพราะว่าตอนไปที่แคนาดา เราเลเวลสูงแล้วด้วย เราชอบคุยกับเพื่อนในห้องมากกว่า แชร์กันว่าต้องเขียนยังไงให้ได้คะแนนดี ไม่ใช่คุยกับแค่ครูตัวต่อตัวเท่านั้น
Part 5 :
ส่งท้ายและคำแนะนำ
แนะนำคนที่สนใจไปเรียนภาษาอังกฤษที่แคนาดาและฟิลิปปินส์
สำหรับผมนะมี 2 ปัจจัยหลักๆ ตอนนี้ คือ
1. ระดับภาษา ถ้าภาษายังไม่เก่งมาก เพราะที่แคนาดา เราจะเรียนเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งถ้าภาษายังระดับเบสิคอยู่ก็ไปฟิลิปปินส์ก่อนดีกว่า
2. เรื่องเงิน ถ้าเราอยากจะประหยัดเงิน ฟิลิปปินส์ก็น่าจะโอเคกว่าครับ
สำหรับเรื่องสำเนียงตอนเรียนที่ฟิลิปปินส์ผมไม่มีปัญหานะครับ ถ้าเป็นคลาส Listening เขาก็จะเปิดพวกข่าว ก็จะมาจาก CNN บ้าง BBC บ้าง ก็มาจากประเทศอเมริกา และประเทศอังกฤษอยู่แล้ว แล้วเวลาว่างๆ ผมก็เป็นพวกชอบดูหนัง ดูซีรีย์อยู่แล้ว ผมก็ซึมซับมาจากตรงนี้ด้วย ผมอยู่ที่ฟิลิปปินส์มา 10 เดือน ก็ไม่ได้ติดสำเนียงฟิลิปปินส์ครับ
จากที่ไปเรียนที่ฟิลิปปินส์มา 10 เดือน แต่ความรู้สึกเหมือนว่าไปประมาณ 6-7 เดือน เพราะว่ามันจะมีบางช่วงที่ขี้เกียจครับ (หัวเราะ) เดือนสุดท้ายของแต่ละโรงเรียน ผมจะเริ่มไม่ค่อยเรียนเเล้วครับ สำหรับคนที่จะมาเรียนไม่ควรมาเรียนระยะยาวเกินไป เพราะจะน่าเบื่อ ประมาณ 3-4 เดือน น่าจะกำลังดีครับ
เรียนภาษาที่แคนาดากับสถาบัน ILSC คลิก