Photo Credit : cytis from Pixabay
Boston
CITY OF COOL THINGS
“บอสตันคือโอเอซิสใจกลางทะเลทราย
เมืองที่คนจำนวนมากอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข และรักใคร่ซึ่งกันและกัน”
คำพูดหนึ่งที่เราเคยเห็นผ่านตาในอินเตอร์เน็ต นอกจากล็อบสเตอร์ ทีมบาสเก็ตบอล และมหาวิทยาลัยระดับโลก คนไทยยังคงพูดถึงเมืองบอสตันน้อยกว่านิวยอร์กหรือลอส แองเจลิส ด้วยซ้ำ รู้หรือไม่ว่าบอสตันถูกยกให้เป็นเมืองที่จัดการเรียนการศึกษาได้ดีที่สุดในอเมริกา และยังเป็นศูนย์กลางของบรรดาสตาร์ทอัพซึ่งกำลังเติบโตขึ้นในทุกเวลา ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เป็นประสบการณ์ชีวิต โอกาส และสิ่งแวดล้อม ที่บอสตันเอื้ออำนวยให้ใครก็ตามที่เดินทางผ่านมาได้ใช้ชีวิตและเป็นอิสระในแบบที่ตัวเองอยากจะเป็น
Hello Boston มาทำความรู้จักเมืองนี้ให้มากขึ้นหน่อยดีกว่า!
WHAT AND WHERE
รู้จักนิวยอร์กใช่มั้ย บอสตันก็อยู่ใกล้ๆ นี่ละ ถ้าเราเอาไม้บรรทัดแบ่งครึ่งประเทศอเมริกาเป็น 2 ส่วน บอสตันจะตั้งอยู่ส่วนบน ออกไปทางตะวันออก (หมายความว่า ถ้าดูในแผนที่ จะอยู่ทางขวามือของเรา) เป็นจุดเล็กๆ เพราะอยู่ในรัฐแมสซาชูเซ็ตส์อีกทีหนึ่ง กินพื้นที่ประมาณ 124 ตารางกิโลเมตร ใกล้กับชายฝั่ง นิว อิงแลนด์
อากาศดี เหมาะสำหรับคนไม่ชอบความร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 24 องศาเซลเซียส (ร้อนสุด) ถึง -2 องศาเซลเซียส (หนาวสุด) มีฝนเฉลี่ย 137 วันต่อปี (ก็อยู่ใกล้ชายฝั่งนี่นะ) แต่ก็มีแดดมาสร้างความสดชื่นอยู่ตลอดเวลานะ
สิ่งที่ควรรู้ไว้ บอสตันเป็นเมืองหนึ่งที่เก่าแก่และมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์อเมริกามากๆ เล่าไปจะยาว รู้ไว้เพียง มีบันทึกว่าชาวอังกฤษเหยียบขึ้นมาบนพื้นที่แห่งนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1630 มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ตั้งอยู่ในเมืองนี้ ก็เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของอเมริกา และตอนนี้บอสตันก็เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญระดับประเทศไปแล้ว
STUDY IN BOSTON
ในพื้นที่เพียง 124 ตารางกิโลเมตรของบอสตัน เป็นที่ตั้งของวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมากกว่า 100 แห่ง ที่โด่งดังและมีชื่อเสียงนั้น ได้แก่ Harvard University, Boston University, Tufts University และ MIT นี่ยังไม่รวมวิทยาลัยที่ผลิตเด็กเข้าไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงทั่วอเมริกา และเป็นเดสทิเนชั่นของนักเรียนจากต่างประเทศทั่วโลก นี่ยังคงเรียกว่าความสำเร็จไม่ได้ เพราะการศึกษาต้องไปต่อและไม่หยุดพัฒนา ทว่าระบบการศึกษานี้ไม่ใช่เรื่องโบราณที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับเมืองนี้!
ย้อนกลับไปแค่ปี 1993 ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาได้เริ่มคุยกันอย่างจริงจังว่าทำอย่างไรที่จะให้ทั้งเด็กนักเรียนและสถานศึกษามีคุณภาพ ข้อสรุปเลยมาหยุดตรงที่ การตั้งเป้าหมายให้สูงเข้าไว้ หมายถึงเซ็ทมาตรฐานการศึกษาในเมืองนี้ให้สูงเพื่อผลักดันผู้เรียนไปถึงจุดนั้นให้ได้ เพียง 7 ปี รัฐสามารถหาเงินมารองรับโรงเรียนรัฐบาลได้มากมาย และทำให้บอสตันกลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องการศึกษา
ไม่เพียงแต่นักเรียนต่างชาติเท่านั้น วัยรุ่นอเมริกาเองก็มองบอสตันเป็นจุดหมายปลายทางเรื่องการเรียนของตัวเองเหมือนกัน ในแต่ละปีมีนักเรียนกว่า 250,000 คนตัดสินใจเดินทางมาเรียนที่เมืองนี้ ทั้งระดับมหาวิทยาลัย คอลเลจ หรือจะเป็นเพียงช่วงซัมเมอร์ระยะสั้น บอสตันยังตอบโจทย์อยู่เสมอ
CRÈME DE LA CRÈME
มาทำความรู้จักมหาวิทยาลัยระดับหัวกะทิที่อยู่ในบอสตันกันหน่อย เอาแบบที่พูดไปแล้วคนไทยรู้จักทันที เห็นจะมีอยู่ 3 แห่ง คือ Harvard University, Boston University และ MIT
• Harvard University – มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยอันเก่าแก่ที่สุดของอเมริกา ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1636 และยังคงมีชื่อเสียงอยู่จนถึงทุกวันนี้ จากโรงเรียนสอนศาสนาที่มีเด็กนักเรียนเพียง 12 คน ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีศิษย์เก่าที่ได้รับรางวัลโนเบลรวมกัน 75 รางวัล มีศิษย์เก่าที่เป็นประธานาธิบดี 8 คน (เช่น จอห์น เอฟ. เคนเนดี และบารัก โอบามา เป็นต้น) บิล เกตส์ก็เรียนที่นี่ แต่ดร็อปไปก่อนตอนอายุ 19 ห้องสมุดของเขายังได้ชื่อว่าเป็นห้องสมุดมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยนะ รวบรวมหนังสือไว้มากกว่า 15 ล้านเล่ม!
• Boston University – มหาวิทยาลัยที่โลเคชั่นดีที่สุดในบอสตัน เพราะเห็นวิวแม่น้ำชาลส์ และแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ กลางเมือง ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1839 โดยนักธุรกิจ 3 คน เลยมีชื่อเสียงด้านกฎหมายและธุรกิจมากๆ ยังเป็นมหาวิทยาลัยที่รวบรวมงานวิจัยไว้มากสุดในอเมริกาอีกด้วย ศิษย์เก่าผู้มีชื่อเสียงก็มี Julianne Moore นักแสดงหญิงมากความสามารถที่คว้ารางวัลทางการแสดงแล้วมาทุกสถาบัน
• MIT – ย่อมาจาก Massachusetts Institute of Technology แปลเป็นไทยคือ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ มหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงเรื่องการศึกษาในสาขาเคมี ฟิสิกส์ และวิศวกรรมศาสตร์สาขาต่างๆ ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับยุคอุตสาหกรรมในอเมริกา ก่อนสงครามโลกจะมาเยือน MIT ได้ผลิตนักเรียนหัวกะทิผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ออกมาเยอะมาก และยังเป็นมหาวิทยาลัยในฝันของเด็กนักเรียนสายวิทย์กันอยู่จนถึงปัจจุบัน
OUTDOOR ACTIVITIES
Photo Credit : Laurasaman on Unsplash
คนบอสตันชอบเอาตัวเองออกมาเจอแสงแดดและนั่งปิกนิกที่สนามหญ้ามากๆ เข้าใจเขาหน่อยเถอะว่าสภาพอากาศนั้นไม่ได้ร้อนแรงเหมือนเมืองไทย คงมีไม่กี่เดือนที่พวกเขาจะกอบโกยวิตามินดีเข้าผิวได้อย่างเต็มที่ เมื่อวันหยุดมาถึง เพื่อนใหม่ของเราอาจจะชวนไปที่ Fenway Park สนามแข่งเบสบอลขนาด 37,000 กว่าที่นั่ง วันไหนที่มีแข่ง คนบอสตันก็จะมารวมตัวกันที่นี่ ไม่ต้องเขินอายถ้ายังดูไม่เป็น เข้าไปซึมซับบรรยากาศบ้านเขา และสนุกไปกับเสียงเฮก่อน เดี๋ยวจะอินเอง
ถ้ามีเวลาอีก อยากให้ค่อยๆ เดินไปทั่วเมือง ดูสถาปัตยกรรมของตึกเก่าอายุมากกว่า 200 ปีที่มีอยู่ทุกมุมถนน ตึกเหล่านี้อาจเป็นสถานประกอบการของรัฐ ห้องสมุด หรือโรงเรียนก็ได้ ทุกอย่างคือความดั้งเดิม ไม่ได้สร้างใหม่ให้เราดูเหมือนเมืองไทย ตึกไหนเป็นร้านค้า คาเฟ่ หรือสถานที่สาธารณะ ลองเปิดประตูเข้าไปสูดดมกลิ่นอายความเป็นเมืองเก่าของเขาดู คนไหนไปเรียนแบบแป๊บเดียว รีบเดินให้ทั่วเร็วเลยล่ะ
กิจกรรมเอ๊าท์ดอร์ที่ควรทำอีกอย่างคือเดินหาของกินไปเรื่อยๆ โชคดีที่เราเป็นคนไทย เพราะกินได้ตลอดโดยไม่สนใจมื้อและเวลาอยู่แล้ว จริงมั้ย! เปิด Google Map แล้วเสิร์จหา China Town เป็นที่แรกก็ได้ เพราะรวมไว้ซึ่งร้านอาหารสไตล์เอเชี่ยนสำหรับคนที่ยังไม่ชินกับอาหารฝรั่ง แต่มาบอสตันแล้ว ต้องลองกินอาหารสูตร New England นะ ยากจังที่จะอธิบายว่าเป็นอาหารประเภทไหน พูดได้คร่าวๆ เพียงเน้นไปที่วัตถุดิบจากท้องทะเล ซีฟู้ด เช่น ซุปหอยลาย ล็อบสเตอร์โรลล์ ปลาหมึกชุบแป้งทอด อะไรทำนองนี้
EAT-PLAY-LIVE
เรียนก็สำคัญ แต่อย่าปฏิเสธเลยว่าเรื่องเที่ยวนั้นไม่สำคัญ! อย่างนี้นะ เวลาเราไปแลกเปลี่ยนหรือเรียนต่อต่างประเทศ การใช้ภาษามีอยู่ 2 แบบคือในห้องเรียนกับนอกห้องเรียน ซึ่งการออกไปผจญภัยในโลกกว้าง (อย่างปลอดภัย) ก็ถือว่าช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารของเราได้ดีเลยล่ะ โดยเฉพาะการฟังและการพูด
บอสตันเป็นอีกเมืองที่คนใจดี คุณภาพชีวิตดี สถิติการก่ออาชญากรรมต่ำ ปลอดภัยและหายห่วงแม้จะกระโจนไปอยู่ที่นั่นคนเดียว ใครไม่เคยไปอเมริกาอาจยังไม่ค่อยชินกิจกรรมที่เขาทำในช่วงแรกๆ หน่อยนะ เพราะไม่ใช่การเดินห้างและนั่งกินบิงซูอ่ะ – สายลม แสงแดด และเพื่อนต่างหากที่สิ่งที่ทุกคนต้องการ!
Educational Attraction
ใครเป็นแฟชั่นนิสต้าหรือชอบแสงสีเป็นชีวิตจิตใจ เราแนะนำให้ค่อยๆ ปรับตัว จริงอยู่ที่ผับ บาร์ และห้างสรรพสินค้านั้นก็มี แต่อย่าเปรียบเทียบกับเมืองไทยเลย เพราะมันไม่ได้คึกครื้นและน่าเดินเหมือนบ้านเรา ฉะนั้นผันตัวไปหาความรู้ตามห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์เถอะ! อย่าเพิ่งเบือนหน้าหนีไปก่อน ภาพมิวเซียมต่างๆ ในเมืองไทยทำให้เรากลัวความน่าเบื่อและบรรยากาศหลอนๆ เวลาเข้าไปเดินในนั้น แต่ที่บอสตันนั้นเต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ที่เดินแล้วเดินอีกได้ ไม่รู้จักเบื่อ ไล่ไปตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ, ต้นไม้, ประวัติศาสตร์, วิทยาศาสตร์, ความรู้ทางทะเล นี่ยังไม่รวมอีเว้นท์แบบป๊อปอัพ ที่หมุนเวียนมาจัดแสดงให้ดู ฟรีบ้าง เสียเงินบ้าง แต่ดีกว่าบ้านเราเยอะ เชื่อเถอะ
Entertainment
วันหยุดนัดเพื่อนไปดูละครเวที ฟังออเครสต้า นี่ไม่ใช่กิจกรรมสำหรับคนสูงอายุ แต่ใครๆ เขาก็ทำกัน โอเค การดูหนังอาจเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เด็กๆ สนใจ แต่รู้ไหมว่ามีโรงละครและโอเปร่า เฮ้าส์ อยู่เต็มไปหมดที่บอสตัน นี่ยังไม่รวมถึงโรงละครทั้งหมดในแมสซาชูเซตส์ จนเลยไปถึงนิวยอร์กนะ เปิดประสบการณ์ตัวเองด้วยการนั่งดูงานศิลปะอันเคลื่อนไหวได้ ใช้ตาดู ใช้หูฟัง ดูเสร็จออกนั่งคุยกับเพื่อนต่อที่ร้านอาหารไฟสีส้ม นี่ใช่มั้ยชีวิตวัยรุ่นที่เราต้องการ โนเรียนพิเศษ โนรถติด โนรีบกลับบ้าน
TRAVEL BY T
Photo Credit : Aubrey Odom on Unsplash
เดินทางด้วย T – งงล่ะสิว่าหมายถึงอะไร จริงอยู่ที่เราจะเห็นว่าประชาชนในบอสตันนั้นรักการเดินและเดิน ปั่นจักรยานบ้าง เพราะอากาศเขาดีจริงๆ แต่ก็ต้องมีขนส่งมวลชนไว้เพื่อรองรับการเดินทางไปไหนไกลๆ การคมนาคมในบอสตันดูแลโดย Massachusetts Bay Transportation Authority หรือเรียกย่อๆ ว่า ‘T’ นั่นเอง ให้บริการทั้งรถไฟใต้ดิน, บัส, รถราง และเรือ รับผิดชอบทั้งบริเวณที่ Greater Boston
สำหรับวิธีการเดินทางนั้น ใช้วิธีสามัญซึ่งคล้ายกับประเทศอื่นๆ คือใช้สีแบ่งสายรถไฟใต้ดิน ราคาเริ่มต้นต่อเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 2.65 เหรียญ เด็กอายุต่ำกว่า 11 ขวบขึ้นฟรี มีบัตรรรายวันและรายสัปดาห์จำหน่าย ผู้โดยสารต้องซื้อบัตร CharlieCard และแอคทิเวตก่อน ถึงใช้บริการได้ โอ้ นอกจากนี้ยังมีบริการรถโดยสารจากหน่วยงานอื่นๆ อีก เพื่อเชื่อมต่อไปยังปลายที่เราต้องการ มีแท็กซี่ และบริการเช่าจักรยานสำหรับคนที่ชอบ ข้อมูลเหล่านี้สามารถหาศึกษาได้จากอินเตอร์เน็ตนะ ความสำคัญอยู่ที่การดูผังเมืองให้ออก จากนั้นก็เดินทางได้ไม่ยากแล้ว
IT’S ALL ABOUT THE MONEY
มาถึงเรื่องสำคัญที่สุด ใช้จ่ายเท่าไหร่ในบอสตัน ตรงนี้ หากเป็นนักเรียนก็อย่าเพิ่งตกใจ เพราะค่าที่พักและค่าอาหารในแคมปัสนั้น จะมีราคาถูกกว่าข้างนอกมากๆ รวมทั้งยังอาจมีส่วนลดต่างๆ ทั้งการเข้าพิพิธภัณฑ์และซื้อตั๋วรถโดยสาร แค่อยากจะโชว์ว่าประชากรโดยเฉลี่ยเขาเสียเงินประมาณเท่าไหร่ จากรายจ่ายต่อไปนี้
• ข้าว 1 มื้อ (พร้อมเครื่องดื่ม) ในย่านการค้า = $ 16 USD
• ชุดคอมโบในฟาสต์ฟู้ด = $ 8 USD
• โค้กขนาด 2 ลิตร = $ 1.89 USD
• ค่าเช่าอพาร์ทเม้นต์ห้องธรรมดาต่อเดือน = $ 1,717 USD
• กางเกงยีนส์ดีๆ สักตัว = $ 54 USD
• รองเท้ากีฬามียี่ห้อ 1 คู่ = $ 96 USD
• ตั๋วรถไฟรายเดือน = $ 84 USD
• ค่าแท็กซี่ประมาณ 8 กิโลเมตร = $ 16 USD
• แชมพู 1 ขวด = $ 4.96 USD
• ตั๋วหนัง 2 ใบ = $ 26 USD
• ตั๋วละครเวที 2 ใบ = $ 236 USD
• กาแฟดีๆ 1 แก้ว = $ 4.99 USD
ทุกอย่างอาจดูแพงไปหน่อยเมื่อเทียบกับรายได้ของประเทศเรา ฉะนั้น เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤติทางการเงิน สิ่งที่ดีที่สุดคือต้องวางแผนเป็นรายเดือน ซื้อสิ่งที่จำเป็นก่อน เช่น ตั๋วรถไฟหรือของใช้ส่วนตัว กันเงินเผื่อฉุกเฉิน จากนั้นค่อยใช้จ่ายไปกับเรื่องอื่นๆ อย่างมีสติ
ไม่แปลกถ้าบอสตันจะน่าไปเรียนในระยะนึง แต่ไม่น่าอยู่สำหรับบางคน ด้วยหลายๆ เหตุผลทั้งค่าครองชีพ วัฒนธรรม หรือไม่สามารถอยู่ห่างครอบครัวได้เป็นเวลานาน แต่เราก็ยังเชื่อว่าบอสตันนั้นเป็นเหมือนพื้นที่สาธารณะให้เราได้มาทดลองใช้ชีวิตเพื่อถามตัวเองให้แน่ใจอีกครั้งว่า ชอบสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้หรือเปล่า ไม่ใช่แค่วัยรุ่น จะโตแค่ไหนก็ยังต้องถามตัวเองอยู่ตลอดแหละว่า ‘ชอบสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้หรือเปล่า’
ถ้าเริ่มสนใจเมืองนี้และอยากลองไปใช้ชีวิตที่บอสตันก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดโรงเรียนและวิทยาลัยเหล่านี้ได้เลย
เรียนต่ออเมริกาใน Boston
EC English Language Centres สถาบันสอนภาษาอังกฤษที่มีหลายสาขากระจายอยู่ใน 7 เมืองเลื่องชื่อของอเมริกา นักเรียนจึงมีอิสระที่จะเลือกเรียนภาษาอังกฤษในสถานที่และสภาพแวดล้อมที่ตนเองสนใจได้อย่างเต็มที่ นอกจากจุดเด่นด้านความหลากหลายของสาขาที่ตั้งแล้ว EC ยังมีหลักสูตรให้เลือกเรียนมากมายอีกด้วย อาทิ General English, English for Business, Education & Exams, Fusion – Hybrid Learning สำหรับวิทยาเขต Los Angeles นั้นตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินไม่ไกลจาก Market Street, Union Square, Chinatown, Little Italy และ SoMa โรงเรียนตั้งอยู่บนชั้น 18 สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมือง ห้องเรียนล้อมรอบเลานจ์ขนาดใหญ่ที่โอบล้อมด้วยแสงอาทิตย์
เพิ่มเติมเกี่ยวกับ EC คลิกที่นี่
The Newman School โรงเรียนที่จะทำให้ประสบการณ์ชีวิตมัธยมปลายของคุณตื่นเต้นและไม่เหมือนใคร! เป็นโรงเรียนที่มีความหลากหลายทางวิชาการ ครูที่นี่ทุ่มเทกับการสอน และนักเรียนที่นี่ก็มาจากหลากหลายพื้นที่ ใช้หัวใจพูดกับหัวใจ นี่คือคติของโรงเรียนเรา ที่โรงเรียน Newman พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีไม่ว่าจะทั้งครูหรือเพื่อน เหล่าครูผู้สอนทั้งหลายจำเป็นต้องทราบว่านักเรียนแต่ละคนมีความสามารถ ความสนใจและอยากท้าทายในเรื่องอะไรบ้าง และมักจะต้องเป็นแรงขับเคลื่อนให้นักเรียนเพื่อที่จะให้เกิดการเรียนรู้ การคิดและการสร้างโดยตนเอง และมีจริยธรรมในสังคม
เพิ่มเติมเกี่ยวกับ The Newman School คลิกที่นี่
CATS Academy เป็นโรงเรียนประจำระดับชั้นมัธยมปลาย (High School) ชื่อดังของเมืองบอสตัน CATS มีนักเรียนต่างชาติเดินทางมาศึกษามากกว่า 30 ประเทศ ทำให้ได้ฝึกการใช้ภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง แถมยังมีเพื่อนจากทั่วโลกอีกด้วย นอกจากบรรยากาศทั่วไปที่ร่มรื่นของสถานที่แล้ว การเรียนการสอนยังประสบความสำเร็จ วัดได้จากจำนวนนักเรียนที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับ Top 5 ได้สูงถึง 93% ของนักเรียนทั้งหมด
เพิ่มเติมเกี่ยวกับ CATS Academy คลิกที่นี่
FLS INTERNATIONAL สถาบันสอนภาษาที่มีความเข้าใจและประสบการณ์ในการดูแลความต้องการของนักเรียนต่างชาติ มีกิจกรรมหลากหลายให้นักเรียนได้เยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ มีหลักสูตร pathway สำหรับการเข้าศึกษาต่อวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในอเมริกา มี Academic Workshops ประจำวัน ที่จะให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์และการสนับสนุนจากอาจารย์เกี่ยวกับทักษะเฉพาะต่างๆ
เพิ่มเติมเกี่ยวกับ FLS INTERNATIONAL คลิกที่นี่