[รีวิว] จบป.ตรีแล้วก็เปลี่ยนสายงานได้ เส้นทางสู่การเริ่มต้นเรียนพยาบาลที่อเมริกา กับสถาบัน Shoreline Community College โดยคุณป๋วย

รีวิว จบป.ตรีแล้วก็เปลี่ยนสายงานได้ เส้นทางสู่การเริ่มต้นเรียนพยาบาลที่อเมริกา
กับสถาบัน Shoreline Community College โดยคุณป๋วย

ทราบมาว่าคุณป๋วยเรียนจบปริญญาตรีที่ไทยมาแล้ว ช่วยเล่าประวัติคร่าว ๆ ให้ฟังได้ไหมคะ?

ตัวผมจบวิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครับ สาขานวัตกรรมการบริการ จะคล้าย ๆ กับ บริหารธุรกิจบวกกับการโรงแรม คือตอนจบมัธยม ผมไม่ได้มีเป้าหมายในชีวิตและก็ไม่ค่อยได้ตั้งใจเรียน ที่เข้าเพราะว่าสอบติดเลยเข้ามาเรียนเลย

ทำไมถึงตัดสินใจเลือกมาเรียนต่อที่อเมริกา?

จริง ๆ มีแพลนว่าอยากมาเรียนที่อเมริกานานแล้ว แต่ว่าตอนนั้นคิดว่าอยากมีชีวิตมหาวิทยาลัยที่ไทย เลยเรียนที่ไทยก่อน แล้วพอเรียนจบเป็นช่วงโควิดเพิ่งซาพอดี เด็กที่จบมาเลยไม่มีงานครับ ก็เลยเลือกที่จะมาเรียนต่อครับ

ทำไมถึงเลือกเรียนที่ Shoreline Community College?

จริง ๆ ต้องบอกว่าพ่อผมก็เรียนที่ Shoreline มาก่อนครับ พ่อจะพูดมาตั้งแต่เด็กเลยครับว่าอยากให้มา Seattle เพราะว่าแกมาเรียนที่นี่แล้วแกก็ชอบมาก เลยเป็นเหมือนเป้าหมายว่าต้องให้ลูกมาเรียนต่อที่นี่ด้วย และตัวผมเองก็ไม่ได้มองที่อื่น เพราะตัวเราเคยมาแลกเปลี่ยนที่อเมริกาช่วงม.5 รู้ว่าตัวเองจะกลับไปอีกแต่ไม่รู้ว่าตอนไหน ประจวบกับตอนจบ ป.ตรีมา ไม่มีงานทำ เลยถือโอกาสมาเรียนต่อครับ

ทำไมคุณป๋วยเลือกเรียนหลักสูตร Associate’s Degree ด้านดนตรี และเพราะอะไรถึงเปลี่ยนมาเรียนพยาบาลในภายหลังคะ?

ต้องบอกว่าตอนเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ได้มีแพลนว่าจะทำงานอะไร แล้วตอนเรียนได้มีโอกาสช่วยงานที่ TU BAND ทำงานเกี่ยวกับด้านเสียง เราก็รู้สึกว่าสนุกดี ตอนฝึกงานได้ไปฝึกงานเป็น Sound engineer ที่ Work Point ก็สนุกดีครับ เลยคิดว่าน่าจะเป็นงานที่เราทำได้ครับ แต่พอเราเข้ามาเรียนด้านดนตรีแล้ว ต้องบอกว่าตอนแรกเราทำด้วยความสนุก เหมือนเป็นงานอดิเรก เราไปฝึกงานมาแล้วก็สนุก แต่พอมาเรียนจริง มันคนละอารมณ์กัน ต้องเรียนลึกขึ้น ซึ่งในเนื้อหาบางอย่างเรารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเรียนลึกขนาดนั้น ก็เลยรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องเรียนก็ได้ถ้าจะกลับไปทำงานด้านนี้ เพราะพอเราได้ไปทำงานมาแล้ว เราจะรู้ว่าเนื้อหาส่วนไหนมันจำเป็นส่วนไหนไม่จำเป็นครับ พอเข้าไปเรียนแล้วมันเสียเงินไปเปล่า

บวกกับว่าพอมาเรียนที่อเมริกา ผมชอบเมืองนี้ ที่นี่เข้ากับตัวตนเรา เราเลยอยากหาหนทางที่จะอยู่ต่อ และพยาบาลเป็นอาชีพที่ขาดแคลนที่นี่ มันเป็นสายอาชีพที่ง่ายกว่าต่อการได้กรีนการ์ดผ่านการจ้างงาน แต่ไม่ได้ตรงกับสิ่งที่เรียนมาทั้งชีวิตเลยครับ เพราะผมเรียนศิลป์-ภาษา เข้ามหาวิทยาลัยก็ไปเรียนด้านที่ไม่ได้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เลย ก็ท้าทายดีครับ ผมจำได้ว่าเรียนตกตัวแรกไปรอบนึง แต่ตอนนั้นเราก็ชิลด้วย เราเข้าไปเรียนโดยที่เราไม่ได้ทุ่มเทเวลาให้ขนาดนั้น แต่พอตกไปเราก็เหมือนตื่น และรู้สึกว่าพ่อผมก็มีอายุแล้ว ถ้าจะเรียนด้านนี้ก็ต้องตั้งใจแล้ว มันเป็นอุปสรรคที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่พอเราทุ่มเทเวลาให้มัน และมันต่างจากไทยตรงที่ ที่นี่เขาให้เรียนเรื่องที่มันจำเป็น คิดว่าเราจะได้ใช้จริง ๆ ทุกอย่างมันเลยจะถูกอัดเนื้อหาให้เรียนแค่ในสิ่งที่เราต้องรู้จริง ๆ เหมือนตารางธาตุก็ไม่ต้องท่องทั้งตารางซึ่งทำให้หลาย ๆ เนื้อหาที่ไทยพอเราเรียนก็จะรู้สึกว่ามันยาก เพราะมันเยอะเหลือเกิน เราก็จะไม่อยากเรียน แต่ที่นี่เขาย่อมันลงมาให้เนื้อหามันโอเค เราก็เลยเรียนได้ครับ

ช่วยเล่าความน่าสนใจของหลักสูตรนี้ให้ฟังหน่อยค่ะ?

วิชาที่น่าสนใจผมว่าอยู่ที่ว่าชอบเรียนแบบไหน ถ้าชอบเรียนชีววิทยา Anatomy ก็สนุกครับ เราจะได้เรียนเกี่ยวกับอวัยวะของร่างกาย ชนิดของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อทำงานยังไง สร้างมาจากอะไร ถ้าเป็นคนเข้าฟิตเนสหรือสนใจทางด้านร่างกาย ผมว่าวิชานี้สนุก Microbiology ก็สนุก แบคทีเรียตัวนี้ต้องมีออกซิเจนในการหายใจระดับเซลล์ ผมว่าเรียนที่นี่หาตัวเองได้ง่ายกว่า เพราะสมมติว่าผมเรียน Anatomy อยู่ตัวนึง อีกตัวนึงผมไปลงเรียนวิชาปั้นหม้อหรือวิชาดนตรีพร้อมกันก็ได้ ถ้ายังไม่แน่ใจว่าอยากเรียนอะไร สมมติคุณเข้ามาที่นี่อายุ 17 โดยที่ยังไม่รู้ว่าอยากทำอะไร คุณสามารถลงสามตัวที่ไปคนละสายงานเลยก็ได้ เพื่อที่จะได้รู้ว่าคุณชอบทางด้านไหน จะไม่เหมือนที่ไทยที่ คุณเลือกคณะนี้แล้วต้องลงแค่วิชาที่คณะมีให้แค่นั้น ถ้าไม่ใช่คุณก็ต้องซิ่ว แต่ที่นี่คุณสามารถเลือกเรียนวิชา Intro ของแต่ละคณะได้ครับ

ที่นี่จะเป็นโรงเรียนพยาบาล คือจะมีโรงเรียนพยาบาลอยู่ใน Shoreline เราต้องเรียนเก็บวิชาก่อนเข้า เช่น อังกฤษ จิตวิทยา สถิติ กายวิภาค จุลชีววิทยาครับ ตอนนี้ผมเหลือเก็บ Anatomy อีกหนึ่งตัว ถ้าคาดคะเนแล้วน่าจะเข้าได้ Winter หน้าครับ

คุณป๋วยมีการเก็บชั่วโมงงานจิตอาสาที่วัดด้วย คือต้องไปทำอะไรบ้างคะ?

ตอนนี้ก็ช่วยเตรียมของผัดของแจกคนที่มาทำบุญที่วัดครับ เราช่วยเตรียมของ แจกข้าว พูดคุยกับป้า ๆ น้า ๆ ครับ และก็อีกที่ที่ผมทำ คือ Food bank* ที่ Seattle ครับ จะมีหลายแผนก Stock ของ ที่ Food bank เขาก็ต้องไปซื้อของที่ใกล้หมดอายุที่ Safeway/Fred Meyer ราคามันจะถูกลง ทางเราก็จะจัดขึ้น shelf ใครก็ได้ที่ลงทะเบียน สามารถเดินเข้ามาหยิบของได้เลย เหมือนซุปเปอร์มาร์เก็ตเลยครับ แต่เขาจะมีจำกัดว่าของแต่ละอย่างได้กี่ชิ้น อย่างตัวผมทำบ่อยสุดก็ส่วนเคาน์เตอร์ครับ คือ คล้ายพนักงานซุปเปอร์มาร์เก็ตแต่ไม่ต้องยิงบาร์โค้ด แค่คอยดูว่าเขาหยิบมากี่ชิ้นเกินที่กำหนดหรือเปล่า แล้วก็นำของใส่ถุงให้เขา แค่นั้นเลยครับ แต่มันก็จะเวียนทำได้หลายอย่าง อยากทำ Stocking ก็ได้หรือทำครัวร้อนก็ได้ครับ

หมายเหตุ
*Food bank หรือ ธนาคารอาหาร เป็นประเภทของมูลนิธิหรือองกรค์ที่ไม่แสวงหาผลกำไร จะทำหน้าที่รวบรวมอาหารแห้งและสินค้าอุปโภคบริโภคจากร้านอาหารและห้างสรรพสินค้าทั่วไป เพื่อนำมาแจกจ่ายให้คนในชุมชนฟรี หรือในราคาที่ต่ำมาก เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารและของใช้จำเป็นได้

อยากให้ช่วยเปรียบเทียบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่ไทยกับระดับอนุปริญญาที่อเมริกา ในเรื่องของระบบการศึกษา สังคมเพื่อน และสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร

ต่างกันมากครับ คือที่ไทยวัฒนธรรมการเรียนมันก็คงจะเป็นไปตามเป้าหมายของประเทศครับ ที่ไทยเรียนหนัก เรียนเยอะ จำเยอะ เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของโลก ถ้าเป็นเครื่องยนต์เราก็คงเร่งเครื่อง อยากให้ประชากรมีความรู้มากที่สุด แต่ด้วยความที่อเมริกา เขาจะมีความอิสระ เสรีภาพมากกว่า ที่นี่จะเรียนสบายกว่า ทั้งตัวชั่วโมงเอง และอิสระในการเลือกเรียน อย่างที่ผมบอกว่าเราสามารถเลือกเรียนวิชาอะไรก็ได้ที่อยากเรียน อย่างที่นี่วิชา Anatomy มันจะมีให้เลือกเลย 3-4 เซค อาจารย์ท่านไหนบ้าง เราสามารถเลือกได้เลยว่าอยากเรียนกับใคร ซึ่งรุ่นพี่ก็จะบอกว่าอาจารย์คนนี้ดี คนนี้ไม่ดี สไตล์ของแต่ละคนเป็นยังไง แล้วก็ด้วยความที่เรียนที่นี่ อาจารย์เขาให้ความสำคัญกับเวลาว่าง เวลาส่วนตัวของเรา ที่ Community College คนเขามาเรียนเพื่อเปลี่ยนสายงาน เขามาเรียนและก็ทำงานประจำไปด้วย เขาเลยไม่ได้เรียนทั้งวัน หรือเรียน 3-4 วันต่อสัปดาห์เหมือนที่ไทย เพราะฉะนั้นเราเลยจะมีเวลาไปหาตัวเอง ฝึกงาน ทำกิจกรรม สมมติถ้าเป็นมุมมองของเด็กไทยที่มาเรียนที่นี่ เราจะมีอิสระในเรื่องของเวลาที่เราอยากทำอย่างอื่นในชีวิตได้ และก็อาจารย์ก็สอนเปิดใจมากกว่าครับ วัฒนธรรมที่นี่เราสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ทุกอย่าง อาจารย์ไม่มีอีโก้ จะไม่เหมือนที่ไทยที่อาจารย์จะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิสุด ๆ คุยด้วยก็ยาก ที่นี่ไม่มีคำถามโง่ ๆ อ่าครับถามอะไรก็ได้ อาจารย์ก็พร้อมตอบ แต่ที่ไทยบางทีถามไปคำถามมันดูโง่ ๆ เหมือนเราไม่ได้ตั้งใจเรียน แต่เราตั้งใจถามจริง ๆ ที่อเมริกาเขาก็ พร้อมตอบจริง ๆ

ส่วนสังคมเพื่อนที่นี่ดีครับ เด็กต่างชาติเยอะ ถ้าเกิดเป็นเด็กไทยมาเรียนคิดว่าไม่เหงาครับ จะได้เพื่อนจากหลายชาติครับ ฮ่องกง อินโดนีเซีย อาหรับ แอฟริกา แล้วก็มีคลับเยอะ มีคลับคนไทยด้วยถ้ามาแล้วคิดถึงบ้านคนไทยก็มีประมาณนึง แต่ก็อยากให้มีเพื่อนเป็นคนอเมริกันเอาไว้ บางคนเขาเป็นบาร์เทนเดอร์ มาเรียนพยาบาลเพื่อจะเปลี่ยนสายงานก็มีครับ

สภาพแวดล้อมของที่นี่ ถ้าเป็นเด็กต่างชาติก็จะวัยเดียวกันครับ แต่ไม่ได้วัยเดียวกับผมเพราะผมมาที่นี่ตอนอายุ 23 แล้ว แต่ถ้าเป็นน้อง ๆ ที่มาตอนอายุ 16-18 ก็ไม่เหงาครับ มีเด็กนักเรียนอายุประมาณนี้กันเยอะครับ ที่นี่ก็จะมีกิจกรรมอยู่ตลอด คือพวกกิจกรรมสันทนาการ ทำขนม อบขนม มีคลับทำอาหาร ทำนู่นนี่นั่นให้เราได้รู้สึกว่าเรามาอยู่ที่นี่เราไม่ได้อยู่คนเดียวนะ โรงเรียนเขาเข้าใจจุดตรงนี้ดีครับ เลยพยายามหากิจกรรมให้เด็กทำ เพราะรู้ว่าเด็กต่างชาติมาที่นี่ทำงานไม่ได้ด้วย ตัวผมเองอยู่คลับคนไทยครับ แต่ด้วยคอร์สที่เรียนงานมันเยอะมาก เลยไม่ค่อยได้ไปทำกิจกรรมกับเขาเท่าไหร่ มีไปกินข้าวบ้างครับ

KPG ช่วยแนะนำและเตรียมตัวในการขอวีซ่ามาเรียนต่ออเมริกาอย่างไรบ้างคะ?

พี่ ๆ ก้อปันกันเขาช่วยหมดเลยครับ ไม่ยากครับ ตอนต่อผมก็จะให้พี่ ๆ เขาช่วยเหมือนกันครับ พี่เขาจะมีขั้นตอนวิธีการทำทุกอย่างมาให้เลยครับ เราถึงขั้นตอนนี้ และเราต้องเตรียมอะไรต่อ ต้องรออะไร ต้องส่งอะไรบ้าง เราไม่ต้องทำอะไรเลย ตอนต่อวีซ่าเลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไงครับ 5555 พี่ ๆ เขาช่วยไกด์คำถามและวิธีการตอบ ซึ่งเท่าที่จำได้ เขาก็ถามว่ามาเรียนทำไมเพราะตอนนั้นผมเรียนจบ ป.ตรีไปแล้ว แล้วกลับมาจะทำอะไร มี statement เท่าไหร่ ก็ตอบไปครับ ถ้าเหตุผลเราชัดเจนก็ไม่มีอะไรนะครับ

เมืองที่อยู่เป็นอย่างไร หลังจากอยู่เมืองนี้แล้ว คิดว่ามีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้างคะ?

Shoreline เป็นเมืองที่อยู่ชานเมือง Seattle ครับ ถ้าเทียบก็เหมือนปทุมธานี-นนทบุรีกับกรุงเทพครับ แต่มันไม่ได้ไกลขนาดนั้นนะ มันกึ่ง ๆ ธรรมชาติ ไม่ได้ธรรมชาติเหมือนไอดาโฮ โอเรกอน ที่เราเข้าไปอยู่แล้วมีแต่ป่าเขา แต่ที่นี่มันยังมีความเป็นเมืองอยู่ มีต้นไม้เยอะ อากาศดี บรรยากาศร่มรื่น ไม่เสียงดัง ไม่วุ่นวายเหมาะสำหรับคนที่ชอบความสงบ และมีความ balance ถ้าคุณชอบความเป็นเมืองอาจจะมาอยู่แถวโซนล่าง ๆ Seattle ก็ได้ เพราะมันไม่ได้ไกลเมืองมาก นั่งรถบัสไม่ไกลครับ ขนส่งสาธารณะที่นี่โอเคครับ ใช้เวลาหน่อย แต่ไปได้ทั่วถึงครับ ค่าครองชีพสูงกว่ารัฐอื่น ๆ ครับ แต่คนที่นี่ได้รายได้ดีมาก ค่าแรงขั้นต่ำ 20$ ครับ แต่แถว Shoreline ไม่ได้แพงมากครับ บ้านเช่าก็ไม่ได้แพงมาก หาที่อยู่ที่นี่ไม่ยากครับ คือถ้าคุณเข้ามาอยู่ได้สักพักนึง หาเพื่อนได้ ก็แชร์ที่อยู่กับเพื่อนได้ครับ ตอนแรกผมมาอยู่หอที่ Shoreline ถ้าอยากอยู่ใกล้โรงเรียน  สะดวกสบายในการไปเรียน ก็หอพักครับ แต่สำหรับผมรู้สึกว่ามันวุ่นวายนิดนึง แต่ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ผมว่าเช่าอยู่ข้างนอกดีกว่าครับ เพราะหอพักโรงเรียนมันไม่ได้ใกล้พวกซุปเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ เท่าไหร่ ค่าหอ 1,200-1,300$ แต่เช่าบ้านอยู่ข้างนอกประมาณ 800$ ครับ ส่วนตัวผมว่าเมืองนี้ไม่ได้น่ากลัวครับ 100% ของเมือง มีแค่ 20% ที่มันอันตราย แต่คนก็จะระวังและไปโซนนั้นด้วยกันหลาย ๆ คน ข้อเสียอีกอย่างคือ ถ้าคนไม่ชอบฝนอาจจะไม่ชอบครับ เพราะที่นี่ฝนตก 8 เดือน พระอาทิตย์ตกดินตั้งแต่ 4 โมงเย็นช่วงฤดูหนาว แต่หน้าร้อนอากาศดีเลย

ตอนว่าง ๆ คุณป๋วยได้ออกไปทำกิจกรรมอะไรบ้างไหมคะ?

ไปครับ ผมชอบไปเดินตามสวน ปิกนิก ไฮกิ้ง เราก็เดินไปเรื่อย ๆ ครับ เพราะตอนอยู่ไทยผมอยู่กทม. มันมีแต่ตึก แต่พอมาอยู่ที่นี่ มันมีธรรมชาติก็เดินไปเรื่อย ๆ ครับ บางทีเดินขึ้นเขาเดินหลงไปไหนไม่รู้ ก็หารถบัสกลับมา

คุณป๋วยวางแผนในอนาคตไว้อย่างไรบ้างคะ?

ผมเรียนต่อพยาบาลเพราะอยากอยู่ต่อที่นี่ยาวครับ เนื่องจากคุณพ่อก็เตรียมจะเกษียณแล้ว และสาขานี้จบไปทำงานก็ได้ค่าตอบแทนดีด้วย ผมรู้สึกว่าถ้าเรียนพวกบริหารธุรกิจจบไปก็ต้องคิดต่อว่าจะทำอะไร แต่พวกสายที่ผมเรียนคือมีหน้าที่เรียนให้ดีที่สุดครับ เดี๋ยวคุณก็จะมีงานเอง แล้วตอนนี้เขาก็ขาดแคลนอยู่ด้วย ทุกรุ่นที่จบมาได้งานทำหมดครับ

มีข้อคิด คำแนะนำอะไรเพิ่มเติมสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจอยากมาเรียนต่อหรือมาอยู่อเมริกาบ้างไหมคะ?

ถ้ามาแล้วก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่ครับ ทำความรู้จักกับคนให้เยอะ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเยอะ ๆ เพราะแต่ละวัฒนธรรมไม่เหมือนกัน และมันก็มีข้อดีที่เราเอามาปรับใช้กับตัวเราให้เป็นคนที่ดีขึ้นได้ครับ แล้วก็มาแล้วก็ตั้งใจเรียนครับ เพราะมันใช้เงินเยอะแล้วเราก็ควรจะต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด เรามาเรียนอเมริกา คนที่นี่เขามีข้อดีของเขา มาแล้วทำความรู้จักคนอเมริกันและคนต่างชาติเอาไว้เยอะ ๆ ก็ดีครับ

อ่านเกี่ยวกับ Shoreline Community College – คลิก

Photo Credits : คุณป๋วย

ติดต่อขอรับคำปรึกษา

 

เรียนต่อแคนาดา อเมริกา

Line : @korpungun

เรียนภาษาที่ฟิลิปปินส์

Line : @kpglearn

คอร์สออนไลน์ KPG LIVE

Line : @kpglive

TEL: 094-883-8778