รีวิว ประสบการณ์เรียน Music Business
กับสถาบัน Shoreline Community College โดยคุณภูมิ
ทำไมถึงเลือกมาเรียนต่อที่อเมริกา?
ตอนนั้นที่บ้านอยากให้ไปเรียนต่ออเมริกาครับ ผมไม่ได้เลือกเอง แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ตอนนั้นมาแลกเปลี่ยนช่วงมัธยม 5 ก็เรียนเหมือนมัธยมทั่วไป แล้วพอช่วงที่จะกลับไทยตามกำหนดเดิม พ่อกับแม่ผมก็ส่งหลักสูตรของ Shoreline Community College มาให้ว่าสนใจเรียนต่อเลยไหม มันสามารถเรียน college ได้เลย ไม่ต้องต่อ ม.6 เพราะพอไปเทียบหน่วยกิต ที่ไทยดันให้หน่วยกิตเยอะกว่าที่อเมริกาทำให้ผมไม่ต้องเรียนเพิ่ม แค่โอนหน่วยกิตไปได้เลย ก็เลยเรียนมหาวิทยาลัยเร็วขึ้น 1 ปี ครับ
ทำไมถึงเลือกเรียน Music Business ที่ Shoreline Community College?
คืออันนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจเลือกหลักสูตรนี้ตั้งแต่แรก ผมอยากเรียนดนตรีตรง ๆ เลย เหมือนเรียนไปเป็นครูเลย แต่ก็สะดุดนิดนึงตรงที่ผมไม่ได้มีความรู้ทั่วไปทางด้านดนตรีเยอะ พอรู้อยู่บ้างว่าในวงการนี้มันมีเรื่องจดลิขสิทธิ์ เรื่องจดสิทธิบัตร หรืออะไรก็ตามที่เป็น copyright ของเราเอง เลยคิดว่าเรื่องพวกนี้น่าสนใจดีจะได้ไม่โดนหลอกอะไรงี้ อันนี้คือส่วนนึงครับ แต่อีกส่วนนึงคือผมรู้สึกว่าความรู้ทางด้านธุรกิจเป็นทักษะพื้นฐานที่พอเราเข้าสู่ช่วงทำงาน มันมีความจำเป็นครับ เพราะการเข้าใจเรื่องธุรกิจ หรือบัญชีเบื้องต้น ซึ่งเอาจริง ๆ ยอมรับว่าไม่ได้ว่าเก่งนะครับ แต่อย่างน้อยเวลาเราไปอยู่ในวงสนทนาหรือไปกู้เงินทำธุรกรรมอะไรแบบนี้ เรายังพอที่จะเข้าใจโครงสร้างบ้าง
เนื้อหาที่เรียนได้เรียนอะไรบ้าง ช่วยเล่าความน่าสนใจของหลักสูตรนี้ให้ฟังหน่อยค่ะ?
ผมต้องเรียนธุรกิจพื้นฐาน และก็เรียนทฤษฎีดนตรีครับ วิชาเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ การเป็นเจ้าของธุรกิจทางปัญญา อย่างเช่น การเป็นเจ้าของเพลง เราต้องบริหารมันยังไง ทั้งในฐานะตัวศิลปิน เอเจนท์ หรือค่ายเพลง ผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจดีนะครับ อย่างสมมติถ้าผมไปเรียน Music Education เราสบายใจก็จริง แต่ก็คิดว่าเราจะอยู่ในกรอบเกินไปรึเปล่า เลยฉีกเลยดีกว่า ให้เรียนสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัดเพิ่มขึ้นมา ถ้าในมุมของคนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยในสายนี้ ผมว่ามันเป็นอะไรที่ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นครับ คือกลายเป็นว่าทุกอย่างบนโลกนี้มันมีภาพเบื้องหลังที่ยังไงก็ถูกโยงไปถึงเรื่องของธุรกิจ ต้องยอมรับว่าในสมัยนี้เพลงเหมือนสินค้า สามารถทำเงินได้ สามารถขายได้ เราเลยต้องมีความเข้าใจในเชิงธุรกิจนิดนึง อย่างผมเป็นมือกีตาร์ แต่ผมไม่ได้เป็นคนที่มี mindset ของศิลปินขนาดนั้น เราไม่ได้มีเสียงของตัวเองชัดเจนขนาดนั้น เลยรู้สึกว่าเราไปทำอะไรที่มันค่อนข้างเป็น practical skill หรือทักษะพื้นฐานกลาง ๆ ที่คนส่วนใหญ่บนโลกอาจจะมีความสามารถด้านนี้อยู่แล้ว ผมรู้ตัวว่าไม่ได้เป็นคนที่ special ขนาดนั้น ก็เลยรู้สึกว่าอาจจะต้องมีทักษะพื้นฐานทางด้านนี้ เพื่อที่เราจะได้คุยกับคนในวงการอื่นได้บ้างเช่น วงการธุรกิจ ถ้าผมไปทำ PR อาจจะต้องไปนั่งอธิบายเพื่อให้คนเข้าใจว่ามันจะทำเงินยังไง เพลงนี้คุณสามารถเอาไปใช้โฆษณาแบบนี้ได้ จะมีแผนการตลาดประมาณไหน มีความเป็นไปได้ว่ามันเอาไปอยู่กับงานของคน ๆ นี้แล้วมันอาจจะส่งเสริมกันและกันหรือเปล่า ตอนแรกไม่ได้เลือกเรียนเพราะความชอบ 100% แต่หลังจากเรียนไปก็สนุกดีเหมือนกันครับ
ตัวเนื้อหาจะมีเรียนทำบัญชีพื้นฐาน มีการเรียนเป็นเจ้าของธุรกิจเขียนโมเดลธุรกิจ ทำงบ ถ้าภาคดนตรีก็ ทฤษฎีดนตรีทั่วไป ถ้าในวงการนี้จะรู้กันโดยทั่วไปว่าทุกคนจะต้องผ่านการเรียนเปียโน อาจจะไม่ต้องเก่งมาก แต่มันเป็นเครื่องดนตรีพื้นฐานที่ต้องเรียน อย่างวิชา Music Business ของคณะที่ Shoreline อาจารย์ที่เขาเป็นทั้งนักแต่งเพลงของศิลปินดัง ๆ เขาก็มาสอนและก็บอกทั้งโครงสร้างว่าเพลง ๆ นึง มันประกอบร่างเกิดขึ้นมามันมีส่วนประกอบอะไรบ้างที่คน ๆ นั้นสามารถเป็นเจ้าของได้ เช่น 1 เพลงสามารถหารออกมาได้ 50/50 คนนึงแต่งอันนี้ อีกคนแต่งอีกอันนึง ผลประโยชน์แยกย่อยลงมายังไง เรียกว่าตามคุณูปการของแต่ละคนที่มีต่อเพลงเพลงนั้นละกัน เงินมันก็จะแบ่งเปอร์เซ็นต์ไม่เท่ากันครับ สิ่งนี้เปิดโลกผมเหมือนกันครับ ผมไม่เคยรู้เรื่องอะไรแบบนี้เหมือนกัน แล้วมันก็จะมีเรื่องสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร ความเข้าใจเรื่องสัญญาฝั่งวงการบันเทิงนะครับ ไม่ได้หมายถึงเรื่องร้องเพลงอย่างเดียว เบื้องต้นควรจะระวังอะไรบ้าง จะมีวิชานึงเขาส่งเป็นสัญญา Demo มา แล้วให้ผมกับเพื่อนติ๊กว่าอะไรแลดูจะไม่เป็นธรรมและจะโดนโกงได้ง่าย เช่นมีงบประมาณไปออกอัลบั้ม 1 แสนบาท อาจจะต้องได้ค่าเปอร์เซ็นต์จากการขาย physical copy เท่านี้ แล้วบางทีมันได้เปอร์เซ็นต์น้อยเกินไปจากยอดขายทั้งหมด ถ้าพูดในมุมของเราเป็นเอเจนท์ที่ปกป้องลูกค้าเราที่เป็นศิลปินที่เขาดังอยู่แล้วต้องดูว่ามันจะคุ้มกับเขาไหม ตัวตนของเขาที่ดังอยู่แล้วจะได้เปอร์เซ็นต์เท่านี้ไม่ได้ ต้องได้ผลประโยชน์มากกว่านี้รึเปล่า ไม่ใช่ว่าเขาทำงานเต็มที่เลยสุดท้ายทุกอย่างเป็นของค่าย ก็จะต้องช่วยลูกค้าเราปกป้องสิทธิครับ
หลังจากเรียนแล้วเป็นยังไงบ้างคะ อยากให้ช่วยรีวิวในส่วนของ อาจารย์ เพื่อนในห้อง เนื้อหาวิชา การสอบ?
เอาจริงของผมมันจะไม่ได้เครียดเหมือนคนอื่น ยอมรับว่าค่อนข้างขี้โกงนิดนึงในการสอบภาคดนตรี มันเหมือนเป็นอะไรที่เราใช้บ่อยใช้อยู่เรื่อย ๆ ไม่ได้เข้าไปเรียนแค่สอบแล้วไม่ได้ใช้เนื้อหาที่เรียนในชีวิตประจำวัน แต่ของผมกลับบ้านมาก็เล่นกีตาร์ รวมวงซ้อมกับเพื่อน มันได้ใช้อยู่เรื่อย ๆ เลยดูขี้โกงครับ เพราะตอนสอบมันเหมือนแค่เราย้ำความรู้อีกรอบเฉย ๆ ครับ ว่ามันคืออันนี้นะ เราได้ใช้อยู่บ่อย ๆ ครับมันเลยไม่ได้ยาก
ส่วนอาจารย์ที่นี่ บางคนสอนอธิบายละเอียดมากครับ บางคนค่อย ๆ บอกทีละนิด ๆ ก็มี เอาง่าย ๆ ผมเข้าไปนั่งในคลาสทุกคนมีเพลงของตัวเองหมดเลย มี material เป็นของตัวเองมันเลยง่ายต่อคนสอนด้วย เวลาให้ความรู้อะไรไป มันจะมีข้อมูลนั้น ๆ อยู่ในหัวของนักเรียนอยู่แล้ว คือมันเป็นอะไรที่ใช้กันอยู่แล้ว และเวลาสอนไป ก็เล่นเปียโนไป มีการเทียบโน้ต ร้องมาร้องกลับ เช็คว่าตรงไหม ข้อดีของเปียโนคือเสียงมันค่อนข้างเสถียร ครูสอนร้องเพลงส่วนใหญ่เลยจะใช้เปียโน เพราะเสียงมันจะไม่ค่อยเพี้ยน เครื่องดนตรีหลาย ๆ เครื่องบนโลกสัก 80% จะสามารถเทียบคีย์กับเปียโนได้ ก็เลยไม่ได้เครียดอะไร ผมว่าสนุกมากกว่า แต่ถ้าคนที่ไม่ได้สายทฤษฎีดนตรีมากก็อาจจะยากนิดนึงครับ และมันจะมีวิชา Band รวมวง อาจารย์มาเล่นด้วย เป็นแซกโซโฟน เขาเป็น Band leader จะสั่งให้ทำอะไรบ้าง เราก็จะได้ฟังความความเห็นของเขาด้วยว่า เวลาอยากได้ feel ประมาณนี้ เขาจะอธิบายคนอื่นยังไง เพราะว่าเขาเล่นกับเราด้วย เราเลยสามารถศึกษาภาษากาย วิธีการอธิบายของเขาไปด้วย เพราะตอนนั้นผมไปในฐานะรอรับคำสั่งอย่างเดียว คอยทำพาร์ทของตัวเองให้ดี และคอยฟังคนอื่นว่า เขาจะมายังไง กลองจะส่งมาแบบนี้ นักร้องร้องแบบนี้ มันจะต้องหยุดตรงไหน แล้วคนที่เป็น leader หรือปัจจุบันผมก็เป็นครูอยู่ด้วย มันก็จะได้ทักษะที่ได้มาบ้างคือเราต้องอธิบายภาษาที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ ให้เป็นภาษาคนให้ได้ครับ
อยากให้ช่วยแชร์ประสบการณ์การทำงานที่อเมริกาให้ฟังได้ไหมคะ
ตอนนี้ผมทำงานอยู่ 2 ที่ครับ ที่แรกทำงานกับ Shoreline ทำอยู่ฝ่าย Media tech เหมือนถ้าเขาจะจัดประชุม จัดอีเวนท์อะไรผมก็ไปเซ็ตคอม ตั้งโปรเจกเตอร์ เช็คเสียงให้ เพราะมีความรู้ด้านเสียงมาบ้าง ตอนเทรนงานผมเลยจะไปได้เร็วกว่าคนอื่นหน่อยครับ เพราะผมเคยเห็นมาประมาณนึงแล้ว แล้วก็งาน General support ว่าง่าย ๆ เขาเรียกให้ไปช่วยอะไรก็ไปช่วยได้หมดครับ งานที่ Shoreline ถ้ามีงาน เขาเรียกให้ไปช่วยค่อยไปครับ ส่วนอีกงานเป็นงานหลัก คือสอนกีตาร์อยู่ที่ Guitar center ครับ สอนตัวต่อตัวตั้งแต่เด็ก-ผู้ใหญ่ สอนทุกอาทิตย์ ทั้งสองงานนี้ผมขอ OPT (ใบอนุญาตทำงานชั่วคราวหลังเรียนจบ) เพื่อทำงานให้ถูกต้องตามกฎหมายที่นี่
น้องภูมิมีวิธีการหางานทั้งสองงานนี้อย่างไรคะ
ของผมเรียกว่า ใช้ connection ครับ ของที่ Shoreline คือ ผมทำงานกับที่โรงเรียนมานานแล้วครับ ตอนเรียนก็ไปช่วยงาน พอจบมา เขาเห็นเวลาว่างเยอะเลยชวนให้มาทำงานด้วยครับ พอเขารู้ว่าผมเรียนดนตรี อย่างงานฝ่าย Media tech ที่ต้องเซ็ตระบบ บางทีที่โรงเรียนจะมีตึกนึงที่เปิดให้คนที่อยากจัดงานมาเช่า hall ได้ มันจะเป็นห้องทานข้าวใหญ่ ๆ มีเวที โปรเจกเตอร์ อันนั้นจะใช้จัดงานทั้งของ Shoreline เอง และให้ข้างนอกสามารถมาเช่าได้ด้วย ก็จะมีจัดงานแต่ง จัดประชุม งานต่าง ๆ ฝ่ายมีเดียก็จะมีผมกับเพื่อนอีกคนเขาเป็น Sound engineer จะรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเสียง ส่วนผมไม่ได้รู้ลึกเท่า แต่จะคอยไปช่วย ถ้าวันไหนเพื่อนคนนี้ไม่มา ก็จะเป็นผมที่ไปช่วยตรงจุดนี้ครับ
ส่วน Guitar center คือผมรู้จักร้านนี้อยู่แล้ว มันเป็นร้านขายกีตาร์ที่มีสาขาเยอะ เทียบกับที่ไทยถ้าเป็นอาหารก็คือ Seven Eleven มันจะมีทุกที่ ทุกรัฐในอเมริกา แล้วพอดีเขาเปิดรับสมัครงาน ผมเลยไปสมัคร ซึ่งตอนแรกยื่นสมัครตำแหน่ง Sale ผมสมัครออนไลน์ไปก่อนทางเว็บไซต์เขา และก็เนียนไปซื้อของที่ร้านเขา ไปบ่อยจนเขาอาจจะจำหน้าได้บ้าง และก็มีความรู้เกี่ยวกับพวกอุปกรณ์ของเขาดี ตอนสมัครไปเขาก็รับไปพิจารณาก่อนยังไม่ได้ตอบรับอะไร แล้วตอนนั้น work permit ของผมมันยังไม่อนุมัติ แต่พอได้ work permit แล้ว เขาดันตอบรับตำแหน่ง Sale กับคนอื่นไปแล้ว ซึ่งตอนนั้นตำแหน่งครูเปิดพอดี เขาเลยถามผมว่าสนใจไหม เขาสามารถ refer ให้ได้ ก็ยังโชคดีที่เขายังชอบผมตอนสัมภาษณ์ตำแหน่ง Sale เลย refer ให้ผมครับ งานสอนผมสอนกีตาร์ สอนทั้งแบบพื้นฐานและแบบประยุกต์ นักเรียนผมบางคน เขามีแนวของตัวเองที่ชัดเจนอยู่แล้ว เลยมาปรึกษาว่าถ้าอยากเล่นอันนี้ควรทำยังไง หรือบางคนยังติดอยู่กับ skill ที่ระดับนึง แต่อยากมีความรู้และเก่งมากขึ้นก็มาเรียนครับ
เมืองที่ Seattle เป็นยังไงบ้าง หลังจากอยู่เมืองนี้แล้วคิดว่ามีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้างคะ?
ข้อเสียคือเป็นเมืองที่ฝนตกบ่อย เพราะค่อนข้างชื้น เป็นเมืองใหญ่ เมืองใหญ่ ๆ ของอเมริกาก็จะมีคนไร้บ้านบ้างเป็นปกติ โดยรวม Seattle เป็นเมืองที่เน้นเรื่อง IT กับ Technology มันมีบริษัท Amazon, Google, Microsoft อยู่ พวกระบบอะไรที่ต้องใช้ IT ที่นี่จะค่อนข้างดี เช่น ระบบรถประจำทาง ที่ต้องใช้บัตรจ่ายเงิน แล้วมันเป็นเมืองที่ติดทะเล จะมีหนาวบ้างร้อนบ้าง ถ้าอากาศที่ใกล้เคียงสุดน่าจะอารมณ์เมืองโตเกียวประเทศญี่ปุ่นครับ อย่างหน้าฝนก็จะฝนตกบ่อย มันจะชื้นนิดนึง แต่ข้อดีคือมันจะไม่มีไฟป่า ระบบขนส่งสาธารณะก็ค่อนข้างดีเลยครับ ในเมืองรถไฟ รถบัส ใช้บัตรเดียวกันหมด รถไม่ค่อยติดรถสาธารณะค่อนข้างเร็วครับ อาหารการกิน ร้านอาหารเอเชียหาง่ายมีทั่วไปเลยครับ โดยรวมมีความหลากหลาย คนเอเชียที่นี่ประมาณ 20% ได้ครับ ค่าครองชีพที่นี่อยู่ในระดับกลาง ๆ ไม่ถูกหรือแพงมากครับ ค่ากินอยู่ไม่แพงเท่าค่าเช่า ที่พักที่นี่เรทตอนนี้ประมาณ 800-900$ (ณ ปี 2025) ส่วนระบบสาธารณะสุขที่นี่เข้าถึงยากครับ ยอมรับและชื่นชมประเทศเราครับมันเข้าถึงง่ายมาก ทำประกันที่นี่แพง พยายามอย่าป่วยครับ แล้วก็คนส่วนใหญ่ที่นี่ชอบทำกิจกรรม outdoor ในสวนสาธารณะที่นี่ก็จะมี คอร์ดเทนนิส สนามบาสอยู่ด้วย แล้วด้วยความที่ที่นี่เป็นเมืองต้นกำเนิดของ Starbucks เลยทำให้อัตราการกินกาแฟของผู้คนที่นี่ค่อนข้างเยอะ
มีข้อคิด คำแนะนำอะไรเพิ่มเติมสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจอยากมาเรียนต่อหรือมาอยู่อเมริกาบ้างไหมคะ?
ไม่ต้องคาดหวังหรือคิดเยอะครับ อาจจะหวังได้ แต่ไม่ต้องขนาดแบบเราไม่ได้แล้วเราจะตาย ตอนเด็กผมเคยเป็นคนแบบนั้นนะครับ แต่พอเหมือนอายุเยอะขึ้น ผมค่อนข้างช่างมันกับอะไรหลาย ๆ อย่างแล้ว ก็แค่รู้สึกว่าบางทีเราก็ไม่ต้องคาดหวังมาก แค่ปล่อยไปตามเส้นทางของตัวเอง เดี๋ยวมันก็ไปเจออะไรอยู่ดีครับ