รีวิว เรียนหลักสูตร EAP ที่แคนาดา กับ University of Calgary
และต่อหลักสูตร UX กับ Humber College โดยคุณปุ๊ก
อะไรทำให้ตัดสินใจมาเรียนต่อที่แคนาดา?
ปุ๊กเคยไปเที่ยวแคนาดามาก่อนค่ะ ไปโทรอนโต มอนทริออล และควิเบก แล้วรู้สึกว่าเป็นประเทศที่โอเค ปลอดภัย และผู้คนเป็นมิตร แล้วตอนเรียนมหาลัย ครูเคยแนะนำมหาลัยศิลปะชื่อ OCAD เพราะปุ๊กเรียน Design มาค่ะ หลังจากจบมหาวิทยาลัยมาก็ทำงานอยู่ประมาณ 3 ปี แล้วมันเป็นช่วงโควิด ตอนแรกที่เรียนจบมาทำเป็น กราฟฟิกดีไซน์เนอร์ แล้วพอทำไปได้สักพักมันรู้สึกอิ่มตัว รู้สึกเหมือนว่าเราก็ไม่ได้อยากทำกราฟฟิกจ๋า ๆ แล้ว เพราะว่ามันไม่ค่อยเติบโต แล้วก็มีรุ่นพี่ลองให้ทำ UX ที่ไม่มีความรู้ด้านนี้เลย แต่ก็ชอบ เลยคิดว่าถ้าเราอยากทำด้านนี้จริงจัง เราควรจะต้องไปเรียน ตอนนั้นเลยเริ่มหาข้อมูลว่าจะไปเรียนที่ไหนดี แล้วก็มีแคนาดาเป็นตัวเลือกมาตลอด เพราะส่วนตัวรู้ตัวแน่ ๆ ว่าไม่ชอบอังกฤษ ไม่อยากไปประเทศในโซนนั้น แล้วก็ถ้าไปประเทศอื่น ๆ ในยุโรป เราก็ไม่อยากเรียนภาษาใหม่ แล้วก็ไม่ชอบอเมริกา ก็ตัดตัวเลือกออกไปเรื่อย ๆ และหลังจากนั้นก็ไปเจอ TIKTOK ของพี่กันต์ เห็นเขาพูดเกี่ยวกับ PGWP ก็เลยรู้สึกว่าน่าสนใจ เลยเลือกแคนาดาเป็นตัวเลือกแรกค่ะ
ทำไมถึงเลือกเรียน EAP (English for Academic Purposes) ที่ University of Calgary และคิดว่าหลักสูตรนี้เป็นยังไงบ้าง?
ปุ๊กอยากเรียนอะไรที่ค่อนข้างจริงจัง และอยากได้บรรยากาศการเรียนการสอนแบบในมหาวิทยาลัยอ่าค่ะ ไม่ได้อยากได้แค่ General English ทั่วไป จริง ๆ Humber college เขาก็มีคอร์สภาษาที่เป็น Pathway เหมือนกัน แต่ปุ๊กไปอ่านหลักสูตรแล้วไม่ค่อยถูกใจ แล้วเขารับคะแนน IELTS น่าจะ 5.5 หรือ 6 ประมาณนี้ แต่ปุ๊กได้คะแนน 6.5 เลยอยากหาที่ ๆ เขารับที่ 6.5 พอดีค่ะ และ EAP ที่ University of Calgary เขารับที่คะแนนเท่านี้พอดีค่ะ ปุ๊กก็เลยยื่นเข้าไป ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะหลักสูตรไม่ใช่แค่ General English ทั่วไป แต่เป็น Academic มากกว่า การบ้านเยอะมาก เขียน Writing จริงจัง ซึ่งเขาจะมี 3 วิชา Writing, Speaking และ Listening ค่ะ
วิชา Listening จะเป็น note taking จากเลคเชอร์ ส่วนใหญ่เขาจะให้ฟังเลคเชอร์ แล้วจดสรุป และสอนทริคในการจดสรุปเร็ว ๆ พวกคำย่อ หรือวิธีการวิเคราะห์สิ่งที่เราฟังให้เราเข้าใจมากขึ้น ส่วน Speaking เขาไม่ได้สอนแค่การพูดในชีวิตประจำวันนะคะ แต่สอน Presentation จริงจัง มีงานให้นำเสนอหน้าห้องอาทิตย์เว้นอาทิตย์เลยค่ะ ตอนสุดท้ายของบทนี้ เขาจะมีเป็น Round table ไม่ใช่แค่ให้พูดนำเสนอ แต่เขาก็สอนเรื่องแบบว่า ถ้าสมมติเราต้องไปพูดในการดีเบต หรือพูดในวงที่มันค่อนข้าง Academic เราจะมีวิธีการพูดรับ – ส่งคนอื่นยังไง ส่วน Writing จะมี 2 ส่วน คือ สอนเขียน Essay จริงจังเลย กับ อีกส่วนสอนไวยากรณ์ไปด้วย และสิ่งที่ปุ๊กชอบใน Writing คือ เขาสอนเขียน Reference APA แบบจริงจังมาก ให้ทำเป็นรายงานส่งเลย เขาจะให้เราฝึกอ่านงานวิจัยของคนอื่นที่มีอยู่จริงในอินเตอร์เน็ตไปด้วย ซึ่งปุ๊กชอบตอนที่เรียนที่นี่มากค่ะ บรรยากาศในห้องดี เพื่อนไม่ซ้ำชาติเลย ส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่นเกือบ 80% ห้องปุ๊กไม่มีคนไทยเลย จำนวนนักเรียนไม่เกิน 15 คนต่อห้อง ครูดีมาก ปุ๊กค่อนข้างประทับใจครู ตอนนี้ยังติดต่อส่งอีเมลหากันอยู่เลยค่ะ จำได้ว่า ครูคลาส Presentation เปิดมาวันแรก เขาถามเลยว่าเรามีอะไรที่อยากจะบอกเขาส่วนตัวไหมให้อีเมลไปหาเขาได้เลย เป็นเรื่องที่เขาควรจะรู้หรือระวัง พวกข้อจำกัดทางด้านร่างกาย เช่น เป็นคนสายตามองไม่ชัด ต้องนั่งใกล้ ๆ อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็บอกเขาได้เลย ส่วนของปุ๊ก เราบอกเขาว่า เราเป็นคนไม่ชอบพูดต่อหน้าคน แล้วมันเป็นคลาสพูด ปุ๊กบอกเขาว่าตัวเองน่าจะเรียนไม่ไหว อยากลงไปเรียนคลาส 6 แต่เขาก็บอกว่าเขารู้ว่าเราทำได้และช่วยผลักดันเรา แบบครั้งแรกที่เราต้องออกไปนำเสนอหน้าห้อง ต้องกำยาดมไว้อ่าค่ะ ไม่ชอบเลย แต่เหมือนเราต้องทำไปเรื่อย ๆ ฝึกบ่อย ๆ จนตอนนี้สามารถพูดต่อหน้าคนได้แล้ว
แล้วก็จะมีกิจกรรมให้เข้าร่วมทุกอาทิตย์ พาไปดู อเมริกันฟุตบอล เล่นสกี หรือ ไปทัศนศึกษาต่าง ๆ ราคาไม่แพงค่ะ ส่วนมหาลัยเอง Facility ค่อนข้างครบค่ะ มหาลัยใหญ่ มีฟิตเนสให้ใช้บริการ หน้าหนาวที่มหาลัยเขาจะมีลานสเก็ตให้ค่ะไม่มีค่าใช้จ่าย จ่ายแค่ค่าเช่ารองเท้าสเก็ต ส่วนปุ๊กชอบไปห้องสมุดเพราะ Facility ดี ถ้าเราสมัครบัตรสมาชิก สามารถปริ้นท์อะไรก็ได้ ในวงเงิน 25 CAD ปริ้นท์ครั้งนึงแค่ 10 cent เองค่ะเหมือนใช้ได้ไม่อั้นเลย
เมือง Calgary, Alberta เป็นยังไงบ้าง มีกิจกรรมที่เที่ยว การใช้ชีวิตยังไงบ้าง?
ระบบขนส่งในเมืองนี้มีแค่รถบัสกับรถไฟ จริง ๆ ควรมีรถส่วนตัว เมืองค่อนข้างเงียบ ถ้าเป็นคนติดเมืองไม่น่าเหมาะค่ะ ตอนแรกปุ๊กรู้สึกว่าเมืองเขาจืด 55555 แต่อยู่ไปก็ชอบค่ะ ธรรมชาติสวยมาก ตอนปุ๊กอยู่บนห้องสมุดในมหาลัย สามารถมองเห็นวิว Rocky Road ได้เลย ถ้าชอบธรรมชาติแนะนำมาก นั่งรถไป Banff แค่ 2 ชม. เองค่ะ ปุ๊กไปอยู่ 2 เดือน เที่ยว Banff ไป 3 ครั้ง ครั้งแรกไปช่วงกันยายน มันเป็นแดด ๆ อยู่ และไปอีกที คือช่วงหน้าหนาวเลย คุ้มมากค่ะ
แล้วก็ด้วยความที่เพื่อนในห้องมีหลายเชื้อชาติ และคนน้อย เลยสนิทกันมาก ทุกวันศุกร์จะนัดกันไปกินอาหารของคนในห้องแต่ละชาติ ผลัดกันไปเรื่อย ๆ อาหารเม็กซิกันบ้าง เวียดนามบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง เกาหลีบ้าง และก็ชอบไป Hiking กัน
ข้อเสียของเมืองนี้ ตอนที่ไปอยู่ 2 เดือน เป็น ช่วงหน้าหนาวพอดีค่ะ บ้านที่พักอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียน ตอนรอรถบัสช่วงหน้าหนาวบางทีมันจะมาช้า หรือไม่มาเลยก็มี แล้วจุดรถเป็นแค่เสาป้ายเลยค่ะ ไม่ได้มีที่บังอะไรเลยค่ะ ซึ่งหนาวมาก
ส่วน Host family เขาก็โอเคดีค่ะ พาไปนู่นไปนี่บ้าง ดูแลค่อนข้างดีค่ะ มีรูมเมทเป็นคนญี่ปุ่น ค่าโฮสท์รวมอาหารสามมื้อ เช้า กลางวัน เย็น ให้เรียบร้อยหมดแล้ว อาหารเช้าเป็นพวกอาหารเช้าฝรั่งปกติค่ะ ตอนกลางวันเขาจะเตรียมอาหารกลางวันให้เราไปกินที่มหาลัย
เมือง Toronto เป็นยังไง หลังจากอยู่แล้วเมืองนี้มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง?
เมืองเขาเป็นเมืองเลย ก่อนกับหลังโควิดต่างกันเลยค่ะ ตอนเรากลับมาจากเมือง คาลการี รู้สึกว่าโทรอนโตแออัดมาก แต่หน้าร้อนมีชีวิตชีวามาก ๆ ตอนนี้รู้สึกชอบมาก หน้าหนาวเหงามาก แต่การขนส่งดีกว่าคาลการี มีทั้งรถราง รถบัส รถไฟ และรถไฟมีหลายสายแต่เสียบ่อย ข้อดีของโทรอนโตคือ อาหารอร่อย หาอาหารและวัตถุดิบอาหารเอเชียได้ง่ายกว่าคาลการีเยอะเลยค่ะ มีอีเวนท์ให้ทำเยอะกว่า แต่ด้วยความเป็นเมืองใหญ่ ของก็จะแพงกว่า อันตรายกว่า คนไร้บ้านเยอะค่ะ คนไร้บ้านที่นี่อันตรายนะคะ แต่เขาไม่ได้มายุ่งกับเรา ถ้าเปรียบเทียบกับอเมริกา ที่แคนาดาเขาจะสุภาพกว่า ซึ่งปุ๊กเคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับคนไร้บ้านด้วย แต่ไม่ได้เจอบ่อยขนาดนั้นค่ะ
ทำไมเลือกเรียนหลักสูตร UX ที่ Humber college?
จริง ๆ คือเลือกหลายที่มากค่ะ แล้วนั่งเขียนเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละที่เลย สุดท้ายที่เลือก Humber เพราะไม่ไกลเมืองมาก และก็เลือกจากว่าที่ไหนมีวิชาที่ปุ๊กอยากเรียนมากที่สุด ซึ่งสิ่งสำคัญเลยที่นี่ คือ เราต้องทำ Co-op ซึ่งปุ๊กอยากได้ Canadian experience วิชาที่เรียน บางที่เขาไม่ได้เรียกว่า UX/UI นะคะ เขาจะเรียกว่า Interactive management แต่ว่าสิ่งที่เขาสอน อาจจะสอนตัดวีดีโอ ซึ่งเราไม่ได้อยากเรียนตรงนั้นแล้วเพราะเราผ่านมาหมดแล้ว เราอยากเจาะจง UX เลย ก็เลยมาจบที่คอร์ส UX ตอนนั้นที่เรียนเขามีเขียนบอกว่า จะมี Facility บางอย่างให้ แต่พอมาเรียนจริง ๆ ก็คือไม่มี
การเรียนการสอนในหลักสูตรนี้ได้เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้างคะ?
หลักสูตรนี้จะเน้นเรื่องการวิจัย เขาจะไม่มีการมาสอนแล้วว่า โปรแกรมทำ UI ทำยังไง คือเราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่เขาจะสอนวิธีการค้นคว้า ปุ๊กว่าสิ่งที่ปุ๊กได้จากที่นี่ไม่ใช่ว่าเรา “ทำยังไง” แต่คือการที่เรา “คิดว่า” เราจะทำยังไงมากกว่า เขาเพิ่มมุมมองให้ปุ๊กเกี่ยวกับว่าเราควรใส่ใจวิธีการมากกว่าผลลัพธ์ แล้วก็เขาเน้นเรื่องการวิจัย เพราะงั้นตัวผลลัพธ์ส่วนใหญ่ในช่วงเทอมแรก จะไม่ได้ออกมาเป็นแอปพลิเคชันเลย เขาจะสอนวิธีทำ Comparative analysis และมีงานกลุ่มค่อนข้างเยอะ ประมาณ 95%
หลังจากเรียนหลักสูตรนี้ แล้วเป็นยังไงบ้าง?
พอเรียนจริง ๆ ข้อเสียคือ 80% คือเรียนออนไลน์ ก็เลยมาปรึกษาพี่กันต์ และได้ข้อสรุปว่าปุ๊กจะย้ายไปเรียน Summer แทน เลยต้อง Drop ไว้ ก็เลยไปเรียน Short course รอ และก็กลับมาเรียนใหม่ตอน Summer และเขาก็เปลี่ยน Campus เป็น IGS อยู่ในเมือง ติด Subway เลยค่ะ เขาทำเจาะจงให้เฉพาะ International student เลย ในห้อง 90% เป็นคนอินเดีย จริง ๆ ชอบ North campus มากกว่าเพราะยังเจอแคนาเดียนบ้าง นอกจากเรื่องเพื่อนในห้องแล้ว สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง North campus กับ IGS คือ ครูผู้สอนเป็นคนละคน มีครูคนเดียวกันบ้างเป็นบางวิชา แต่ส่วนใหญ่แล้ว IGS จะใช้ครูพาร์ทไทม์ แต่สื่อการสอนเดียวกัน ส่วนตัวปุ๊กรู้สึกว่า ด้วยความที่ครูพาร์ทไทม์เขาไม่ได้เป็นคนออกแบบสื่อการสอนด้วยตัวเขาเอง เขาไม่ได้เข้าใจตัวคอร์สขนาดนั้น ปุ๊กเลยไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ค่ะ
เทอมแรกเขาจะปูพื้นฐานเช่น วิธีการทำวิจัย การค้นคว้ามีกี่วิธี เทอมสองจะเริ่มให้ออกไปสัมภาษณ์จริง เขียนรายงานจริง เทอมสามไม่มีเลคเชอร์แล้ว แต่จะให้ทำ Final project และก็ให้เข้าไปปรึกษาครูเป็นรายสัปดาห์ ที่นี่เขาจะเน้น Accessibilty และ Inclusive design ซึ่งเป็นการออกแบบที่สามารถเข้าถึง และสามารถรองรับการใช้งานโดยคนทุกกลุ่ม อย่างเช่น ผู้บกพร่องทางร่างกายก็สามารถใช้ได้ หรือ การทำแอปพลิเคชัน เราต้องใช้สีที่คนตาบอดสีสามารถใช้ได้ด้วย และก็อีกอย่างที่เขาเน้น คือ เรื่องจรรยาบรรณการทำวิจัยค่ะ จะออกใบรับรองให้เราเลยว่าได้ผ่านการอบรมและรับรองการทำวิจัยมาแล้ว ปุ๊กรู้สึกว่าได้ทำวิจัยมากกว่าได้ออกแบบอีกค่ะ ถ้าคนที่ชอบออกแบบเลยมาเรียนอาจจะไม่ชอบ
Humber college มีบริการอะไร Support นักเรียนบ้างคะ?
สำหรับ North campus ปุ๊กยังไม่ค่อยได้ใช้อะไรเท่าไหร่ เพราะอยู่แค่ 2 อาทิตย์ แต่ที่ IGS ดีมาก สำหรับ International เขาจะมีเป็น Portal เลยและจะมีแจ้งขึ้นมาเลย ถ้ามี Event อะไร เช่น Event การทำเรซูเม่ หรือ ทำ Student permit/Visa เราสามารถจองวันล่วงหน้าได้เลยค่ะ และในตึกมันเหมือนเป็นตึกสำนักงาน ของ Humber มี 3 ชั้น สภาพใหม่มาก จะมี Co-working space ให้นั่งทำงาน/ประชุมงานได้เลย ปุ๊กเคยนั่งไปจนถึง 4 ทุ่ม
อีกบริการนึงที่ปุ๊กอยากแนะนำมาก ๆ ของที่นี่ คือ Mentorship program ปุ๊กเข้าร่วมตอนอยู่เทอม 2 กับ 3 ซึ่งเขาจะหาคนข้างนอกที่อยู่ในสายงานเรามาเป็นเมนเทอร์ให้ ระยะเวลาประมาณ 1 เทอม พอดีเลยค่ะ เราสามารถนัดเจอเขาทุกสัปดาห์ก็ได้ หรือถ้าไม่มีอะไรจะปรึกษาแล้วก็สามารถตัดจบเลยก็ได้ จุดประสงค์ของเขา คือ ให้ปรึกษาเกี่ยวกับอาชีพ จริง ๆ ปุ๊กสมัครไปตั้งแต่เทอม 1 แต่เขาหาให้ไม่ได้ เพราะสาย UX ค่อนข้างใหม่มากสำหรับแคมปัสนี้ เลยได้เข้าตอนเทอม 2 ปุ๊กได้เมนเทอร์เป็นคนที่ทำ UX อยู่ที่ Canada Goose ร้านเสื้อกันหนาวของแคนาดา ปุ๊กอยากให้เขามาเป็นเมนเทอร์ช่วยทำ Portfolio ให้ เพราะเทอม 2 ปุ๊กต้องเตรียมพอร์ทและต้องเริ่มหาที่ฝึกงาน ส่วนเทอม 3 ต้องฝึกงานแล้วไม่งั้นปุ๊กจะเรียนไม่จบ ปุ๊กนัดเจอเมนเทอร์ทุกสัปดาห์ เขาจะมีบอกเลยว่า ภาพรวมโปรแกรมทั้งหมดเป็นยังไง ผลลัพธ์หลังจบโปรแกรมจะเป็นยังไง เขาอยากได้อะไรจากเรา ซึ่งเขาจะส่ง Tracking sheet มาให้ระบุว่าต้องทำอะไรบ้างในแต่ละสัปดาห์ และพอสัปดาห์สุดท้าย ก็จะให้เราประเมินตัวเองและเมนเทอร์ และได้อะไรบ้างจากโปรแกรมนี้ พอเทอม 3 ปุ๊กมี Portfolio แล้ว เมนเทอร์คนที่สองปุ๊กให้เขาช่วยซ้อมสัมภาษณ์งาน ด้วยความที่ตำแหน่งเขาคือ Senior UX บางทีเขาจะอยู่ในการสัมภาษณ์รับคนเข้าทำงานด้วย เขาจะดูออกว่าปุ๊กควรจะชูจุดเด่นปุ๊กยังไง เราคิดว่าเราเลือกเมนเทอร์ได้ถูกคนถูกเวลาและค่อนข้างใช้ส่วน support ที่ Humber มีให้ค่อนข้างคุ้ม
ที่ IGS campus จะไม่มีฟิตเนส เหมือน North campus แต่ถ้าใครอยากใช้ฟิตเนส สามารถเดินไปใช้ได้ที่ TMU มันไม่ไกลกันมากค่ะ และก็ไม่มี Wellness center แต่มีประกันให้ค่ะ ไม่มีห้องสมุด แต่ใกล้ ๆ campus มีห้องสมุดใหญ่เข้าไปใช้บริการได้เช่นกัน
หลังจากฝึก Co-op จบ เป็นยังไงบ้างคะ ?
สำหรับ โปรแกรม Co-op คนประสานงานไม่ดีเลย สื่อสารไม่ดี ไม่ช่วยแก้ปัญหา หาที่ฝึกงานกันไม่ได้ คลาสปุ๊กกว่าจะหาได้ คือ 1 สัปดาห์ก่อนเรียนจบ รวมถึงปุ๊กด้วย ซึ่งสิ่งที่ปุ๊กอยากให้เขาทำตั้งแต่เทอม 1 เลย คือ บอกเราว่าเราควรทำพอร์ทเสร็จเมื่อไหร่ และควรจะเริ่มหางานตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่นี่ไม่เหมือนที่ไทย ที่เราจะยื่นสมัครงานตอนไหนก็ได้ ที่นี่เขาจะมี Season ของเขา ถ้าสมมติเราอยากทำช่วง Fall เราต้องเริ่มหางานตั้งแต่ Summer ถ้าเราอยากทำช่วง Winter เราต้องทำพอร์ทให้เสร็จตั้งแต่ Summer และเราเริ่มสมัครช่วง Fall ซึ่งการแข่งขันที่นี่สูงมาก แม้ว่าจะเป็นแค่ฝึกงานก็ตาม และมันจะมีทั้งฝึกงานได้ค่าตอบแทนกับไม่ได้ค่าตอบแทน บริษัทใหญ่ ๆ จะจ่ายค่าจ้างแต่การแข่งขันสูงมาก ส่วนที่ที่ไม่จ่ายค่าจ้าง ก็ไม่ค่อยมีใครอยากทำแต่การแข่งขันก็ยังสูงอยู่ดี
ส่วนปุ๊ก ทำเป็นอาสาสมัครให้ Non-profit organization เกี่ยวกับ LGBTQ ด้วยความที่เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ คนในนั้นก็จะมาทำหรือไม่ทำก็ได้ ซึ่งปุ๊กเหมือนทำงานอยู่คนเดียว ไม่มี Senior UX มาคอยแนะนำ หรือประเมินงานเรา เพื่อนปุ๊กส่วนใหญ่ที่ทำ Co-op น้อยคนมากที่ได้ทำ Co-op ในบริษัทจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นอาสาสมัคร หรือฝึกงานแบบไม่ได้รับค่าตอบแทนค่ะ จริง ๆ โรงเรียนมีช่วยหางานคล้าย ๆ เป็น แพลตฟอร์มที่คนนอกมาโพสท์ประกาศรับสมัครงาน แต่เพิ่งมีตอนหลังแล้ว ปุ๊กเลยไม่ได้ใช้ ซึ่งจะโอเคถ้าเขามีให้ปุ๊กเร็วกว่านี้
ช่วยแชร์ประสบการณ์การหางานและการทำงานที่โทรอนโตได้ไหมคะ?
ปุ๊กทำงานร้านอาหารไทยค่ะ ทำ 2 ชิฟ/สัปดาห์ ตอนหางานหาจากคนรู้จักเลย เร็วสุดก็ต้องหาจากคนรู้จักเท่านั้นค่ะ และก็ในเฟสบุ๊คคนไทยในโทรอนโต จะมีคนมาโพสต์หาคนอยู่เรื่อย ๆ ค่ะ อีกอย่างนึงนอกจากเป็น Volunteer ทำ UX ปุ๊กมีทำ Volunteer Event ด้วย อย่างเขามี Jazz Festival ปุ๊กก็ไปช่วยค่ะ มันช่วยเราในเรื่องของ Soft skill เช่น เวลาที่เราเจอคนเยอะ ๆ จะมีวิธีเข้าหาคนอื่นยังไง แล้วก็อยากบอกว่า Networking ที่นี่สำคัญมาก ๆ คือที่ไทย connection ก็สำคัญ แต่เราก็ต้องจบที่การสัมภาษณ์อยู่ดี อยู่ที่ว่าเราจะนำเสนอตัวเราตอนสัมภาษณ์งานยังไง แต่ที่นี่เวลาเราได้คุยกับสักคนแล้วเราคลิ๊ก บางทีเขาอาจจะสามารถเป็น Fast pass ให้เราได้เลย แบบเราต้องนำเสนอตัวเราตั้งแต่ก่อนที่จะสัมภาษณ์งานด้วยซ้ำ ซึ่งช่วงหน้าร้อน จะมีจัดงานอีเวนท์เยอะมาก มันจะเป็น เว็บไซต์ LUMA NETWORKING EVENT ที่ให้คนมาโพสต์จัดอีเวนต์นัดพบกันตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งปุ๊กรู้สึกว่าการไปเข้าร่วมอะไรแบบนี้ มันช่วยให้เราได้ทักษะบางอย่างจากคนร่วมอื่นรอบตัวทุกครั้งที่เราไป เช่น ตอนไปครั้งแรก คือปุ๊กไม่ค่อยชอบคุยกับคนแปลกหน้าเท่าไหร่ แต่พอไปมาแล้วมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละครั้ง เวลาไปเขาจะจับกันเป็นกลุ่มอยู่แล้ว แล้วคนก็จะเดินเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ครั้งแรกที่ไปจะมีคนนึง เขาจะคอยพูดสรุปสิ่งที่คนอื่น ๆ พูดจบไปแล้วให้กับคนที่เข้ามาใหม่ฟัง แล้วกลายเป็นว่าคนอื่น ๆ อยากคุยกับเขา เราก็เลยได้เห็นทักษะอะไรใหม่ ๆ ของคนอื่น ๆ ที่ได้จากการเข้าร่วมอีเวนท์เหล่านี้ ซึ่งดีกว่าเราอยู่บ้านเฉย ๆ
หลังจากเรียนจบมีวางแผนไว้ยังไงบ้าง?
มีแผนว่าจะหา Full-time ด้าน UX ทำค่ะ เพราะปุ๊กได้ PGWP หลังเรียนจบ 1 ปี ก็จะพยายามหาค่ะ ซึ่งก็ไม่ได้หวัง Full-time มากขนาดนั้น เพราะมันหาค่อนข้างยาก เลยเบนความสนใจมาที่ Paid-internship มากกว่าค่ะ
มีวิธีการหาที่พักที่แคนาดาอย่างไรคะ?
ตอนนั้นที่หาที่พักที่โทรอนโต ปุ๊กได้ contact คนไทยที่เป็นนายหน้าอสังหาฯ อยู่ที่นี่ มาจากในกรุ๊ปค่ะ เขาเลยช่วยหาและติดต่อกับ landlord ให้ ที่พักเป็นคอนโด เรท 2 ห้องนอน/เดือน ประมาณ 2,800 CAD หารครึ่งกับรูมเมท แต่ตอนนี้ย้ายมาที่ใหม่แล้ว เรทอยู่ที่ 2,400 CAD รวมค่าน้ำค่าไฟเรียบร้อยค่ะ
มีข้อคิด คำแนะนำอะไรสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจอยากมาเรียนต่อหรือมาอยู่แคนาดาบ้างไหม?
แนะนำสำหรับคนที่สนใจ UX ก่อนมาอยากให้มี Portfolio มาอยู่แล้ว เราจะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำตอนเรียน ข้อสองถ้าตอนมาที่นี่ลองทำเป็น volunteer เลยก็ได้ค่ะ อย่างน้อยเราจะมี Canadian experience ไว้ใส่ในเรซูเม่ ข้อสามใช้ Facility ของ Humber ให้คุ้ม แนะนำ Mentorship Program มาก ๆ ข้อสี่อากาศมันหนาวมาก อยากให้ทำใจ พอหนาวแล้วมันทำให้เป็นซึมเศร้าได้ค่ะ ปุ๊กไม่เคยเป็น Homesick มาก่อนเลยค่ะ จนกระทั่งมาเจอหน้าหนาวที่นี่
รีวิวก้อปันกันให้ฟังได้ไหมคะ อะไรทำให้เลือกใช้บริการของก้อปันกัน?
ตอนแรกไม่มั่นใจเลยว่า เราคิดถูกรึเปล่า เพราะตอนแรกที่มาไม่ค่อยมีรีวิว ปุ๊กติดต่อไปตั้งแต่ปี 2021 แต่ปุ๊กรู้สึกว่าก้อปันกัน ไม่ทิ้งเราจริง ๆ พี่กันต์มาเยี่ยมที่โทรอนโตทุกปี ตอนที่ปุ๊กมีเรื่องต้องย้ายแคมปัส ปุ๊กโทรหาพี่กันต์เลยค่ะ พี่กันต์ก็เข้าใจเรา และเหมือนเขามองในมุมนักเรียนมาก ๆ ว่าเราเจออะไรอยู่ และด้วยความที่เวลาไทยกับแคนาดามันไม่ตรงกัน และค่อนข้างกระชั้นชิดในเรื่องการตัดสินใจ ต้องเร็ว พี่กันต์ก็คอยตามเรื่องให้อยู่เรื่อย ๆ รู้สึกว่าเวลาเราถามอะไรก้อปันกันไปแล้วเราได้คำตอบ มันทำให้เราสบายใจ ปุ๊กว่ามันสำคัญมากสำหรับคนที่มาอยู่ต่างประเทศ อีกอย่างรู้สึกว่าก้อปันกันสร้าง Community ระหว่างเด็กในเมืองได้ค่อนข้างดี อย่างที่พักใหม่ปุ๊กก็ได้จากน้องที่รู้จักในก้อปันกันค่ะ อีกอย่าง ชอบตัว portal มาก รู้สึกว่าช่วยให้ process ง่ายขึ้น รู้ว่าทาง KPG ทำอะไรถึงไหนแล้วบ้าง ช่วยตัวปุ๊กเองด้วย บางทีก็มีกลับมาหาเอกสาร ใน portal นะคะ