[รีวิว] เรียนหลักสูตร Visual and Digital Arts ที่แคนาดา กับสถาบัน Humber college โดยคุณแบม

รีวิว เรียนหลักสูตร Visual and Digital Arts ที่แคนาดา
กับสถาบัน Humber College โดยคุณแบม

อะไรทำให้ตัดสินใจมาเรียนต่อที่แคนาดา?

เอาตรง ๆ เหมือนหนูดูก่อนว่าเราอยากเรียนเกี่ยวกับอะไร แล้วค่อยมาดูว่ามหาวิทยาลัยไหนเปิดบ้าง และมันอยู่ในเมืองไหน พอดีมันอยู่ที่โทรอนโต เราก็เลยมาเรียนที่นี่ค่ะ

ทำไมถึงเลือกเรียน Visual and Digital Arts ที่ Humber College?

จริง ๆ ตอนอยู่ไทย หนูจบทางด้านที่ใกล้เคียงกัน คือ ICT ศิลปากรค่ะ ตัวหลักสูตรที่เรียนเป็นนิเทศศาสตร์ แล้วก็สนใจงานที่เกี่ยวกับดิจิทัลด้วย เลยมาดูว่าที่ไหนเปิดสอนแล้ว Humber มีก็เลยมาลงเรียนที่นี่ค่ะ

เราจำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านศิลปะมาก่อนไหมคะ ถึงจะสามารถเข้าเรียนหลักสูตรนี้ได้ ?

ไม่มีกำหนดเลยค่ะ ว่าเราต้องมีพื้นฐานด้านศิลปะมาก่อน ถ้าของเด็กต่างชาติที่เขาพิจารณาอันดับแรกคือคะแนนภาษาอังกฤษค่ะ เหมือนเขาน่าจะเอามาพิจารณาก่อนว่าถ้าเข้ามาในหลักสูตรที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักภาษาเดียวแล้วเราจะเข้าใจไหม เราจะอยู่กับเพื่อน ๆ ที่เป็นต่างชาติและนักเรียนในพื้นที่เขาได้ไหม เขายินดีรับทั้งนักเรียนที่ทั้งมีและไม่มีประสบการณ์มาเรียนด้วยกันหมดเลย ในเทอมแรกเขาเริ่มอะไรที่เป็นพื้นฐานเลยจริง ๆ เริ่มลากเส้นตรง เส้นเฉียง เส้นทแยง วงกลม วงรีเลย ใครพอมีพื้นฐานมาแล้วก็ดีเลยค่ะ แต่ถ้าไม่มีมาเลยก็ไม่เป็นไร แต่แค่อาจจะต้องตั้งใจนิดนึง มันจะมีที่ต้องวาดกับโมเดลจริงถ้ามือใหม่หนูว่าอาจจะงง ๆ ช่วงแรกนิดหน่อย แต่ถ้าเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ มาจะค่อย ๆ ชินขึ้นเองค่ะ ส่วนตัวหนูชอบวาดรูปเล่นตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ก็เลยพอจะวาดพวก figure ได้ และทำอะไรแบบนี้เป็นค่ะ แต่ก่อนที่จะมาแคนาดา เคยไปทำงานที่มันเป็นเหมือน Art market ทำพวกสติ๊กเกอร์ของจุ๊กจิ๊กอะไรประมาณนั้น

การเรียนการสอนในหลักสูตรนี้ได้เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้างคะ?

หลักสูตรนี้จะเริ่มจากพื้นฐานการวาดรูปเลยค่ะ เวลาวาดรูปด้วยดินสอกับกระดาษมันต้องวาดยังไง เราต้องวาดวัตถุยังไง แสงตกกระทบยังไง แล้วค่อยไต่ขึ้นมาทีละขั้น เป็น figure คน เป็นสิ่งของ เหมือนมี adapt กับงานดิจิทัลด้วยว่าสมมติเราลงสีบนผืนผ้าใบไปแล้ว แล้วถ้าเราทำเป็นดิจิทัลมันจะเป็นยังไง คือเหมือนโปรแกรมมันจะสอนควบคู่กันทั้ง Traditional และ Digital ไปด้วยกัน

หลังจากเรียนหลักสูตรนี้ แล้วเป็นยังไงบ้าง?

ส่วนตัวหนูมีความสุขมากนะคะ กับตัวหลักสูตรนี้ เพราะว่าเราได้เรียนสิ่งที่เราอยากเรียน เราอยากทำ และเราก็ชอบด้วย แล้วก็ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ผู้คนมีความสนใจที่คล้ายกัน หนูรู้สึกว่ามันเป็นเหมือน energy ที่ดีค่ะ ทั้งเพื่อน ๆ และอาจารย์ที่คอยให้ความช่วยเหลือนักเรียนดีค่ะ แล้วเวลาทำงานส่วนใหญ่จะเป็นงานเดี่ยวค่ะ หลักสูตรนี้สิ่งที่เขาพยายามดึงศักยภาพของนักเรียนให้ได้มากที่สุด คือการให้หาตัวเองให้ได้ว่าเราจะไปทางไหน เพราะฉะนั้นงานส่วนใหญ่ที่ให้ทำจะเป็นงานเดี่ยว เพื่อดูเด็กแต่ละคนเลยว่าคนนี้ทำแบบนี้ ลักษณะงานเป็นแบบนี้ เขาจะได้มาจี้ถูกว่าต้องทำยังไง และช่วยดูรวม ๆ ว่าชอบทางไหน ควรจะไปทางไหนค่ะ

เพื่อน ๆ ในห้องคละกันหมดเลย มีทั้งเพื่อนที่เป็นนักเรียนต่างชาติและนักเรียนที่นี่ ส่วนอาจารย์ก็น่ารักค่ะ ให้อิสระกับนักเรียน เขามองว่าการทำงานแนวนี้ถ้าไปจำกัดอะไรมาก จินตนาการมันอาจจะไม่เกิด ก็เลยปล่อยฟรีเลยค่ะ

ส่วนตัว campus ที่หนูเรียน จริง ๆ มันอยู่ตรง Lakeshore แต่ว่า เฉพาะหลักสูตรที่หนูเรียนคือ Visual and Digital Art กับ Foundation Art ที่ได้มาเรียนตึกจิ๋ว ๆ ที่แยกออกมาจากคณะอื่นเขาค่ะ ตึกนี้จะมีห้อง Studio ให้ อย่างแบบหนูมีเรียนที่ต้องวาดรูปแคนวาส เขาก็จะมีห้องที่เราสามารถเลอะได้เต็มที่เลย เป็นเหมือนฐานตั้งที่วางแคนวาสแล้วก็วาด แล้วก็ห้องนี้จะมีไฟ อุปกรณ์ถ่ายรูปให้ เราสามารถติดต่อขอยืมอาจารย์ได้ จะมีฉากเขียว ฉากดำ ต่าง ๆ สำหรับคลาสเรียน Photograph แล้วก็จะมีห้องให้ทำงาน ห้อง Drawing ใครมีงานที่ต้องเอามาทำ ก็สามารถเข้าตึกมาใช้สถานที่ได้เลยทุกวัน ช่วง 7 โมงเช้า ถึง 5 ทุ่มค่ะ

Humber College มีบริการอะไร Support นักเรียนบ้างคะ?

เขาจะมีหลายด้านเลยค่ะ จะมีด้าน Healthcare ในส่วนนี้จะมีปรึกษาด้าน Mental health ด้วย เราสามารถไปปรึกษาเขาได้ และมีส่วนที่คอย support ปัญหาต่าง ๆ ที่นักเรียนอาจจะเจอ เช่น ปัญหาการลงทะเบียน การจ่ายค่าเทอม พวกปัญหาตอนเรียนต่อ การต่อ Permit/Visa เขาจะมีอีเวนท์ คล้ายสัมมนาเกี่ยวกับพวก internship ต่าง ๆ จัดเกือบทุกสัปดาห์เลย ถ้าเราสนใจก็เข้าร่วมได้ค่ะ และหนูว่าสิ่งที่น่าจะมีทุก college อยู่แล้ว คือ Health insurance หนูไปฉีดวัคซีนของที่นี่มา 4 เข็มแล้วค่ะ ตัวไข้หวัดใหญ่ฉีดฟรีเลย แต่ HPV จากราคาปกติ 200 CAD ลดลงมาเหลือแค่ 40 CAD เองค่ะ

เมือง Toronto เป็นยังไง หลังจากอยู่แล้วเมืองนี้มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง?

จริง ๆ ถ้าเปรียบเทียบกับไทยนะคะ มันมีความคล้าย ๆ กับอยู่กรุงเทพเหมือนกัน มีความเป็นเมือง แต่เป็นเมืองที่ปิดไวกว่ากรุงเทพ จะไม่มีตลาดกลางคืน สามสี่ทุ่มเขาก็ปิดบ้านนอนกันหมดแล้ว คือถ้าตามสถานที่กลางคืนมันก็คงจะมีเปิด แต่อย่างที่ไทย บางทีเราจะเห็นความสว่างถ้าเราไปโซนตลาดกลางคืน แต่ที่นี่หนูไม่เห็น ถ้ามันไม่ใช่ช่วงเทศกาล

หนูว่าข้อดีของที่นี่ คือเป็นเมืองใหญ่ มีตัวเลือกงานให้เลือกทำเยอะ แต่ข้อเสีย คือระบบขนส่งสาธารณะเขาค่อนข้างแน่นช่วงคนเข้างานออกงาน แล้วก็เรื่องของคนไร้บ้าน ที่มีเยอะและค่อนข้างน่ากลัว แล้วหนูดันมีประสบการณ์เจอกับตัวเอง เจอคนเดินตาม แต่เจอตรง subway พอดี เลยเรียกเจ้าหน้าที่ให้ช่วย เขาเลยเข้าชาร์จให้ และหนูก็เดินออกมา

ส่วนพวกกิจกรรมในเมือง ผู้คนก็จะเดินเล่นสวนสาธารณะ หรือเดินตามห้างสรรพสินค้า อย่างของพวกหนู พอไปเดินเล่นกันเสร็จก็จะไปนั่งเล่นต่อที่บ้านเพื่อน ส่วนพวกลานกิจกรรมต่าง ๆ บางทีก็มีคอนเสิร์ตย่อม ๆ มีม้าหมุน ส่วนใหญ่หนูจะเดินเล่นชมเมือง หนูว่าที่นี่มันเป็นบรรยากาศที่น่ารัก ตอนที่เขาเดินจูงสุนัขกันเข้ามาแล้วเขาจะปล่อยให้สุนัขมันเล่นกันในลาน บางทีเขาก็ไม่รู้จักกันนะ แต่พอสุนัขเขามาดม ๆ กัน เขาเลยคุยกัน มันก็เป็นภาพที่น่ารักดีค่ะ เหมือนคนรักสัตว์อยู่ด้วยกัน 

ช่วยแชร์ประสบการณ์การหางานและการทำงานที่โทรอนโตได้ไหมคะ?

หลัก ๆ หนูว่ามันมี 3 วิธีค่ะ แบบแรกคือ หาทาง Indeed.com มันอารมณ์เหมือนเว็บบอร์ดหางาน เขาจะมีแจ้งหน้า Feed ว่าที่ไหนเปิดรับสมัครอยู่ เราสามารถใช้ Keyword ค้นหาดูได้ว่าอยากได้งานประเภทไหน แล้วถ้าเรามองว่าเราน่าจะผ่าน Requirement เขาอยู่แล้ว ก็สามารถส่งเรซูเม่ออนไลน์ หรืออัปโหลดเรซูเม่ เป็นไฟล์ PDF แล้วส่งไปก็ได้ อย่างที่สอง Walk-in ตามร้าน แล้วยื่นเรซูเม่ที่ปริ้นท์มาให้กับพนักงานหรือเจ้าของร้านไว้ เผื่อวันไหนเขาต้องการคน จะได้สามารถติดต่อเราได้ อย่างที่สาม อันนี้อาจจะต้องสร้าง community เล็ก ๆ ของเรา หรือจริง ๆ ที่นี่ กลุ่มคนไทยในแคนาดาก็เยอะนะคะ เราอาจจะไปเจอกันแล้วก็ทำความรู้จักกันไว้อ่าค่ะ บางทีกลุ่มคนเหล่านี้ เขาทำงานที่ไหน แล้ววันนึงอาจจะมีคนลาออก หรือย้ายงาน เขาอาจจะมาทักถามเราและอาจจะได้งานก็ได้ค่ะ 

ส่วนตัวคิดว่าการหางานที่โทรอนโตยากไหมคะ ?

ส่วนตัวคิดว่ายากอยู่ค่ะ คือจริง ๆ นักเรียนต่างชาติก็เข้ามาค่อนข้างเยอะ ทุกคนที่เข้ามาเขาก็ต้องหางานทำด้วยค่ะ เพราะว่าค่าเงินแต่ละประเทศก็ต่างกัน แล้วที่นี่ค่าเงินสูง บางทีถ้าเรารอแค่เงินจากประเทศเราอาจจะไม่พอใช้ ทุกคนเลยต้องหางานทำ แล้วพวกงานตำแหน่งที่เคยว่าง ๆ ก็เริ่มมีน้อยลงทุกปี

มีวิธีการหาที่พักที่แคนาดาอย่างไรคะ?

หนูหาผ่านแอปพลิเคชัน KIJIJI อารมณ์แบบเป็นที่ที่เราสามารถปล่อยของต่อทางออนไลน์ได้ พวกของมือสองที่ใช้แล้วก็นำมาขายได้ คนค่อนข้างใช้งานเยอะ ก็จะมี Landlord มาประกาศหาคนเช่าบ้าน เราก็คอยทักไปถามเขา และขอดูบ้านค่ะ หนูก็ได้ที่พักจาก KIJIJI เลยค่ะ แต่ก็ต้องระวังพวก Scammer เหมือนกันค่ะ มีอยู่ทุกแพลทฟอร์ม หรือหาผ่าน Facebook marketplace ก็ได้ เพื่อน ๆ ก็ได้ที่พักจาก Facebook เยอะอยู่ค่ะ

อย่างที่พักของหนูอยู่เป็น Shared house แต่แยก ห้อง Private room ได้ที่พักที่นี่ก่อนเริ่มเรียนที่ Humber คิดเรทเดือนละ 800 รวม น้ำ ไฟ อินเตอร์เน็ตหมดแล้วค่ะ ส่วนค่าใช้จ่ายการกินอยู่เท่าที่เห็นจากตัวเอง เพื่อน ๆ คนรอบตัว ประมาณ 600 – 1000 CAD ต่อเดือน

มีข้อคิด คำแนะนำอะไรสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจอยากมาเรียนต่อหรือมาอยู่แคนาดาบ้างไหม?

ส่วนตัวคิดว่า ถ้าโอกาสมาถึงแล้วตัวเองไม่ได้ติดอะไร มาก็ดีนะคะ เหมือนมาลองเปิดหูเปิดตา เราจะได้รู้ว่านอกประเทศของเรา เขาใช้ชีวิตกันยังไงบ้าง เราจะได้รู้จักกับวัฒนธรรมใหม่ ๆ การทำงาน การเรียน สมมติถ้าเราชอบ เราจะเดินหน้าไปยังไงต่อ หรือถึงแม้ว่าถ้าสุดท้ายเราไม่ชอบ แต่เราก็ยังได้สิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์กลับไปอยู่ดีค่ะ 

รีวิวก้อปันกันให้ฟังได้ไหมคะ อะไรทำให้เลือกใช้บริการของก้อปันกัน?

ตอนนั้นหนูเริ่มเล็งแล้วว่าหนูอยากมาต่อแคนาดา ทีนี้เลยดูว่ามีเอเจนซี่ไหนบ้างที่รับเด็กมาแคนาดา จริง ๆ มันก็จะมี 3-4 ที่ ที่คนพูดถึงกันเยอะ หนูเลยลองทักไปก็รู้สึกถูกโฉลกกับที่นี่ แล้วพอเริ่มคุยเยอะขึ้น ก็รู้สึกว่าก้อปันกัน เขาจัดเป็นระบบดีค่ะ อย่างตัว portal ก็ขึ้นอัปเดตให้ตลอด ถึงมาอยู่ที่นี่ หนูถามอะไรไป พี่เขาก็มาตอบให้ตลอดค่ะ

อ่านเกี่ยวกับ Humber College – คลิก

Photo Credits : แบม

JOIN OUR UPCOMING EVENTS

รับชมกิจกรรมทั้งหมด

ติดต่อขอรับคำปรึกษา

 

เรียนต่อแคนาดา อเมริกา

Line : @korpungun

เรียนภาษาที่ฟิลิปปินส์

Line : @kpglearn

คอร์สออนไลน์ KPG LIVE

Line : @kpglive

TEL: 094-883-8778