รีวิว เรียนหลักสูตร 2+2 University Transfer ที่อเมริกา
กับสถาบัน Shoreline Community College โดยคุณภีม
ทราบมาว่าเคยเรียนที่ญี่ปุ่นมาก่อน ทำไมตัดสินใจมาเรียนต่ออเมริกาแทน?
ตอนนั้นผมอยู่ญี่ปุ่น แล้วมีรุ่นพี่ที่อยู่ที่นั่นเป็นคนไทย เขาบอกว่าการสอบเข้าที่ญี่ปุ่นโหดมาก เขาแนะนำให้มาเรียนต่อที่อเมริกา คือที่ Shoreline Community College เขาเคยเรียนที่ Shoreline มาก่อน เรียนประมาณ 1 quarter ทางออนไลน์ เขาบอกว่ามันดี เลยแนะนำผมมา ผมก็เลยมาเรียนต่อที่นี่ครับ
ช่วยเปรียบเทียบการศึกษาญี่ปุ่นกับอเมริกามีความแตกต่างกันยังไง?
ส่วนตัวผมคิดว่าญี่ปุ่นเขาจะเน้นปริมาณ งานที่ทำจะใช้เวลาไม่นาน พอทำเสร็จก็ทำงานอื่นต่อ แบบนี้วนไปเรื่อย ๆ ครับ แต่ส่วนอเมริกา เขาจะเน้นคุณภาพครับ สมมติเขาสั่งงานคุณงานเดียว เขาจะให้เวลาทำงานนี้ไปเลย 1-2 สัปดาห์ ให้คุณไปใช้เวลากับงานนี้เต็มที่ เอาจนจุกเลยครับ ไม่เน้นหลายงานครับ ส่วนครูผู้สอนผมว่าของญี่ปุ่น ครูจะค่อนข้างตามงานครับ คุณต้องทำอันนี้แบบนี้คล้าย ๆ ครูที่ไทยเลยครับ แต่ของอเมริกา เขาจะให้คุณไปหาอ่านเอง แล้วอีก 1 สัปดาห์มาเจอกัน ค่อนข้างปล่อย ไม่ค่อยจุกจิกกับเราขนาดนั้น ส่วนสังคมเพื่อนที่ญี่ปุ่น ประมาณ 95% ที่โรงเรียนเป็นคนจีน 4% เป็นคนเวียดนาม ส่วนอีก 1% ที่เหลือเป็นคนชาติอื่นครับ คนจีนเยอะครับ เพราะญี่ปุ่นเขาก็ใช้อักษรจีน เหมือนคนจีนเขารู้ตัวอักษรญี่ปุ่นอยู่แล้ว 50% คือเขาเข้าใจความหมาย แต่อ่านออกเสียงแบบญี่ปุ่นไม่ได้ เขาเลยมาฝึกทักษะการพูด การฟังครับ ส่วนอเมริกาความหลากหลายค่อนข้างเยอะเลยครับ วันแรกที่มาเจอคนไทย ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน อาหรับ เกาหลี จีน อเมริกัน เยอะเลยครับ
หลังจากได้สัมผัสทั้งสองระบบการศึกษา ส่วนตัวชอบที่ไหนมากกว่ากันคะ?
ส่วนตัวผมค่อนข้างชอบอเมริกาครับ ญี่ปุ่นมันกดดันครับ ความหลากหลายมันไม่ค่อยมี รู้สึกว่าไปไหนมาไหนเจอแต่คนจีน อันนี้ไม่ได้เหยียดนะครับ แต่ที่อเมริกาความหลากหลายเยอะกว่า เลยชอบที่อเมริกาครับ เพราะพอความหลากหลายมันมากกว่า ก็จะสามารถเข้าหาผู้คนได้มากกว่าครับ อย่างตอนอยู่ญี่ปุ่น เจอแต่เพื่อนพูดจีนกัน แต่อยู่ที่อเมริกาเขายังใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกันครับ
อยากให้ช่วยแชร์ประสบการณ์การทำงานกับฝ่ายนักศึกษาต่างชาติค่ะ
แผนกที่ผมทำอยู่ เป็นแผนกที่คอยให้ความช่วยเหลือแก่นักเรียนต่างชาติ เวลามีปัญหาเรื่องวีซ่า F1 เรื่องต่ออายุ การออกจากประเทศแล้วต้องกลับเข้ามา แผนกนี้จะคอยออกเอกสารที่ต้องใช้ให้ครับ ส่วนเรื่องเรียนต่อ ก็จะมี advisor สำหรับนักเรียนที่เรียนต่อจะมี advisor คอยแนะนำว่า ควรลงคอร์สไหน วิชาไหน สมมติถ้าจะลงตัวนี้ เราต้องเรียนตัวไหนให้ผ่านก่อนถึงจะลงได้ advisor จะคอยช่วยแนะนำให้ ซึ่งเรียนต่อของที่นี่ส่วนใหญ่ เขาจะ transfer เข้ามหาวิทยาลัยกัน และก็ช่วยเหลือด้านอื่น ๆ ทั่วไป อย่างการจ่ายค่าเทอม network account ของนักเรียนมีปัญหาเข้าไม่ได้ หรืออยากนั่งคุยปรึกษาทั่วไปก็มีครับ
อะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณภีมอยากเข้ามาทำงานกับฝ่ายนักศึกษาต่างชาติ?
ง่าย ๆ เลยครับ เพื่อนครับ พอดีผมมีเพื่อนคนไทยเขาทำงานตำแหน่งนี้มาก่อน เขาเลยถามผมว่าสนใจทำงานนี้ไหม ผมก็สนใจเลยสมัครเข้ามาทำงานนี้ครับ
ถ้ามีคนอยากทำตำแหน่งนี้ แล้วเขาสมัครเข้ามา จะได้ทำงานนี้ทุกคนไหม?
ไม่ทุกคนครับ ตำแหน่งนี้มันจะเปิดรับสมัครทุกฤดูใบไม้ผลิครับ พอนักเรียนส่งใบสมัครมา เขาจะคัดเลือกนักเรียนให้เข้ามาทำ workshop ครั้งที่ 1 จะมีแบ่งกลุ่มให้ทำกิจกรรมร่วมกัน หากผ่าน workshop ครั้ง 1 แล้วก็จะมี workshop ครั้งที่ 2 ที่จะได้ทดสอบ team work กับพวก brainstorm ใครผ่านเข้ารอบจะโดนเรียกมาสัมภาษณ์รายคน และประกาศอีกทีว่าใครจะได้มารับช่วงต่อจากทีมของปีที่แล้ว ทุกอย่างคือเป็นหน้าที่นักเรียนจัดการกันเอง โดยมี Supervisor หนึ่งคนมาคอยกำกับดูแลนักเรียนอีกที เขาจะคอยจัดการเรื่องที่นักเรียนทำไม่ได้ คอยหาของที่ต้องเตรียมจัดงานอีเวนท์ และดูแลเรื่องที่ค่อนข้างเป็นความลับอย่างพวกข้อมูลนักเรียนหรือการเงิน อย่างงานผมได้เรท 18$ แต่อย่างแผนกอื่นที่เขาจัดกิจกรรมให้นักเรียน ก็จะได้ประมาณ 19-20$ ครับ ซึ่งพอเป็นนักเรียนที่มาเรียนที่อเมริกาถือวีซ่า F1 เราจะสามารถทำงานได้แค่ในแคมปัสเท่านั้นนะครับ ไม่สามารถทำงานพาร์ทไทม์ข้างนอกแคมปัสได้ ถ้าถูกจับได้ อาจจะโดนส่งกลับประเทศได้ครับ
ส่วนเนื้องานที่ผมทำ เรียกง่าย ๆ เหมือนงานจับฉ่าย ทำทั่ว ๆ ไป สมมติวันนี้ Front desk มีคนไม่มา เราก็เข้าทำแทนได้ หรือว่านักเรียนมาขอให้ช่วยเรื่องการ log-in ลงทะเบียนเรียนครับ แต่งานหลัก ๆ ที่ผมทำคือคอยจัดปฐมนิเทศน์นักเรียนใหม่ อธิบายข้อมูลให้เขาฟัง และก็จะมีจัดอีเวนท์บ้าง เช่น ที่เพิ่งผ่านมาคือฮัลโลวีน หรืออย่างเพื่อนผมรุ่นที่แล้วก็จัดงาน prom อะไรประมาณนี้ครับ สนุกดีครับ
จากการมีประสบการณ์การทำงานกับฝ่ายนักศึกษาต่างชาติมา คิดว่าตัวเองได้พัฒนาทักษะทางด้านไหนบ้างคะ?
อย่างแรกเลยผมคิดว่าผมได้ทักษะการทำงานโปรแกรมคอม พวก Microsoft Word, Canva และ Photoshop ครับ ได้ทักษะการทำงานเป็นทีม ทำงานร่วมกับผู้อื่น ได้ทักษะการติดต่อสื่อสาร ได้ฝึกความกล้าแสดงออกด้วย อย่างเพื่อนคนไทยผมที่ทำก่อนผม ก่อนเขามาทำงานนี้ เขาเป็น Introvert ไม่ค่อยได้เจอใครอยู่แต่บ้าน แต่พอเขามาทำ เขาวิ่งทั่วเลยครับกลายเป็นคนที่ต้องออกไปเที่ยว ไปเจอคน ไปหาอะไรทำทุกอาทิตย์เลยครับ
คุณภีมมีวิธีการพัฒนาตัวเองอย่างไรบ้าง?
ถ้าพูดถึงเรื่องการพัฒนาตัวเอง ผมดูช่อง Youtube ของท่านนี้ครับ Nack Siwakorn เกี่ยวกับพวกเรื่องการจัดการเวลา คือเขาจะสอนไว้ว่า คุณอย่าผัดวันประกันพรุ่ง อยากทำอะไรให้ทำเลย อย่าคิดว่าเวลาเหลือเยอะ ผมก็นำมาปรับใช้กับตัวผม ยกตัวอย่างตอนอาจารย์สั่งงานให้ทำภายในสองอาทิตย์ ดูเหมือนจะนานแต่แป๊บเดียวนะครับ คุณไม่ได้มานั่งทำวิชานั้นวิชาเดียว มันมีวิชาอื่นที่ต้องทำเหมือนกัน ผมก็เลยจะตั้งเดดไลน์ก่อนเดดไลน์อีกทีครับ สมมติว่าต้องส่งงานนี้อีกสองอาทิตย์ ผมต้องเสร็จก่อนสัก 1 อาทิตย์ก็ดี หรือ ก่อน 2-3 วันก็ได้ สิ่งนี้ได้ผลมากกับตัวผม และก็ยังมีกฎ 5 วินาที เวลาเราต้องทำอะไรสักอย่าง ให้นับ 1-5 แล้วทำเลย ผมใช้เทคนิคนี้ครับและมันช่วยได้จริง ๆ ครับ
สองคือด้านการเงินครับ พอพูดถึงเรื่องการเงินมันก็ต้องเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนด้วย ผมก็จะตามช่อง Youtube ที่คอยอัปเดตข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับหุ้น เราต้องทำการบ้านดี ๆ ครับ และก็พวกเรื่องภาษีต่าง ๆ เรื่องการเงินมันเป็นวิชาชีวิตครับ เราอาจจะไม่ได้เรียนในห้องเรียน แต่วันนึงเราก็ต้องได้เจอกับมันแน่นอนครับ ถ้าอยากเจาะลึกละเอียดเรื่องภาษีมากขึ้นแนะนำช่อง TAXBugnoms ครับ
สามคือเรื่องการศึกษา เวลาว่างผมจะเปิด Youtube ดูเพื่อเรียนรู้ และเตรียมตัวเรียนล่วงหน้าครับ สมมติเทอมหน้าผมมีเรียนชีววิทยา ตอนปิดเทอมผมจะศึกษาข้อมูลล่วงหน้าก่อนครับ คุณต้องไปเช็คครับว่าเทอมหน้าวิชาที่คุณจะลง มีเนื้อหาอะไรที่ต้องเรียนบ้างแล้วก็หาคอร์สเรียน เตรียมตัวมาก่อน พอเรามาเรียนในห้อง มันจะเหมือนเป็นการทบทวนอีกรอบไปในตัว การเรียนสองรอบมันดีกว่าการเรียนรอบเดียวอยู่แล้วครับ ยิ่งสมัยนี้การเข้าถึงข้อมูลทางออนไลน์มันง่ายกว่าสมัยก่อนมากครับ สมัยก่อนผมอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ประถมแล้ว แต่จะเรียนทีต้องเข้าไปเรียนในกรุงเทพ แล้วผมเป็นเด็กต่างจังหวัด เดินทางยากครับ บ้านไกล ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าสามารถไปเรียนที่ไหนได้บ้าง ข้อมูลก็หายากครับ สมัยนี้อยากเรียนอะไรก็ค้นหาได้เลย เวลาผมว่างจะเข้าไปเรียนในเว็บไซต์ Khan Academy เป็นเว็บไซต์เรียนออนไลน์ฟรี มีทุกวิชาเลยครับ สนใจด้านไหนก็ลองศึกษาดูได้ครับ
สุดท้ายคือการเข้าสังคมเข้าหาผู้คนครับ สำหรับผมมีวิธีพัฒนาด้านนี้โดยการนำตัวผมเองไปอยู่กับคนเก่งครับ สภาพแวดล้อมมันจะส่งเสริมตัวเรา ยกตัวอย่าง ผมเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไทยกับคนไทย กับผมบินไปเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ญี่ปุ่นกับคนญี่ปุ่น ส่วนตัวผมคิดว่าอันหลังส่งเสริมเราเร็วกว่า เป็นต้น ผมก็เอาตัวเองไปอยู่กับคนที่เขาพูดเก่ง มีวาทศิลป์ในการพูด เราลองพูดคุยกับเขาดู จะช่วยเราทะลายกำแพงกับคู่สนทนาเราได้ เราจะเข้าใจเขามากขึ้นด้วยครับ
และก็มีช่องที่ผมอยากแชร์เพิ่มเติมคือ ช่อง Kan Atthakorn ผมติดตามตั้งแต่ที่เขาเป็น Youtuber และเขาก็มาทำธุรกิจ เขาจะสอนเกี่ยวกับ growth mindset แนวคิดการเป็นผู้ประกอบการมาแชร์ครับ คือแต่ก่อนผมเป็นคนที่ขาด growth mindset มันคือความคิดที่เราสามารถเติบโตและพัฒนาได้ ถ้าเราเกิดมาแล้วเราไม่เก่ง ถ้าคนที่ขาด growth mindset ก็จะคิดว่าเขาไม่สามารถเก่งได้ตลอดไป แต่ถ้าคนที่มี growth mindset เขาจะคิดว่าเขายังเติบโตไม่เต็มที่เลย ยังสามารถพัฒนาได้ ผมอยากให้ฟัง Podcast พวกนี้ครับ เราจะได้ mindset ใหม่ ๆ มาพัฒนาตัวเองครับ mindset เหล่านี้ผมไม่ได้มีมาตั้งแต่แรกนะครับ แต่เป็นเพราะผมดูช่องพวกนี้ครับผมถึงมี mindset ในการพัฒนาตัวเองครับ
เมืองวอชิงตันเป็นยังไง หลังจากอยู่เมืองนี้แล้ว คิดว่ามีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้างคะ?
เมืองที่ผมอยู่มันอยู่ทางด้านตะวันตกของอเมริกาครับ ข้างบนเป็นแคนาดา อากาศแปรปรวนมาก วันนี้ฝนตก พรุ่งนี้แดดออก เดี๋ยววันถัดไปฝนตกและก็แดดออก หิมะตก หมอกลง หนาวบ้าง ร้อนบ้าง วอชิงตันเป็นเมืองที่อัตราการเกิดอาชญากรรมค่อนข้างน้อยครับเมื่อเทียบกับรัฐอื่น ตั้งแต่ผมอยู่มายังไม่เคยโดนคนไร้บ้านทำร้ายนะครับ อาจจะมีโดนด่าบ้าง ค่อนข้างปลอดภัยเลยครับ ระบบขนส่งสาธารณะค่อนข้างโอเค ไม่ได้แย่มาก ไม่ได้ดีมาก มีรถบัส รถไฟฟ้า อาหารหลากหลาย มีครบหมดทุกอย่างครับ อาหารไทย เกาหลี หรือญี่ปุ่น อีกอย่างคนที่นี่ค่อนข้างขับรถปลอดภัย บนทางด่วนขับกันแค่ 60 km/h ค่อนข้างเป็นเมือง slowlife ข้อเสียก็หลักๆ เป็นเรื่องอากาศแปรปรวน ถ้าพายุเข้าก็ไฟดับเป็นวันอ่าครับ* และก็คนไร้บ้านครับ เขาสูบบุหรี่ กัญชา มันเลยเหม็นและทำให้จุดที่พวกเขาอยู่สกปรกครับ**
ที่พักที่อเมริกาเป็นอย่างไรบ้างคะ?
ตอนแรกอยู่โฮมสเตย์กับโฮสต์ อยู่ห่างจากโรงเรียน 1 ชม. ราคา 1,050$ ระยะเวลาหกเดือนแล้วก็ย้ายออกมาอยู่ shared house ที่อยู่ใกล้ bus transit center ราคา 1,200$ อยู่อีกสามเดือน ยอมจ่ายแพงขึ้นมาหน่อย แต่เดินทางสะดวก แล้วก็ย้ายมาอยู่บ้านปัจจุบันที่ผมอยู่ เป็นบ้านของคนที่รู้จักที่นี่ อยู่ห่างจากโรงเรียนห้านาที ราคาแค่ 750$ รวมค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ตเรียบร้อยหมดแล้ว ส่วนหอโรงเรียนเท่าที่ได้ยินมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ ห้องพักจุได้สี่คน แต่ละห้องก็จะแบ่งห้องนอนย่อยไปอีก ข้อดีเลยคือใกล้โรงเรียน แต่ข้อเสียคือมันสุ่มรูมเมทครับ เราไม่รู้เลยว่าจะได้ใครเป็นรูมเมท คิดว่าราคาตอนนี้เขาปรับขึ้นเป็น 1,100-1,200$ แล้วครับ
มีข้อคิด คำแนะนำอะไรเพิ่มเติมสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจอยากมาเรียนต่อหรือมาอยู่อเมริกาบ้างไหมคะ?
อาตรง ๆ นะครับ ถ้ามีเงินก็มาเลย ผมว่ามันคุ้ม มันเป็นประสบการณ์เปิดโลกดีครับ จะมีความเป็นอเมริกันสุด ๆ ถ้ามาอยู่จะได้เพื่อนต่างชาติหลากหลายเลย มาลองใช้ชีวิตตัวเองดู อยู่ไทยมันสบายครับ อยากกินอะไรก็หากินได้ง่าย ๆ แต่อยู่ที่อเมริกาไม่ใช่นะครับ ต้องทำอาหารกินเอง ไปซื้อของเองหมด เพราะกินข้าวนอกบ้านมันแพงครับ
หมายเหตุ
*Seattle เป็นเมืองที่ฝนตกบ่อยในฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – พฤศจิกายน) และฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์) โดย Seattle มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 39.34 นิ้วต่อปี แต่จะมีปริมาณพายุและหิมะน้อยมากเทียบกับรัฐอื่นในทางตอนเหนือ หิมะตกเฉลี่ย 6.3 นิ้วต่อปี อ้างอิงจาก https://seattleweatherblog.com/
**คนไร้บ้านในเมือง Seattle มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่อื่นๆในสหรัฐอเมริกา และมักจะมีการรวมตัวอยู่แค่ในจุดเดียวของบริเวณ Downtown Seattle อย่างไรก็ตาม หากนักเรียนต้องการเดินทางเข้าตัวเมือง ไม่ควรเดินทางช่วงกลางคืน และต้องระมัดระวังตัว