ประสบการณ์จาก Community College สู่มหาวิทยาลัย
โดย แปม
ศิษย์เก่า Edmonds Community College
โอนศึกษาต่อ Indiana University
แคมปัส Bloomington สาขาวิชา Finance
ทำไมถึงตัดสินใจไปเรียนที่ Edmonds Community College ?
ตอนมัธยมปลายแปมเรียนจบที่สิงคโปร์ ถ้าจะต่อมหาวิทยาลัยที่สิงคโปร์ แปมต้องเรียน Polytechic หรือ Junior College 2 ปีก่อนแล้วค่อยเริ่มมหาวิทยาลัยได้ แต่เผอิญแปมได้คุยกับเอเจนซี่ พี่เขาก็แนะนำว่าให้ไปเรียน Community College ในอเมริกาแล้วค่อย transfer เข้ามหาวิทยาลัยก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น และแปมก็อยากไปเรียนอเมริกาด้วยเพราะโอกาสมันเยอะขึ้นมากกว่าที่สิงคโปร์ เพราะตอนไปอยู่ Edmonds Community College แปมก็ได้ทำงานในวิทยาลัยซึ่งในสิงคโปร์โอกาสในการทำงานระหว่างเรียนไม่ได้เยอะขนาดนั้น
ก่อนมาเรียนที่อเมริกา แปมเคยไปเรียนที่สิงคโปร์มาก่อน ตอนนั้นชีวิตการเรียนที่สิงคโปร์เป็นยังไงบ้าง ?
จำไม่ค่อยได้เหมือนกันค่ะ ตอนนั้นแปมเพิ่งอายุ 12 ปีเอง จำได้ว่าพี่สาวแปมไปก่อนเพราะคุณพ่อคุณแม่มีแพลนว่าอยากให้ลูกเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็กแล้ว และคิดว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่เหมาะกับการเริ่มต้นเพราะเป็นประเทศที่ค่อนข้างปลอดภัย ไม่ไกลจากประเทศไทยมาก และสิงคโปร์ก็มีระบบการเรียนที่มีเข้มข้นมากค่ะ คุณพ่อคุณแม่ก็เลยชอบ
ชีวิตตอนเรียนที่ Edmonds Community College เป็นยังไงบ้าง ?
สนุกนะคะ อย่างนึงเกี่ยวกับ Edmonds ที่แปมชอบ คือ มันไม่ใช่วิทยาลัยที่ใหญ่มาก เพราะตอนนั้นแปมเพิ่งย้ายจากสิงคโปร์มาอเมริกาก็จะมีเรื่อง Culture Shock ด้วย ช่วงที่ต้องย้ายมาอยู่ประเทศใหม่ก็ต้องปรับตัวนิดนึง แต่ทาง Edmonds วิทยาลัยเขาไม่ได้ใหญ่มาก มันเลยให้เวลาแปมได้ปรับตัว เพราะตอนที่แปมโอนย้ายมาเรียนที่ Indiana University ก็เกิด Culture Shock เหมือนกันค่ะ เพราะนักศึกษาที่นี่เยอะมาก ปาร์ตี้ก็เยอะ ตอนแปมมาแรกๆ แปมก็กลัวอยู่เหมือนกัน แปมว่าถ้าใครอยากมาเรียนที่อเมริกา เริ่มจากการเรียนใน Community College เพื่อจะได้ปรับตัวก่อนมาเข้ามหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ก็ดีค่ะ
ตอนย้ายจากการเรียนที่สิงคโปร์มา Edmonds เราต้องปรับตัวเรื่องอะไรบ้าง ?
อย่างนึงที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด คือ สิงคโปร์มีความคล้ายไทยตรงที่เราสามารถออกไปซื้ออาหารข้างนอกกินได้ตลอด แต่ถ้าเป็นอเมริกากินอาหารนอกบ้านทุกวันก็ไม่ไหวค่ะเพราะมันแพงมาก แปมต้องมาฝึกทำอาหารมั่วๆเอง แล้วอาหารที่นี่ก็ไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่เพราะแปมเองชินกับอาหารเอเชียมากกว่า พอมาอเมริกาก็เลยต้องปรับตัว
เรื่อง Culture Shock อีกเรื่อง คือ ที่อเมริกาคนจะ outgoing มากกว่า กล้าพูด กล้าถามมากกว่า ส่วนเรื่องการเรียน อย่างเช่น ในคลาส Writing ที่สิงคโปร์ เขาก็จะสอนเป็นสเต็ปว่าต้องเขียนเป็นขั้นตอนยังไงบ้าง แต่ถ้าเป็นอเมริกา เขาก็จะบอกแค่หัวข้อแล้วปล่อยให้นักเรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์มากกว่าซึ่งในสิงคโปร์ทุกอย่างเขาจะค่อนข้างเป๊ะเป็นลำดับขั้นตอน พอย้ายมาอเมริกาแปมก็เลยต้องปรับตัว แต่แปมมองว่ามันก็ดีทั้งสองที่นะคะ แปมรู้สึกว่าการเรียนที่สิงคโปร์เป็นการปูพื้นฐานที่ดีแล้วพอย้ายมาเรียนที่อเมริกา เราก็สามารถนอกกรอบได้ โชว์สไตล์ของตัวเองได้มากขึ้น
สไตล์การสอนของครูในสิงคโปร์และอเมริกา มีความแตกต่างกันยังไง ?
ต่างค่ะ ในสิงคโปร์เขาจะสอนตามหนังสือซะส่วนใหญ่ พอมาอเมริกาการเรียนของเขาจะไม่ได้ตามหนังสือค่ะ พอเข้ามหาวิทยาลัย เขาคาดหวังว่านักเรียนทุกคนอ่านหนังสือมาก่อนเรียนเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะมาถามคำถามและ discuss กันอย่างเดียวเลยว่าความคิดนักเรียนจากที่อ่านมาเป็นยังไงบ้าง เหมือนมาโต้วาทีกันมากกว่าและจะไม่ค่อยมีถูกผิดกันค่ะ
สภาพแวดล้อมของ Edmonds เป็นยังไงบ้าง ?
เดินทางง่ายเพราะว่ามีบัสเข้าถึงตัวโรงเรียน ตัวแคมปัสก็ไม่ได้ใหญ่มาก ตึกก็อยู่ใกล้ๆกัน นั่งรถบัสประมาณ 10 – 15 นาทีก็เข้าวิทยาลัยได้แล้ว มันเป็นเมืองเล็กๆแต่ก็มีทุกอย่างครบ ถ้าต้องการเข้าไปในตัวเมือง Seattle ก็นั่งรถบัสเข้าไปประมาณชั่วโมงครึ่ง แปมว่าเป็นที่ๆดีสำหรับนักเรียนทีไ่ปเรียนนะคะ ระหว่างจันทร์ – ศุกร์ก็จะอยู่ในเมืองที่เงียบๆสงบหน่อย แต่พอวันเสาร์ – อาทิตย์ อยากเข้าไปในตัวเมืองก็สามารถไปได้ค่ะ
ตอนเรียนที่ Edmonds ได้ร่วมทำกิจกรรมหรือทำงานในวิทยาลัยอะไรบ้าง ?
ตอนแปมเรียนปี 1 แปมเป็น Student Government ก็จะทำงานกับ President and President’s Cabinet/Vice Presidents ของวิทยาลัย เช่น แพลนว่าอยากให้วิทยาลัยใน 10 ปีข้างหน้าต้องสร้างตึกไหนบ้าง คิดว่าอนาคตของมหาวิทยาลัยมีสาขาไหนที่จะดัง ถ้าสาขานี้ดังต้องสร้างตึกเพิ่มรึเปล่า แล้วก็จัดการกับเงินประมาณ 1.6 ล้านดอลลาร์กับนักเรียนอีก 7 คนและมีเจ้านายอยู่ด้วย จะมาดูว่านี่คือเงินที่นักเรียนจ่ายเพื่อให้เรามาวางแผนกิจกรรมให้พวกเขา จะเอาเงินส่วนนี้ไปลงตรงไหนบ้าง เช่น Welcoming Week และ Club Fairs หรืออย่างตอนเข้าวิทยาลัย การซื้อหนังสือที่นี่ก็แพง เราก็จะมาจัดการกันว่าให้นักเรียนคนนี้ไปเจอกับนักเรียนอีกคนนึงเพื่อให้เขาขายหนังสือมือสองให้
พอช่วงปี 2 แปมก็ไปเป็นติวเตอร์สอนหนังสือ พวกคลาส Business, Accounting กับเลข ก็เป็นเวลา 2 ปีที่ได้ทำงานใน Edmonds Community College ค่ะ
การได้ทำงานในวิทยาลัยรู้สึกได้พัฒนายังไงบ้าง ?
พัฒนาเยอะนะคะ พอเป็นนักเรียนนานาชาติ วีซ่าที่ใช้เข้ามาที่อเมริกาก็จะเป็นวีซ่านักเรียนซึ่งเราทำงานได้แค่ในแคมปัส ไม่สามารถออกไปทำงานข้างนอกมหาวิทยาลัยได้เพราะมันผิดกฏหมาย ตอนที่มาถึงอเมริกา แปมก็อยากทำงานและโชคดีที่ได้งาน ตอนนั้น Resume ก็ไม่เป็น Resume เลย เป็นแค่รูปถ่ายตอนอยู่ที่สิงคโปร์ว่าเราเคยทำอะไรมาบ้าง เราก็ส่งให้เขาไปแล้วดันได้งาน เราเลยลองถามเจ้านายว่าทำไมถึงรับเรา เขาก็บอกว่า เห็นคุณดูสนใจงานนี้จริงๆและน่าจะทุ่มให้งานนี้เกินร้อยได้ แปมก็เลยรู้สึกดีเพราะมีคนเชื่อใจเรา
ตอนแรกเข้าไปก็หลงๆไม่รู้ว่าต้องทำอะไรเพราะแปมยังไม่ได้เรียนคลาส Business เพราะช่วงปี 1 ยังต้องเรียนพวกวิชาพื้นฐานอยู่ เราก็ต้องเรียนรู้ไปด้วยในขณะทำงานเลย เราก็ได้เรียนรู้วิธีคุยกับเจ้านายว่าต้องทำยังไงเพราะมันเป็นสิ่งที่ตอนแปมเรียนไฮสคูลมันไม่มีและอีกอย่างนึง คือ เราไม่สามารถถามเจ้านายได้ทุกเรื่อง เราก็ต้องค้นคว้าด้วยตัวเอง เราต้องพยายามช่วยตัวเองให้ได้ จัดเวลาให้ดี เพราะต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย
การโอนย้ายจาก Edmonds Community College ไป University ทำยังไงบ้าง ?
อย่างนึงที่สำคัญมาก คือ ต้องรักษา GPA ของเราให้ดี เพราะถ้าเราย้าย เราก็ต้องสู้กับนักเรียนอเมริกาที่เขาสมัครเข้าไปเช่นกัน เราต้องเขียน Personal Statement ด้วยและพวก Application Process ของแต่ละมหาวิทยาลัยก็ไม่เหมือนกัน ที่เป็นปัญหาหนักสำหรับแปมตอนโอนย้าย คือ แปมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรเข้ามหาวิทยาลัยไหน จะรู้ได้ไงว่าแปมจะชอบมหาวิทยาลัยนี้รึเปล่า ช่วงนั้นก็คุยกับ Advisor ที่ Edmonds เขาก็ช่วยบอกว่าถ้าอยากเรียนสาขานี้ ที่มหาวิทยาลัยนี้ดังนะ หรือ ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยนี้ไลฟ์สไตล์จะเป็นยังไงบ้างเพราะแต่ละมหาวิทยาลัยก็ค่อนข้างแตกต่างกัน
ตอนแรกแปมก็ไม่ได้คิดว่าจะโอนย้ายเข้า Indiana University เลย แต่มีเพื่อนคนนึงที่อยู่ Edmonds ด้วยกันเขาก็แนะนำว่าที่นี่ดังเรื่อง Finance นะ ค่าเล่าเรียนก็ไม่แพงเท่ามหาวิทยาลัยใหญ่ๆ เมืองที่มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ก็คล้ายๆ Edmonds แปมเลยคิดว่าที่นี่น่าจะเหมาะที่สุดก็เลยสมัคร แล้วก็ได้เลยมาที่นี่ค่ะ
นอกจากเรื่องเกรดแล้ว คิดว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการโอนย้ายเข้ามหาวิทยาลัย ?
เขาก็ดูเรื่องกิจกรรมเหมือนกันค่ะว่าตอนที่อยู่ปี 1-2 เราได้ทำกิจกรรมอะไรบ้างหรือว่าเราเรียนอย่างเดียว ถ้าเทียบระหว่างนักเรียน 2 คน GPA เท่ากัน คนนึงทำงาน ทำกิจกรรมแต่อีกคนเรียนอย่างเดียว เขาก็น่าจะสนใจคนที่มีการทำงานและกิจกรรมมากกว่า เพราะใครๆก็เรียนได้ถ้าอ่านหนังสือหนักๆ แต่ถ้ามีทั้งการทำกิจกรรมไปด้วยและเรียนไปด้วย มันก็จะโชว์ว่าเราสามารถทำได้ทั้งการเรียนและมีสกิลอย่างอื่น ตอน Transfer เข้ามหาวิทยาลัยก็ต้องมี TOEFL และ SAT ด้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยที่เลือกด้วยค่ะ
ตอนย้ายจาก Community College ไป University เป็นยังไงบ้าง ?
ตอนแปมอยู่ที่ Edmonds แปมก็ทำงานไปด้วย แปมก็คิดว่าตัวเองทำกิจกรรมเยอะแล้วเพราะแปมทำงานตั้ง 2 ปี ในขณะที่บางคนยังไม่ได้ทำงานเลย แต่พอย้ายมามหาวิทยาลัยใหญ่ เขาก็มีคลับเยอะขึ้นมีทรัพยากรให้นักศึกษาเยอะขึ้น พอแปมเข้ามาก็เป็นช่วงที่นักศึกษาปี 2-3 เขามีฝึกงานกันเยอะมาก พอเข้ามาปุ๊ป ทุกคนก็คุยกันแต่เรื่องฝึกงาน แปมก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ตอนแรกก็งงๆ กดดันใช้ได้ แต่อย่างนึงที่เห็น คือ นักเรียนที่นี่ study hard, play hard กันทั้งนั้น แต่ละคนก็ทำกิจกรรมโหดๆกันมาก ไม่ค่อยมีใครที่เอาแต่เรียนอย่างเดียว
สังคมเพื่อนแตกต่างจากตอน Edmonds รึเปล่า ?
เอาตรงๆ แปมว่าที่ Edmonds บางคนก็ไม่ได้ซีเรียสกับการเรียนเท่าไหร่ แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยใหญ่มันไม่ซีเรียสไม่ได้ พวกเขาขยันกว่าเยอะเลย ทุกคนจะเริ่มออกมาจาก Comfort Zone ของตัวเองมากขึ้น แต่ถ้าที่ Edmonds เราจะเห็นกันเยอะมากว่านักเรียนไทยก็จะเกาะอยู่กับกลุ่มนักเรียนไทย นักเรียนจีนก็เกาะกลุ่มกับนักเรียนจีน แต่พอมาที่มหาวิทยาลัยจะมีการ Cross Culture กันมากกว่าที่ Edmonds
พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วได้ทำงานหรือกิจกรรมอะไรบ้าง ?
แปมเป็น International Student Ambassador ก็จะมีการสไกป์คอล, Panel Talk, อีเมลกับนักเรียนที่มีความต้องการจะเข้ามาเรียนที่ Indiana University ซึ่งแปมเองก็เจอ International Student Ambassador ตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับนักเรียนที่อยากเข้ามาเรียน Indiana University เวลามีคำถาม เช่น สงสัยอะไร สถานที่เป็นยังไง พวก Ambassdor ก็จะคอยช่วยตอบ และ Director of Professional Development ของ Kappa Eta Phi (KEP) Professional Business Fraternity จะเป็นเหมือนชมรมที่เด็กนักเรียนจะมาพัฒนาทักษะด้านธุรกิจ เช่น การเขียน Resume, เรื่อง Networking หรือการสัมภาษณ์ แปมก็มีหน้าที่จัด workshop แล้วก็เชิญ Professionals ในด้านต่างๆเช่น Academic Advisors, Professors, Recruiter เข้ามาช่วยสมาชิกของชมรม
เพราะในอเมริกาเรื่อง Network เป็นเรื่องใหญ่มาก คือ คุยให้เขารู้จักเรามากขึ้น ซึ่งนักเรียนนานาชาติก็ยังไม่สะดวกใจมากพอที่จะคุยกับคนแปลกหน้า พอ Recruiter เข้ามาก็ไม่รู้จะคุยยังไง เราก็ต้องคอยเทรนด์ว่าต้องเตรียมตัวยังไง ควรถามคำถามยังไง
เล่าประสบการณ์ตอนฝึกงานให้ฟังหน่อย
แปมฝึกงานช่วง Summer ที่ผ่านมา เดือนพฤษภาคม – สิงหาคมปีนี้ ช่วงนั้นแปมก็ต้องเรียนไปด้วย เพื่อนส่วนใหญ่ก็จะย้ายรัฐหรือกลับประเทศเพื่อไปฝึกงานแต่ในเมื่อแปมเรียนอยู่ แปมเลยได้อยู่แต่ใน Bloomington โชคดีที่แปมได้เจอองค์กรไม่แสวงหากำไร ชื่อ Giving back to Africa เป็นบริษัทที่หาเงินบริจาคเพื่อส่งเงินไปช่วยที่คองโก แอฟริกา ไปช่วยสอนหนังสือเด็ก ไม่ใช่แค่ฟังพูดอ่านเขียน แต่จะสอนเป็นเชิงว่า ถ้าในชุมชนมีปัญหาจะแก้ปัญหานี้ได้ยังไง ถ้าหาทางแก้ได้จะทำยังไงให้คนในชุมชนทำอย่างนี้ต่อไป แปมชอบเพราะมันออกแนวสไตล์ Leadership
แปมได้ทำหน้าที่เป็น Fund Development คือ ทำหน้าที่ติดต่อบริษัทอื่นๆว่า พวกเขาสนใจอยากเป็นสปอนเซอร์รึเปล่า อยากบริจาคมั๊ย และทำงบประมาณของปีหน้า คิดว่าหารายได้จากวิธีอื่นได้รึเปล่า ส่วน Event Planning Intern คือ ในเดือนสิงหาทุกปี บริษัทจะจัดงานกาล่าใหญ่เพื่อหาเงินเข้ามาช่วยน้องๆที่คองโก เราก็ต้องทำตั้งแต่วางแผนการตลาด ติดต่อร้านอาหาร Local ว่าอยากสปอนเซอร์งานมั๊ย ให้บริษัทส่งสินค้ามาเพื่อให้ผู้ร่วมงานมาทำการประมูลสินค้าของเขา แปมคิดว่านี่เป็นข้อดีของการได้ทำบริษัทเล็ก คือ เราได้ทำทุกอย่าง ได้เรียนรู้ทุกอย่างเพราะที่นี่เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรเลยไม่ค่อยมีคนทำเยอะ
แพลนอนาคตของตัวเองว่ายังไง ?
ช่วงนี้ก็หางานอยู่ค่ะ เพราะแปมจะเรียนจบพฤษภาคมปีหน้า แปมคิดอยู่ว่าจะทำงานที่สิงคโปร์หรืออเมริกาต่อ แปมอยากเข้าสาย Consulting เพราะตอนเป็นติวเตอร์ แปมรู้สึกว่าแปมก็ชอบด้านนี้ ตอนนี้ก็เตรียมๆอยู่ สมัครงานไปเรื่อยๆ
ความประทับใจในการเรียนแบบ Community College และ University ?
Community College เป็นช่วงที่เรายังพอมีเวลาได้ลองอะไรได้หลายอย่าง ชอบอะไรไม่ชอบอะไร เรายังพอมีเวลาพักผ่อนได้บ้าง และเป็นช่วงเวลาที่เราได้ปรับตัวเข้าสู่อเมริกา เรามีเวลาการทำอาหาร การออกกำลังกาย แต่พอเข้ามาปี 3-4 ในมหาวิทยาลัย เราก็ต้องลุยอย่างเดียว แข่งขันกับตัวเอง ได้เจอคนจากหลากหลายประเทศมากขึ้น ได้เรียนรู้ตัวเองมากขึ้น เจอคนเก่งกว่าเยอะไปหมด
มีอะไรอยากแนะนำสำหรับคนที่อยากไปเรียนอเมริกาบ้างรึเปล่า ?
แปมอยากแนะนำน้องๆให้เรียน Community College ก่อนเพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการปรับตัวได้ดีก่อนเข้ามหาวิทยาลัยใหญ่ ตอนมาที่นี่ก็เห็นน้องๆหลายคนพอเข้ามหาวิทยาลัยใหญ่ก็ปาร์ตี้เต็มที่โดดเรียนกัน ถ้าอยากเข้ามหาวิทยาลัยใหญ่ก็อยากให้คุณพ่อคุณแม่เตรียมตัวน้องๆเรื่องความพร้อมนิดนึง และให้น้องๆเตรียมใจว่าการมาเรียนต่างประเทศก็ต้องช่วยเหลือตัวเองพอสมควรเช่นกัน