รีวิว เรียนหลักสูตร ESL Classic กับ EV Academy
ระยะเวลา 4 สัปดาห์ (2 April – 28 April 2023)
โดย Nuttanicha Thongnual (PAM)
ทำไมถึงสนใจมาเรียนภาษาที่ฟิลิปปินส์
ช่วงที่หนูไปเรียนเป็นช่วงรอยต่อระหว่างปิดเทอมม.6 ก่อนเข้ามหาลัย ซึ่งทำให้มีเวลาว่างหลายเดือน และคุณพ่อก็อยากให้ไปเรียนภาษาด้วยค่ะ ที่เลือกมาเรียนที่ฟิลิปปินส์ เพราะคิดว่าน่าจะคุ้มที่สุดถ้าเรามาเรียนในช่วงนี้ และเป็นครั้งแรกด้วยกับการมาอยู่ต่างประเทศคนเดียวโดยไม่มีคุณพ่อคุณแม่ เลยเลือกมาเรียนที่นี่ก่อน เพราะอย่างน้อย ๆ ฟิลิปปินส์ก็ไม่ได้ไกลจากประเทศไทยมากนัก อีกทั้งวัฒนธรรมก็ใกล้เคียงกับประเทศไทย คิดว่าไม่ต้องปรับตัวเยอะเท่าไหร่ก็สามารถอยู่ได้ค่ะ
ทำไมถึงเลือกเรียนที่ EV Academy
ตอนแรกดูสถาบัน GLC ไว้ค่ะ เพราะน้องชาย (น้องไปป์) เลือกไปเรียนที่ EV เลยอยากเรียนคนละสถาบันกับน้อง และคุณพ่อก็ไม่อยากให้ไปอยู่ด้วยกันค่ะ เพราะกลัวว่าเราจะคุยแต่ภาษาไทย ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย พอไปดูทางเข้าโรงเรียน GLC ใน Google map ทางเข้าของโรงเรียน GLC ดูน่ากลัวกว่า ส่วนทางเข้าโรงเรียน EV ติดถนน ดูคนพลุกพล่านกว่า เลยเลือกมาเรียนที่ EV เหมือนน้องชายแทนค่ะ
ปรับตัวยากไหม
ไม่ยากนะคะสำหรับหนู จะมีแค่วันแรกที่กังวัลว่าจะเจอเพื่อนแบบไหน คุณครูเป็นยังไง แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีค่ะ สนุกค่ะ
ทำไมถึงเลือกเรียน Classic ESL
เพราะว่า เป็นครั้งแรกในการไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ และคอร์สนี้เป็นคอร์สที่นักเรียนส่วนใหญ่เลือกเรียนกันค่ะ
คอร์ส Classic ESL เรียนอะไรบ้าง
เรียน Grammar, Writing, Reading และ Listening ค่ะ เรียนครบ 4 ทักษะเลยค่ะ เราสามารถนำสิ่งที่เรียนไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น เรียนคลาส Grammar คุณครูเขาก็ไม่ได้สอน Grammar ที่ยากเกินไป แต่จะสอนการใช้ Grammar ที่เราสามารถนำไปใช้กับประโยคพูดในชีวิตประจำวันได้ค่ะ
1 วันเรียนอะไรบ้าง
เริ่มเรียน 8 โมง ถึง 5 โมงเย็น มีประมาณ 9 คาบ ตอนเช้า 5 คาบ พักเที่ยง ช่วงบ่าย 4 คาบ เราจะเรียนเหมือนกันในทุก ๆ วัน ระหว่างคาบจะมีเวลาพัก 5 นาที จะมีเสียงออดเตือนเข้าเรียน และเลิกเรียนค่ะ โดยจะแบ่งเป็นคลาสเรียนตัวต่อตัว และคลาสกลุ่ม และทุก ๆ วันจะมีคาบ Self Study ที่ห้องสมุด เราต้องเข้าไปเซ็นชื่อก่อนถึงจะออกมาได้ค่ะ สามารถนั่งอ่านหนังสือ หรือทำการบ้านก็ได้ หรือว่าจะขึ้นไปอ่านที่ห้องก็ได้ค่ะแต่ต้องเข้ามาเซ็นชื่อก่อน
มีการบ้านเยอะไหม
การบ้านถือว่าไม่น้อย แต่ไม่ได้เยอะจนทำไม่ทันค่ะ ถ้าแบ่งเวลาดี ๆ หลังเลิกเรียนยังไงก็ทำทันค่ะ การบ้านที่หนูใช้เวลาทำนานที่สุดจะเป็นการบ้านของคลาส Presentation ค่ะ
สำเนียงครูฟิลิปปินส์ฟังยากไหม
ฟังไม่ยากเลยค่ะ ฟังออกง่ายมาก แล้วคุณครูก็ใจดีมาก ๆ ทุกคนเลยค่ะ คุณครูทุกคนคุยเก่งมาก เหมือนเขารู้ว่าต้องสอนนักเรียนอย่างไร
คุณครูสอนโอเคไหม เพื่อนร่วมคลาสเป็นอย่างไร
คุณครูสอนโอเคมากค่ะ วันแรกของการเรียนหนูจะเป็นคลาส Grammar คุณครูเขาสอนดีนะคะ แต่เพื่อน ๆ ในคลาสดูไม่ค่อยคุยกันเลย ดูเกร็ง ๆ แต่หลังจากวันแรกเพื่อน ๆ ในห้องก็คุยกันมากขึ้น ปรับตัวกันมากขึ้น ก็เริ่มรู้สึกสนุกกับการเรียนค่ะ
ชอบวิชาไหนมากที่สุด และวิชาไหนที่ไม่ชอบ เพราะอะไร
ชอบคลาส Speaking กับ Presentation ที่สุดเลยค่ะ หนูเป็นคนที่ชอบพูดมาก ๆ ทุกคาบที่เรียนไม่ว่าจะเป็น ฟัง พูด อ่าน เขียน หนูก็จะขอคุณครูเขาพูดด้วยค่ะ เพราะหนูอยากฝึกทักษะนี้จริง ๆ คลาส Presentation คุณครูสอนสนุก ตลก เฮฮา ทำให้การเรียนคลาสนี้ไม่เครียด และรู้สึกสนุกค่ะ ครั้งนึงหนูเคยได้หัวข้อการนำเสนอที่จริงจังมากคือ หัวข้อเรื่องการทำแท้งค่ะ หัวข้อนี้มีคำศัพท์เฉพาะเยอะ แล้วก็ยาก หนูใช้เวลาหลังเลิกเรียนในการเตรียมตัวค่ะ คุณครูไม่ได้กำหนดว่าจะต้องพูดในแนวทางไหน ให้หนูคิดเอง หนูเลยพูดโดยแบ่งเป็น 2 ประเด็น คือ ทำไมคนกลุ่มนึงถึงคิดว่าการทำแท้งคือสิ่งที่ถูกกฏหมาย และทำไมคนอีกกลุ่มนึงคิดว่าการทำแท้งคือการทำผิดศีลธรรม ซึ่งการนำเสนอผ่านไปได้ด้วยดีแล้วได้รับคำชมจากคุณครูด้วยค่ะ ^^
การเรียนภาษาอังกฤษที่ไทยแตกต่างอย่างไรกับเรียนที่ฟิลิปปินส์
แตกต่างค่ะ การเรียนภาษาอังกฤษที่ไทยส่วนมากเขาจะเรียนเพื่อเน้นทำข้อสอบ แต่ไปเรียนที่ฟิลิปปินส์จะเน้นทักษะการพูด ซึ่งทำให้เรามีความมั่นใจในการพูด และพูดคล่องขึ้นค่ะ
วันเสาร์-อาทิตย์ ไปเที่ยวไหนบ้าง
หนูเป็นคนที่ชอบออกไปข้างนอกมาก ๆ เลยค่ะ ในวันจันทร์-ศุกร์ หนูก็ออกไปข้างนอกเหมือนกัน (หัวเราะ) ถ้าเป็นวันธรรมดาส่วนมากก็จะไปรอบ ๆ โรงเรียน ไปทานข้าวที่ร้านอาหารกับเพื่อน ๆ บ้าง ไปซุปเปอร์มาเก็ตบ้างค่ะ เคยชวนเพื่อน ๆ ต่างชาติไปทานอาหารไทยด้วยค่ะ ร้านอาหารอยู่ไม่ไกลจากสถาบันเท่าไหร่ เพื่อนคนญี่ปุ่น และเกาหลีของหนูชอบอาหารไทยกันมากเลยค่ะ
ส่วนช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เราก็จะวางแพลนกันกับเพื่อน ๆ ว่าจะไปเที่ยวไหนกันดี อาทิตย์แรกพวกหนูไปน้ำตกค่ะ ที่ไม่ไกลจากโรงเรียน เป็นน้ำตกแบบท้องถิ่น ตอนแรกคิดว่าการเดินทางไปที่น้ำตกที่นี่ไม่น่าจะยาก แต่พอไปจริง ๆ แล้ว เหมือนเราไปผจญภัยในป่าเลยค่ะ หนูรู้สึกว่าเป็นวันที่หนูใช้เวลาทั้งชีวิตคุ้มมากกับการไปเที่ยวน้ำตกแห่งนี้ ก่อนไปพวกหนูก็ศึกษาเส้นทางนะคะ รีวิวบอกว่าต้องเดินขึ้นเขานิดหน่อย ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะยากอะไร แต่ทางจริง ๆ ชันมากค่ะ ทางยากลำบากมาก แต่ก็สนุกดีค่ะ (หัวเราะ) น้ำตกก็ไม่ได้สวยมากนักเมื่อเทียบกับสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมไป สิ่งที่ได้กลับมาคือมิตรภาพค่ะ เพราะว่าการเดินทางขึ้นไปยังน้ำตก ถ้าเราไม่ช่วยเหลือกัน เดินไปไม่ถึงแน่นอนค่ะ ข้างบนน้ำตกก็มีชาวต่างชาติด้วย ซึ่งเราก็ทำความรู้จักกัน สรุปทริปนี้ได้ผจญภัย ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และก็ได้เพื่อนเพิ่มค่ะ
แต่เรื่องยังไม่จบนะคะ ตอนขามานั่งแท็กซี่ แท็กซี่ขอขึ้นราคาเป็น 2 เท่าได้ไหม จะได้รอพวกหนูด้วย พวกหนูก็ไม่ยอมค่ะ เขาก็ขู่พวกหนูว่าขากลับไม่มีรถกลับนะ แต่พวกหนูก็ไม่ได้ให้เขารอ เพราะไม่อยากจ่ายเพิ่ม ขากลับพวกหนูต้องเดินลงเขากัน 7 กิโลเมตร ค่ะ (หัวเราะ) ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ เพราะระหว่างทางเดินลงเขาได้เห็นวิวสวย ๆ มีธรรมชาติล้อมรอบเราเลย สวยงามมาก ๆ ค่ะ
อาทิตย์ต่อมาไปอควาเรียม แล้วก็ได้ไปภูเขาค่ะ เป็นภูเขาที่เป็นชุมชน ซึ่งบนภูเขามีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ๆ ชื่อภูเขาว่า Busay ค่ะ ตอนแรกพวกหนูอยากไปเที่ยวให้ครบเลย พวกหนูก็เลยศึกษาวิธีการเดินทางว่าจะไปภูเขานี้ยังไงค่ะ พวกหนูตัดสินใจขึ้นรถจิปนี แต่รถพาไปได้แค่ครึ่งทางค่ะ ไม่สามารถขึ้นไปบนภูเขาได้
พอพวกหนูลงจากจิปนี ก็จะมีพี่วินรถมอไซต์เข้ามาหาเราเลยค่ะ ถามพวกหนูว่าจะไปไหน ไปที่นี่ไหม ราคาเท่านี้นะ พอพูดภาษาอังกฤษใส่เขา เขาก็รู้เลยว่าพวกหนูเป็นคนต่างชาติ พี่วินก็ขึ้นราคาเลยค่ะ พวกหนูก็พยายามต่อราคาให้ได้ถูกที่สุด สถานที่ที่พวกหนูต้องการไปคือ Temple of Leah พี่วินเสนอราคามาที่คนละ 200 เปโซ ซึ่งหนูคิดว่าระยะทางมันไม่ได้ไกลเลย ไม่น่าจะแพงขนาดนี้ เลยหาสถานที่แถว ๆ นั้นก่อนถึง Temple of Leah ก็ไปเจอร้านอาหาร ก็เลยโกหกเขาไปว่าเราจะไปร้านอาหารนี้ 100 เปโซได้ไหม พี่วินก็โอเค พอเราถึงร้านอาหารเราก็เดินขึ้นเขาประมาณ 2 กิโลเมตร จนถึง Temple of Leah ในที่สุด
จากตอนแรกที่ตั้งใจไปหลาย ๆ สถานที่ สุดท้ายก็ได้มาแค่ที่นี่ที่เดียว เพราะมีปัญหาเรื่องการต่อรถค่ะ พอพวกหนูขึ้นมาถึงก็รู้สึกหายเหนื่อยเลยค่ะ เพราะมันสวยมาก ๆ พวกหนูใช้เวลาที่นี่กัน 2-3 ชั่วโมงเลย เพราะมุมถ่ายรูปเยอะมาก แล้ววิวก็สวยมาก สามารถมองเห็นเมืองทั้งเมือง และมองเห็นทะเลได้ด้วย ช่วงบ่าย ๆ คนก็จะเยอะหน่อย แต่พอหลัง 4 โมงเย็นไปแล้วคนก็เริ่มน้อยลงค่ะ ค่าเข้าชมประมาณ 120 เปโซ ขากลับก็เดินลงเขากันค่ะ ระหว่างตอนที่เดินลงก็มีพี่วินขี่มอเตอร์ไซผ่านไปมา จอดถามว่าขึ้นไหม พวกหนูก็เดินกันไปสักพักนึงจนคิดว่านั่งวินเถอะ (หัวเราะ) ก็เลยนั่งวินลงมา แล้วก็มาต่อจิปนีเข้าเมืองค่ะ ตอนเย็นพวกหนูก็ไปเดินตลาดนัดกลางคืนต่อ เหมือนตลาดนัดบ้านเราเลย มีอาหาร สิ่งของ เสื้อผ้าขาย อาหารอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ
แล้วก็ได้ไป Mactan Beach ซึ่งเป็นสถานที่ที่คุณครูที่โรงเรียนหลาย ๆ ท่านแนะนำมา พวกหนูเลยตัดสินใจไปที่นี่ เพราะเป็นเสาร์อาทิตย์สุดท้ายของน้องชาย แล้วน้องอยากไปเที่ยวทะเลมาก เลยนัดกันไปค่ะ ก่อนไปเราวางแพลนกันไปอย่างดี ว่าจะไปหาดหาดนึง แต่พอไปถึงคนท้องถิ่นเขาบอกว่า หาดที่พวกหนูจะไปมันปิดแล้ว ไม่มีแล้วค่ะ แพลนที่เราวางไว้ก็เลยต้องเปลี่ยนใหม่หมดเลยค่ะ ก็เลยเปลี่ยนไปอีกหาดแทน หาดนี้เป็นหาดสาธารณะ ซึ่งคนเยอะมาก พวกหนูก็เลยไม่ค่อยอยากเล่นน้ำเท่าไหร่
พักต่อมามีไกด์ท้องถิ่นเดินเข้ามาหาเรา ขายของกับเราค่ะ เขาบอกว่า มีเรือให้เช่านะ แล้วจะพาไปดูเกาะ 3 เกาะ เล่นน้ำได้ ดำน้ำได้ อยากอยู่นานแค่ไหนก็แล้วแต่เราเลย ราคา 3000 เปโซ โอเคไหม พวกหนูไปกัน 8 คน พอหารกันมันก็ตกประมาณคนละ 375 เปโซ แต่หนูก็ยังคิดว่ามันแพงอยู่ค่ะ หนูก็เลยต่อรองราคากับเขา สรุปแล้วได้มาที่ 2700 เปโซค่ะ (หัวเราะ)
เรานั่งเรือออกไปที่เกาะ เหมือนจะเป็นหาดส่วนตัว คนไม่ค่อยเยอะค่ะ เขาก็จะปล่อยให้เราดำน้ำลึก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่หนูได้ดำน้ำค่ะ ตื่นเต้นมาก ๆ แล้วก็กลัวมาก ๆ เพราะหนูว่ายน้ำไม่เป็น แต่หนูก็อยากลงเพราะน้ำใสมาก เห็นพื้นเลย หนูก็รวบรวมความกล้าใส่ชูชีพ แล้วก็ลงไปดำน้ำค่ะ เห็นปลาเต็มเลยค่ะ พอเราดำน้ำจนพอใจ เขาก็พาเราไปที่บริเวณน้ำตื้นค่ะ น้ำใสมาก เห็นปะการัง เห็นปลาดาวด้วยค่ะ หนูได้ถ่ายรูปกับปลาดาวด้วยค่ะ น่ารักมาก ๆ ถึงแม้ว่าเป็นแพลนที่เราไม่ได้ตั้งใจ แต่สุดท้ายก็ออกมาดี สนุก และได้ประสบการณ์ค่ะ
สิ่งที่ประทับใจและไม่ประทับใจ
ประทับใจเพื่อน ๆ และสถานที่ท่องเที่ยวค่ะ เพื่อน ๆ ใน EV จะมีหลากหลายเชื้อชาติ แต่เราคุยกันโดยใช้ภาษาอังกฤษ แล้วทุกคนมาเพื่อเรียนจริง ๆ เวลาเราสื่อสารไม่ว่าจะถูกหรือผิด ก็ไม่มีใครมาตัดสินการพูดของเราค่ะ เรามาอยู่ด้วยกัน รู้จักกัน แลกเปลี่ยนความรู้ วัฒนธรรม และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อนที่นี่ดีมากจริง ๆ ค่ะ
ส่วนเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติเยอะมาก สวยมาก ๆ แล้วหนูชอบไปสถานที่แบบนี้อยู่แล้ว ก็เลยประทับใจมากเลยค่ะ เรื่องที่ไม่ประทับใจก็จะมีเรื่องการขนส่งค่ะ การที่เราเป็นชาวต่างชาติจะโดนเรื่องโก่งราคาค่าโดยสารค่ะ บางครั้งเราก็ต่อรองราคาได้ แต่บางครั้งก็ไม่ได้ค่ะ ซึ่งถ้ามันจำเป็นจริง ๆ แบบไม่มีรถคันอื่นแล้วเราก็ต้องยอมจ่ายราคาที่แพงขึ้นค่ะ
สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกโรงเรียนเป็นอย่างไร
ที่ตั้งของโรงเรียน จะอยู่ถัดออกมาจากในเมืองไม่ไกลค่ะ ทำให้ไม่ได้มีคนพลุกพล่านเหมือนในเมือง ภายในโรงเรียนกับนอกโรงเรียนสภาพแตกต่างกันมาก ๆ เลยค่ะ เหมือนภายในโรงเรียนมีความสะดวก สบาย สะอาด แต่พอออกมาข้างนอกโรงเรียนก็จะเป็นสภาพแวดล้อมแบบชานเมืองเลยค่ะ เหมือนชนบทบ้านเรา แต่ถ้าเราเข้าไปในเมืองเซบู จะเป็นอีกเรื่องนึงเลยค่ะ ทันสมัย มีห้าง มีสวนสาธารณะ มีความสะดวกสบายค่ะ
อาหารที่โรงเรียนเป็นอย่างไร
อาหารมีหลากหลายมาก แต่ที่จะมีทุกวันเลยคือข้าวสวย และข้าวผัด จะมีอาหารวางเรียง ๆ กัน เราก็จะเดินต่อแถวตักอาหารเองค่ะ อยากทานอะไรก็เลือกได้เลย ส่วนมากจะเป็นอาหารเกาหลีค่ะ มีทั้งผักและเนื้อ อาหารก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน รสชาติอาหารกลาง ๆ สามารถทานได้ทุกเชื้อชาติ คนไทยทานได้แน่นอนค่ะ ที่โรงเรียนจะมีน้ำหวาน 6 สี 6 รสชาติ แต่ว่าทุกน้ำ คือหวานมากค่ะ น้ำเปล่าอร่อยที่สุด
ที่โรงเรียนมีอาหารกี่มื้อ
มี 3 มื้อ ทุกวันเลยค่ะ รวมวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย ถ้าไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนอยู่โรงเรียนก็มีกิจกรรมให้ทำ มีข้าวให้ทานค่ะ
ที่โรงเรียนมี WI-FI ไหม
มีค่ะ แต่จะมีแค่ชั้นล่าง ช่วงเย็น ๆ เพื่อน ๆ ก็ลงไปใช้ WI-FI ข้างล่างกันค่ะ
สภาพอากาศเป็นอย่างไร
ร้อนเหมือนที่ไทยเลยค่ะ แต่ถ้าอยู่ภายในโรงเรียนก็เย็นสบายค่ะ เพราะทางโรงเรียนเปิดแอร์
จากโรงเรียนไปข้างนอกยากไหม
ไม่ยากค่ะ เดินทางโดยรถจิปนี แท็กซี่ หรือจะเรียก Grab ก็ได้ค่ะ อย่างเช่นถ้าไปห้างในตัวเมือง ก็จะใช้เวลาแค่ 10 นาทีเอง ไม่ไกลเลยค่ะ ถ้าสมมติว่าจะไปที่ไกล ๆ ก็จะเลือกใช้แท็กซี่ไม่ก็เรียก Grab ค่ะ เพราะว่าสะดวก แต่พอหลัง ๆ เริ่มศึกษาเส้นทางการเดินรถจิปนี ว่าไปที่ไหนบ้าง พอเรานั่งเป็นแล้วจะรู้สึกสะดวกมากค่ะ เพราะราคาถูก แล้วก็มีรถวิ่งผ่านตลอดเวลาค่ะ
การใช้รถจิปนี
รถจิปนีจะคล้าย ๆ รถสองแถวบ้านเราค่ะ รถจิปนีจะมีตัวเลขอยู่ข้างบนหัวรถ เช่น 13C 12D ซึ่งแต่ละเลขก็จะวิ่งกันคนละเส้นทาง เราก็จะต้องศึกษาก่อนว่า ถ้าสมมติเราอยากไปห้าง รถจิปนีสายอะไรที่วิ่งผ่าน สามารถหาจาก Google map ก็ได้ค่ะ พอเรารู้แล้วว่าจะต้องขึ้นรถหมายเลขอะไร เราก็ไปยืนรอรถที่ข้างทางได้เลย เหมือนเรายืนรอเรียกรถสองแถวที่บ้านเราเลย เมื่อมีรถจิปนีสายที่เราต้องการวิ่งผ่าน เราก็โบกรถได้เลยค่ะ คนขับเขาจะจอดรถให้เราขึ้นไปนั่ง
ราคาส่วนใหญ่จะประมาณ 11-14 เปโซ ถ้าไม่มั่นใจสามารถถามเขาก่อนได้ว่าจะไปที่นี่ราคาเท่าไหร่ พอถึงสถานที่ที่เราจะไปแล้ว เราก็ตะโกนบอกเขาให้หยุดรถ หรือจะใช้เหรียญเคาะที่ราวเหล็กสำหรับให้คนจับ เคาะให้เกิดเสียงสักพักเดี๋ยวคนขับรถเขาก็จะหยุดรถค่ะ เหมือนมันเป็นสัญญาณว่าให้จอดตรงนี้นะ ถ้าเกิดว่าเราพูดภาษาอังกฤษกับคนขับรถแล้วเขาฟังเราไม่รู้เรื่อง คนฟิลิปปินส์บนรถเขาก็จะช่วยเราพูดให้ค่ะ คนที่นี่น่ารัก และเฟรนลี่มากเลย ก่อนลงก็จ่ายเงินกับคนเก็บเงิน เขาจะนั่งข้างหลังรถเหมือนกับเราค่ะ รถจิปนีหาไม่ยาก วิ่งถี่มาก ๆ จิปนีจะมี 2 แบบ แบบที่เหมือนรถสองแถว กับแบบรถเมล์ที่ติดแอร์ แต่ราคาคือเท่ากันเลยค่ะ
เวลามีปัญหาติดต่อเจ้าหน้าที่ลำบากไหม
ติดต่อไม่ยากเลยค่ะ ตรงล็อบบี้จะมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ เราสามารถเดินเข้าไปสอบถามหรือบอกปัญหาของเราได้เลยค่ะ ถามได้ทุกเรื่องเลย เช่น อยากต้มมาม่าทานแต่เราไม่มีถ้วย ก็ไปบอกเจ้าหน้าที่ได้เลยค่ะ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะหาชามมาให้ แต่ว่าให้ยืมเฉย ๆ นะคะ ต้องเอามาคืนด้วย(หัวเราะ)
ทำไมถึงเลือกไปกับ KPG การบริการของก้อปันกันเป็นอย่างไร
การให้ข้อมูลรายละเอียดมาครบถ้วน คุณพ่อก็เลยตัดสินใจไปกับก้อปันกันค่ะ ในเรื่องของการบริการก็ดี ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ
มีเป้าหมายอะไรกับการมาเรียนครั้งนี้
เป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับหนูเป้าหมายของการมาเรียนภาษาที่ฟิลิปปินส์คือ ต้องการฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษ การมาเรียนที่นี่ก็ได้พูดภาษาอังกฤษเยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนเรียน ออกไปข้างนอก หรือแม้ว่าจะอยู่กับกลุ่มคนไทย แต่มีเพื่อนต่างชาติอยู่ด้วย เราก็จะคุยกันเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้เพื่อนชาวต่างชาติเข้าใจด้วยว่าเรากำลังพูดถึงอะไร เหมือนเราได้ใช้ภาษาอังกฤษตลอดเวลาจริง ๆ การมาเรียนครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเป้าหมายของตัวเองมาก ๆ และรู้สึกว่าคุ้มค่ามาก ๆ เลยค่ะ
จากระยะเวลา 4 สัปดาห์ การพัฒนาภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร
วันแรกจะมีการสอบวัดระดับ จะมีการสอบพูดกับคุณครูด้วย หนูเข้าใจคำถาม และสามารถตอบได้ แต่หนูรู้สึกไม่มั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษ ยังพูดไม่คล่องเท่าไหร่ แล้วก็รู้สึกกังวลมากเลยค่ะ แต่พอได้เรียนได้ฝึกพูดทุก ๆ วัน จากตอนแรกที่กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่มั่นใจ ถามคำตอบคำ จนตอนนี้หนูสามารถเพิ่มอารมณ์ และความรู้สึกเข้าไปในประโยคได้ค่ะ หนูพูดคล่องขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น และไม่กังวลที่จะพูดภาษาอังกฤษแล้วค่ะ
สิ่งที่กังวลก่อนไปเรียน
กังวลเรื่องรูมเมท กับเรื่องอายุค่ะ เพราะตอนแรกน้องชายบอกว่าที่โรงเรียนนักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นวัยผู้ใหญ่ แล้วหนูอายุแค่ 17-18 ก็เลยกังวลว่าเราจะสามารคุยกับคนอื่น ๆ ได้ไหม แต่พอได้มาแล้ว ความกังวัลที่มีก็หายไปเลยค่ะ หนูได้รูมเมทดีมาก แล้วเรื่องอายุเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลยค่ะ เราคุยกันเหมือนเพื่อนกัน ไม่มีใครสนใจว่าแต่ละคนอายุเท่าไหร่ และในภาษาอังกฤษไม่มีสรรพนามเรียกพี่ น้อง เหมือนในภาษาไทย ทำให้เราคุยกัน ทำความรู้จักกัน เป็นเพื่อนกันค่ะ อย่างเพื่อนสนิทหนูเป็นคนเกาหลีอายุ 26 แต่พวกหนูก็คุยกันเหมือนเพื่อนปกติเลยค่ะ
การเดินทางไปที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง
จากสนามบินไทยไปลงที่สนามบินเซบู เดินผ่านตม. เจ้าหน้าที่ถามว่ามาทำอะไร มาฟิลิปปินส์ครั้งแรกหรอ มาอยู่กี่เดือน เป็นคำถามทั่วไปเลยค่ะ พอผ่านตม.ก็เดินมารับกระเป๋า พอเดินออกมาก็เจอเจ้าหน้าที่ชูป้ายชื่อโรงเรียนมารอรับเราค่ะ แล้วเขาก็พาเราไปที่รถตู้ รอจนคนครบรถถึงออกค่ะ รอไม่นานนะคะ เพราะว่านักเรียนก็จะมาไฟลท์เดียวกันหมด รถตู้เป็นรถสภาพปกติค่ะ ไม่ได้เก่าหรือใหม่ แอร์เย็นค่ะ แต่ไม่ได้หนาวถึงกับต้องใส่เสื้อกันหนาว จากสนามบินถึงโรงเรียน ใช้เวลา 20-25 นาทีก็ถึงโรงเรียนแล้วค่ะ การขับรถตู้ของโรงเรียนไม่ได้ขับเร็วเท่ารถสาธารณะค่ะ
เพื่อนๆ ที่โรงเรียนเป็นอย่างไร มีจากประเทศไหนบ้าง
ส่วนมากจะเป็นคนญี่ปุ่น เกาหลี เยอะมาก คนไทยจะเป็นคนกลุ่มน้อยเลยค่ะ ทำให้เรารู้จักกันหมด แล้วก็มีเพื่อน ๆ จาก รัสเซีย สเปน และไต้หวันค่ะ
ความปลอดภัยที่ฟิลิปปินส์
ถ้าตามร้านค้า ร้านอาหาร หรือห้าง จะมีรปภ.ทุกที่เลยค่ะ อย่างเช่น KFC ที่ไทยจะไม่มีรปภ. แต่ที่ฟิลิปปินส์จะมีรปภ.มายืนเฝ้า คอยเปิดประตูให้ เหมือนเป็นเรื่องปกติของที่นี่ ที่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ส่วนในช่วงกลางคืนก็จะน่ากลัวนิดนึง เพราะว่าไม่มีไฟข้างทางเหมือนที่ไทยค่ะ
เคยเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เราอึดอัดไหม
เคยค่ะ ไปทาน KFC กับเพื่อน ๆ ช่วงกลางวัน จะมีน้อง ๆ ไร้บ้านมานั่งมองเราทานผ่านกระจกค่ะ แล้วก็เคาะกระจกด้วย เหมือนพยายามเรียกร้องความสนใจ แต่น้อง ๆ เขาไม่ได้เข้ามายุ่งอะไร แค่จ้องเรา มองดูเราทานค่ะ
รีวิวห้องพัก และรูมเมท
ห้องพักเป็นแบบ 2 เตียงค่ะ มีรูมเมทเป็นคนเกาหลีค่ะ วันแรกที่เข้าไปก็เกร็งมาก ทำตัวไม่ถูก แต่โชคดีว่าได้รูมเมทอายุใกล้เคียงกัน เลยปรับความเข้าใจกันได้ง่าย ที่เป็นปัญหาสำหรับหนูก็จะเป็นเรื่องห้องน้ำค่ะ ไม่มีสายชำระ เพราะคนไทยจะชินกับการใช้สายฉีด หนูก็เลยพกทิชชู่เปียกมาด้วยค่ะ
แล้วก็ห้องพักไม่มีพรมเช็ดเท้าให้ แนะนำให้เอามาด้วยหรือซื้อใหม่ที่นี่ก็ได้ เพราะคนต่างชาติเขาใส่รองเท้าอยู่ในห้องตลอดเวลา ใส่เข้าไปในห้องน้ำด้วย บางครั้งรองเท้าเปื้อนฝุ่นทำให้ทิ้งคราบดำ ๆ ไว้ หนูทนไม่ไหวเลยซื้อพรมเช็ดเท้า แล้วก็ตกลงกับรูมเมทว่า เธอใช้พรมเช็ดเท้าของเราได้นะ รูมเมทก็เข้าใจค่ะ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ภายในห้องก็จะมีโต๊ะเขียนหนังสือ เก้าอี้ ของแต่ละคน มีตู้เสื้อผ้า ข้างในตู้มีตู้เซฟไว้เก็บของสำคัญได้ มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีไดร์เป่าผม ผ้าห่มที่มีให้บางมาก ๆ ถ้าเป็นคนขี้หนาวอาจจะต้องเตรียมผ้าห่มมาด้วย หรือมาซื้อที่นี่ก็ได้ หรือว่าจะเช่ากับทางโรงเรียนได้ค่ะ
อยู่กับเพื่อนต่างชาติเคยเจอ Culture Shock ไหม
เจอค่ะ คนเกาหลีกับคนญี่ปุ่นเขาจะไม่อาบน้ำตอนเช้ากัน พอเขาเห็นเราอาบน้ำก็จะงง สงสัย ถามหนูว่าทำไมคนไทยถึงอาบน้ำตอนเช้า เขาตกใจมาก แล้วก็บอกว่ามัน Amazing มาก เพราะที่ประเทศเขาไม่อาบน้ำตอนเช้ากัน
บริการทำความสะอาดห้องพัก
แม่บ้านจะทำความสะอาดทุกวันค่ะ แค่จะสลับว่าวันนี้ทำชั้น 2 พรุ่งนี้ทำชั้น 3 สลับกันไปค่ะ เราไม่ต้องไปแจ้งอะไรเลย แม่บ้านเขาจะมาทำความสะอาดให้เราเองตามตารางค่ะ เขาจะมาเคาะประตูห้องแล้วก็ทำความสะอาดให้เราเลยค่ะ
การส่งผ้าซัก
สะดวกค่ะ แต่รู้สึกว่าได้รับผ้าช้าไปนิดนึง สามารถส่งผ้าซักได้วันจันทร์ วันพุธ และวันเสาร์ แต่ละห้องเลือกได้แค่ 2 วัน ว่าจะเลือกซักผ้าวันไหน สมมติว่าเราเลือกวันจันทร์กับวันพุธ วันเสาร์เราไม่สามารถส่งผ้าซักได้ เวลาที่เราส่งผ้าซักจะเป็นช่วง 12.30-13.30 น. จะเป็นช่วงเวลาพักเที่ยงค่ะ หนูก็ตกลงกับรูมเมทว่าวันนี้ใครจะเป็นคนเอาผ้าไปส่งซัก โดยเอาผ้าของเรากับรูมเมทใส่รวมกันไว้ในถุงที่เขาเตรียมไว้ให้ ถุงใหญ่มาก ๆ จะใส่กี่ตัวก็ได้แต่อย่าเกินถุงนั้น แล้วเราก็เอาถุงผ้าไปชั้น 4 เป็นชั้นสำหรับซักผ้า มีแยกชายหญิงคนละฝั่ง พอเราเอาผ้าไปให้เจ้าหน้าที่ เขาก็จะถามเราว่าอยู่ห้องไหน แล้วก็จะมีใบเสร็จให้เขียนเลขห้อง จำนวนเสื้อผ้า รายการเสื้อผ้าต่าง ๆ ว่ามีอะไรบ้าง ให้เราเก็บไว้ค่ะ เมื่อผ้าเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่จะพับแล้วแพ็คมาให้อย่างดีวางไว้หน้าห้องค่ะ
เราจะไม่ได้ผ้าภายในวันเดียวกับวันที่เราส่งซัก เราจะได้วันต่อไปของการซัก เช่น ส่งวันจันทร์จะได้รับผ้าวันพุธ ส่งวันพุธก็จะได้รับวันเสาร์ค่ะ เพื่อนต่างชาติบางคนก็เอาผ้าไปซักข้างนอก ข้าง ๆ โรงเรียนจะมีร้านซักผ้าอยู่ ถ้าเราต้องการใช้เสื้อผ้าภายในวันนั้นเลยก็สามารถนำออกไปซักข้างนอกได้ค่ะ
เคยออกไปข้างนอกแล้วกลับไม่ทันเวลา Curfew ไหม
ไม่เคยค่ะ โรงเรียนถือว่ามีกฏเข้มงวดพอสมควรเลย นักเรียนทุกคนจะมีคะแนนเป็นของตัวเอง เมื่อเราทำผิดกฎ เช่นไม่เข้าเรียน กลับโรงเรียนไม่ทันเวลา Curfew ก็จะโดนหักคะแนนไปเรื่อย ๆ จะไม่มีการเพิ่มคะแนนค่ะ เมื่อคะแนนเราเหลือ 0 เมื่อไหร่ ทางโรงเรียนก็จะส่งเรากลับบ้านค่ะ
สิ่งที่คิดว่าควรเอาไปฟิลิปปินส์
มาม่าไทยค่ะ ที่ฟิลิปปินส์ไม่มีมาม่าไทยขายค่ะ มีแต่มาม่าเกาหลี บางครั้งหนูก็คิดถึงรสชาติอาหารไทย ถ้าเป็นไปได้รอบหน้ามาเรียนที่ฟิลิปปินส์อีก หนูจะไม่ลืมเอามาม่าไทยไปด้วยค่ะ
มีอะไรอยากแนะนำเพื่อนๆที่สนใจไปเรียนที่ฟิลิปปินส์ไหม
ถ้าสนใจมาเรียนที่ EV ไม่ต้องกังวลอะไรเลยค่ะ เพราะว่า มันสะดวกสบาย ทุกคนเป็นมิตร ยิ่งเป็นคนไทยหนูเชื่อว่าเราปรับตัวได้ง่ายมาก ๆ เมื่อมาที่นี่ ถ้ามาเรียนแล้วก็อยากให้ทุกคนกล้าพูด อยู่กับเพื่อนต่างชาติเยอะ ๆ จะทำให้เราพัฒนาภาษาอังกฤษได้ไวขึ้น แถมยังได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ ของแต่ละประเทศกับเพื่อน ๆ ด้วย
ถ้ามีโอกาสได้ออกไปทำกิจกรรมข้างนอก ก็แนะนำให้ออกไปทำเลยค่ะ ไปเที่ยวเยอะ ๆ ออกไปหาประสบการณ์ใหม่ ๆ แต่ก็ต้องระวังตัวในเรื่องของการเดินทางด้วยนะคะ บางทีรถแท็กซี่ หรือวินมอเตอร์ไซชอบโก่งราคา เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ยอม อย่าไปเชื่อว่าราคาที่เขาบอกมาเป็นราคาที่แท้จริง เราจะต้องศึกษาหาข้อมูล และเรียนรู้วิธีการต่อรองราคาค่ะ
ควรเตรียม pocket money ไปเท่าไหร่ดี
แลกเงินไปประมาณ 28,000 เปโซ และนำเงินไทยไปด้วย 5,000 บาทค่ะ พอไปถึงโรงเรียนจะต้องไปจ่ายค่าเรียนกับทางโรงเรียนในวันจันทร์ ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้ของแต่ละคนจะไม่เท่ากันค่ะ ของหนูจ่ายค่าเรียนไป 18,000 เปโซ เหลือเงิน 10,000 เปโซ ระยะเวลา 4 สัปดาห์ หนูใช้ไม่ถึง 10,000 เปโซ ไม่ได้ใช้เงินไทยเลย ก็พอนะคะ แต่ถ้าคิดว่าจะซื้อของเยอะแลกเงินเปโซมาสักประมาณ 15,000 เปโซ ก็เพียงพอแล้วค่ะสำหรับ 4 สัปดาห์
ค่าน้ำ อาหาร ของใช้ ค่าเดินทาง ถูกหรือแพงกว่าที่ไทย
ถูกกว่าที่ไทยค่ะ ถ้าอยากซื้อของใช้ แนะนำให้ไปซื้อที่ซุปเปอร์มาเก็ตค่ะ ของถูกมาก ส่วนค่าน้ำค่าอาหารตามร้านทั่วไป หรือตลาดนัดราคาถูกกว่าที่ไทย จะมีบางร้านในห้างใหญ่ ๆ ที่ราคาพอ ๆ กับที่ไทย หรืออาจจะแพงกว่า ในเรื่องของการเดินทาง แนะนำให้ศึกษาวิธีขึ้นรถจิปนี เพราะค่าเดินทางถูกมาก ถ้าเราขึ้นรถจิปนีเป็นมันจะช่วยประหยัดค่าเดินทางไปได้มากเลยค่ะ
ถ้ามีโอกาสอยากกลับไปเรียนที่ฟิลิปปินส์อีกไหม
กลับไปแน่นอนค่ะ แล้วจะไปอยู่ให้นานกว่าเดิมด้วย คิดว่าอยากไปเรียนที่ EV เหมือนเดิม คิดถึงคุณครูที่นู่น บรรยากาศ รู้สึกประทับใจกับที่นี่มาก ๆ อยากกลับไปอีกค่ะ
อยากแนะนำอะไรเพื่อน ๆ เพิ่มเติมไหม
ไม่มีอะไรเพิ่มเติม แค่อยากบอกว่าประทับใจเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน ยิ่งถ้าเราชอบคุย ชอบเข้าสังคม เราจะได้เพื่อนเยอะมาก ๆ ทุกคนที่มาที่นี่ก็ตั้งใจที่จะมาฝึกภาษาอังกฤษ ไม่ต้องกลัวเลยว่าเราจะไม่มีเพื่อน หนูรู้สึกสนุกมาก ๆ เวลาได้คุยกับเพื่อนชาวต่างชาติ หลังจากเรียนจบกันแล้วพวกหนูก็ยังติดต่อกันเหมือนเดิมค่ะ มีเพื่อนหนูบางคนนัดหนูไว้ว่า เดี๋ยวจะมาประเทศไทยนะเป็นไกด์ให้หน่อย คุณครูที่โรงเรียนก็ดีมาก ๆ คอยเป็นห่วงนักเรียนอยู่เสมอ คุณครูของหนูเขาก็คอยทักหาหนูว่าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม การที่มาเรียนครั้งนี้นอกจากได้ฝึกภาษาอังกฤษแบบไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว ก็ได้มิตรภาพที่ดีจากเพื่อน ๆ และคุณครูด้วยค่ะ
คะแนนเต็ม 10
ให้ 9.5 ค่ะ ขอหักเรื่องอาหารค่ะ อยากให้เพิ่มเมนูให้หลากหลายมากยิ่งขึ้นค่ะ
ขากลับไทย กลับอย่างไร
หนูกลับกับเพื่อน ๆ เรียก Grab จากที่โรงเรียนไปถึงสนามบินเลยค่ะ สะดวกมาก ๆ
ถ้าได้กลับไปเรียนอีกจะเลือกก้อปันกันให้ดูแลไหม
เลือกเหมือนเดิมค่ะ เพราะว่าเรารู้แล้วต้องทำอะไร อย่างไรบ้าง ก็เลือกใช้บริการกับก้อปันกันเหมือนเดิม เพราะจะได้ไม่ยุ่งยากค่ะ
เพิ่มเติมเกี่ยวกับ EV Academy