Oklahoma จังหวะชีวิตแบบสโลวไลฟ์ เมืองนี้มีดีอะไร!

Photo Credit : Justin Prine on Unsplash

Oklahoma เคยได้ยินชื่อนี้มั้ย?

-1-

โอคลาโฮม่า คือ รัฐทางตอนใต้ของอเมริกา ที่จะให้จังหวะชีวิตแบบสโลวไลฟ์สำหรับคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย หลายคนอาจคิดว่าคล้ายกับซีแอทเทิ้ลหรือเปล่า เราขอบอกว่าไม่เลย บรรยากาศชิลล์ๆ ในเมืองนี้มีความเป็นจริงสูงกว่า

ถ้าเปรียบให้เห็นภาพละก็ ซีแอทเทิ้ลเหมือนเชียงใหม่ เต็มไปด้วยร้านกาแฟ ฟู้ดทรัค งานฮิปสเตอร์ และนักท่องเที่ยว ส่วนโอคลาโฮม่านั้นคงจะเหมือนขอนแก่นล่ะมั้ง คือเป็นเมืองเล็กๆน่ารัก ที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ดี ใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริง และมีค่าครองชีพที่ถูกกว่ามาก

-2-

พูดตามตรง หลายคนคงมองว่าที่นี่ ‘บ้านนอก’ หรือเปล่า คำตอบคือไม่เลย จริงอยู่ที่ไลฟ์สไตล์ของชาวเมืองหลายแห่งจะออกไปในทาง ‘คันทรี่’ อันเนื่องมาจากยังคงมีวัฒนธรรมอินเดียนแดงหลงเหลืออยู่อย่างน่าสนใจ แชร์วัฒนธรรมคาวบอยกับรัฐเท็กซัสที่ติดกันอยู่ทางตอนใต้

ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือวิถีชีวิต และรสนิยมของชาวเมืองเท่านั้น เพราะถ้ามองภาพรวมของเศรษฐกิจและความเจริญ ตัวเลขผู้ว่างงานในรัฐนี้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ เป็นรัฐที่ผลิตอาหารได้มากที่สุด แถมยังมีอุตสาหกรรมหนัก อย่างเช่น การผลิตเครื่องบินอยู่ด้วย อ้อ อาหาร ท่องเที่ยว ดนตรี งานอีเว้นท์ มีไม่ขาดนะจ้ะ แต่ยังคงคอนเซ็ปท์ว่าถูกกว่าที่อื่นอย่างน่าใจหาย

-3-

ที่เน้นย้ำความถูกนั้นเป็นเพราะว่า ‘ค่าครองชีพ’ คืออีกหนึ่งปัจจัยหลักที่เป็นตัวตัดสินเลือกเมืองสำหรับศึกษาต่อ คืองี้นะ อย่างน้อยเราไว้ใจได้ว่าระบบการศึกษาในอเมริกาค่อนข้างมีมาตรฐาน หรือถ้าอยากฝึกภาษา การโยนตัวเองเข้ามาในประเทศนี้ก็เหมือนอยู่ในห้องเรียนขนาดใหญ่มากๆแล้ว

ค่าเช่าอพาร์ทเม้นต์ในเมืองนี้อยู่ที่ประมาณ 25,000 บาท/เดือน (เทียบกับเดือนละ 80,000 ในซาน ฟรานซิสโกดูสิ!!!) ค่าอาหารปกติตกมื้อละ 220 บาท ดูหนังเรื่องละ 300 บาท (ถูกกว่าในบ้านเรามั้ย?) ส่วนสถานบันเทิงที่เหลือ อาจไม่ได้ตื่นตาตื่นใจเท่าเมืองใหญ่อื่นๆ อันนี้ก็อยู่ที่ความชอบส่วนบุคคลแล้ว

Photo Credit : Kiy Turk on Unsplash

-4-

ทีนี่ ส่วนใหญ่แล้วความเจริญจะกระจุกตัวอยู่ที่ โอคลาโฮม่า ซิตี้ เมืองหลวงของรัฐโอคลาโฮม่าอีกที มีขนาดประมาณกรุงเทพฯ เรานี่ละ พอหลุดจากตรงนี้ไปแล้ว ภูมิทัศน์อื่นๆ ของเมืองจะเป็นพวกทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตาขนานไปกับท้องฟ้า และมีถนนตัดผ่าน

กลับมาที่ตัวเมือง ที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งซูเปอร์มาเก็ต ตึกสูง โรงเรียน ร้านอาหาร คาเฟ่ และพิพิธภัณฑ์อันขาดไม่ได้ เพราะถือเป็นแหล่งการเรียนรู้ของทุกคนในเมือง ไม่ได้มีไว้ให้เด็กๆ เข้าไปทัศนศึกษาเพียงอย่างเดียว

นอกจากการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายแล้ว อากาศดีๆในเมืองยังเป็นอีกหนึ่งเหตุผลซึ่งทำให้คนที่มาอยู่ที่นี่ติดใจ หน้าร้อนสูงแค่ 27 องศาเซลเซียส หน้าหนาวลงไปที่ 4 องศาเซลเซียส คือไม่ร้อนและไม่หนาวเกินไป ไม่มีหิมะมากวนใจเวลาเดินทาง ยกเว้นทางตอนเหนือส่วนที่ติดกับรัฐโคโลราโด้ซึ่งอาจจะมีบ้าง

-5-

คำถามสำคัญ มีอะไรให้ทำบ้างในเมืองนี้? ด้วยความที่ชื่อของเขาไม่ได้ดังเท่า นิวยอร์ก แอลเอ หรือบอสตัน ทำให้คนนอกประเทศมีความรู้เกี่ยวกับโอคลาโฮม่าน้อยมาก แหล่งแฮงก์เอ๊าท์ที่ดังๆ จะอยู่ที่ย่านบริกทาวน์ ตึกต่างๆจะสร้างด้วยอิฐสีส้ม ตอนกลางวันมีคาเฟ่ให้นั่งดูเรือที่แล่นอยู่ในแม่น้ำ พอตกเย็นก็จะเริ่มมีแสงสีจากไฟนีออน ไม่ได้หวือหวามาก แต่สเต็กอร่อยมากกกก ไปลอง!

ถ้าตอนกลางวันพอมีเวลา แนะนำ Museum of Osteology พิพิธภัณฑ์ที่รวมฟอซซิลสิ่งมีชีวิตต่างๆ ของแต่ละยุคเอาไว้ คือไม่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับโลกดึกดำบรรพ์อะไรมากหรอก แต่สวยงามอลังการเหมาะแก่การถ่ายรูปมาก ส่วนใครที่ชอบชีวิตผจญภัยในธรรมชาติ แนะนำ Woolaroc Museum & Wildlife Preserve เลยนะ อธิบายยังไงดี คล้ายๆกับซาฟารีเวิลด์ในบ้านเรา แต่ขยายขนาดให้ใหญ่โตกว่าหลายเท่าตัว มีสัตว์ป่าและนกหายากกว่า 30 ชนิด ไปดูน้องวิ่งเล่นในทุ่งหญ้า เสร็จแล้วเดินเข้าพิพิธภัณฑ์ที่เขาจัดแสดงสิ่งประดิษฐ์โบราณเอาไว้ ดูสิว่าเมื่อก่อนเข้าใช้เครื่องไม้เครื่องมืออะไรในการดำรงชีวิต

-6-

เวลาเจอเพื่อนที่เขาไปเรียนในเมืองอื่นๆ แล้วกลับมาแชร์ประสบการณ์อันมีสีสันของตัวเอง ก็อย่าเพิ่งน้อยใจไปเลย เราว่าแต่ละเมืองมีข้อดีและข้อเสียของตัวเอง จริงอยู่ที่โอคลาโฮม่ามีพายุเข้ามาเยี่ยมบ่อยๆ แต่ชาวเมืองเขาชินกันแล้ว หลังจากหมดหน้าหนาว ชาวเมืองเขาต่างออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ไปดูอเมริกันฟุตบอลที่สนาม หรือเชียร์บาสเก็ตบอลทีมบ้านตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย

คำว่า ‘คนเยอะ’ ในสถานที่สุดฮิต หมายถึงมีจำนวนคนที่เยอะแต่ไม่หนาแน่นอ่ะ ประชากรทั้งเมืองมีประมาณ 6 แสนคน เทียบกับกรุงเทพที่มี 8 ล้านคน! เดินทางสะดวกสบายด้วยรถสาธารณะ หรือรถยนต์ส่วนตัวของเพื่อน หรือโฮสต์ เฉลี่ยแค่ 20 นาทีจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง ที่นี่มีวัฒนธรรมอันหลากหลาย ทั้งอินเดียนแดง คาวบอย หรือแบบอเมริกันชนทั่วไป สิ่งนี้หรือเปล่าที่จะเป็นประสบการณ์นอกห้องเรียน นอกบ้าน ช่วงเวลาของการเรียนรู้ก่อนกลับไปทำงานในที่ที่เราจากมา

เราอยากอยู่ในเมืองที่คนเยอะๆ ตอนกลางวันไปเที่ยวดิสนี่แลนด์ ตอนกลางคืนไปกินพิซซ่า วนไปวนไป เท่านี้จริงๆเหรอ? ถ้ามีโอกาสตัดสินใจได้ไม่มาก ก็ลองคิดดีๆ

เรียนต่ออเมริกาใน Oklahoma

Oklahoma City University ตั้งอยู่ใน Oklahoma City ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐโอคลาโฮมา ทางมหาวิทยาลัยมุ่งเน้นในการนำพานักเรียนไปให้สุดขอบทางความคิดสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้นักเรียนจากทั่วโลกได้ทำตามความฝันของตนเอง จึงนับได้ว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการเรียนรู้ ทั้งด้านการเรียนเชิงวิชาการและการใช้ชีวิต สำหรับหลักสูตรการเรียน ก็มีให้เลือกเรียนครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง(ESL) ปริญญาตรี และปริญญาโท

เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Oklahoma City University คลิกที่นี่