รีวิว เรียนหลักสูตร ESL ที่แคนาดา
กับสถาบัน Tamwood โดย เน็กซ์
รบกวนแนะนำตัวหน่อยค่ะ
ชื่อเน็กซ์นะคะ ณัฏฐ์ชุดา คงสอดทรัพย์ เป็นอดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะนิติศาตร์ค่ะ
ทำไมถึงตัดสินใจไปต่างประเทศ
ตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังจะจบปี 4 ค่ะเป็นช่วงโควิดพอดี ทำให้มีแต่เรียนออนไลน์ที่บ้าน เลยทำให้รู้สึกว่าถ้าเรียนอยู่ที่ไทยต่อก็คงไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยอยู่ดี เลยตัดสินใจว่าจะเร่งให้เรียนจบไวขึ้นหน่อย คือ จบภายใน 3 ปีครึ่งแทน แล้วเอาเวลาไปหาประสบการณ์ข้างนอกดีกว่า ประกอบกับมีความรู้สึกว่าอยากไปต่างประเทศอยู่แล้ว ก็เลยลองเสิร์ชหาดูว่ามีประเทศไหนที่พอจะไปได้ในช่วงโควิด และได้เรียนแบบ on site ด้วย แล้วแคนาดาก็ตอบโจทย์พอดีค่ะ
ก่อนไปที่แคนาดาระดับภาษาอังกฤษของเราเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนเรียนที่มหาวิทยาลัยเราก็มีเรียนภาษาอังกฤษบ้าง แต่มีเรียนแค่ 2-3 คลาสเท่านั้นเอง ว่ากันตรงๆ คือ แทบจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย ภาษาอังกฤษแทบจะเป็นศูนย์ คือแกรมม่าเราพอได้บ้าง ฟังพูดพอได้บ้างแต่ไม่ได้คล่อง
ตอนนั้นทำไมถึงเลือกไปเรียนที่แคนาดา และไปเรียนที่ไหน
เน็กซ์ตัดสินใจเลือกที่จะไปเรียนที่ Tamwood Language Centres เมือง Toronto ประเทศแคนาดา ในหลักสูตร ESL เป็นระยะเวลา 6 เดือนค่ะ ที่จริงแคนาดาไม่ใช่ตัวเลือกแรก แต่เพราะว่าตอนนั้นเป็นช่วงรอยต่อของช่วงโควิดพอดี และแคนาดาเองก็ไม่เคร่งเรื่องข้อจำกัดการเข้าประเทศเท่าออสเตรเลีย ก็เลยเลือกมาเป็นที่แคนาดา
ส่วนเหตุผลที่เลือก Toronto เป็นเพราะว่าเมืองนี้ค่อนข้างจะเปิดกว้างด้านวัฒนธรรม และเป็นศูนย์รวมของนานาชาติ ด้วยความที่ตอนนั้นมีข่าวการเหยียดเชื้อชาติเยอะมากๆ เราเลยพยายามเลือกเมืองที่มีความหลากหลาย มีนักเรียนต่างชาติไปเยอะ ประกอบกับเน็กซ์อยากฝึกภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุด เลยเลือกที่จะไปเมืองที่มีคนไทยอยู่น้อยค่ะ และที่ Toronto เองก็มีอากาศหนาวเย็นด้วย ต่างจากที่ประเทศไทยดี คิดว่าเราน่าจะได้พบเจอกับบรรยากาศใหม่ๆ แคนาดาเลยถือเป็น Choice ที่ดีมากๆ ในตอนนั้นค่ะ
การเรียนการสอนที่ Tamwood Language Centres เป็นอย่างไรบ้าง
ที่นี่เป็นโรงเรียนเล็กๆ ค่ะ เขาค่อนข้างจะเน้นหลักสูตรเรียน 6 เดือน และทำงาน 6 เดือน ส่วนเรื่องหลักสูตรการเรียนภาษาอังกฤษ หลักๆ จะมี 3 ระดับให้เลือก ช่วงเช้าจะเรียนตั้งแต่ 8 โมง 45 นาทีถึงเที่ยง จะเน้นเป็นการเรียนแกรมม่า ส่วนในตอนบ่ายจะเรียนตั้งแต่เวลาบ่ายโมงถึงบ่าย 2 โมง 45 นาที จะเน้นเป็นการเรียน Speaking และถ้าใครลงเรียน Intensive เพิ่ม ก็จะเรียนตั้งแต่บ่าย 3 จนถึง 4 โมงเย็นค่ะ จะมีการสอบทุกอาทิตย์ขึ้นอยู่กับแต่ละเลเวลด้วย และถ้าสอบออกมาแล้วคิดว่าระดับภาษาของเราไม่แมชต์กับเลเวลที่ได้ เราก็สามารถพูดคุยกับอาจารย์และขอปรับได้ค่ะ อาจารย์ที่นี่ค่อนข้างมีความใส่ใจและรับฟังความคิดเห็นของนักเรียนด้วย แต่ว่าพอมีการปรับเปลี่ยนเลเวลในการเรียน อาจารย์ก็จะถูกปรับเปลี่ยนไปด้วย ทำให้อาจมีการผลัดเปลี่ยนอาจารย์และอาจไม่ต่อเนื่องไปบ้าง
สังคมใน Tamwood Language Centres เป็นอย่างไรบ้าง มีคนไทยเยอะไหม?
ในตลอด 6 เดือนที่ผ่าน เราโชคดีมากเพราะเราเป็นคนไทยคนเดียวที่นั่น เลยทำให้ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเลย ช่วงนั้นภาษาก็จะพัฒนาเยอะขึ้นหน่อย แต่ว่าช่วงที่เราไปมีนักเรียนจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีเยอะมาก ทำให้บางครั้งเพื่อนๆ ก็จะชอบคุยภาษาประจำชาติตัวเองกันเป็นเสียส่วนใหญ่ และบางครั้งเวลาเรียน พอไม่เข้าใจอะไร อาจารย์ก็จะเสริมด้วยการอธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วย พอเขาพูดภาษาบ้านเกิดมากกว่าภาษาอังกฤษกันเยอะๆ เข้า ทางโรงเรียนก็รับทราบเรื่องนี้และมีการออกกฏเพื่อป้องกันขึ้นมา มันก็พอจะช่วยได้บ้าง แต่ว่านอกจากเรื่องนี้แล้ว สังคมที่นั่นก็มีการช่วยเหลือกันดีค่ะ เราก็ไป hang out กับเพื่อนบ่อย พากันไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ไปเที่ยวด้วยกันบ้าง
ทางโรงเรียนมีกิจกรรมอะไรสนุกๆ ให้ทำบ้างไหม
ก็จะมีวันปาร์ตี้ประจำทุกๆ เดือน และในทุกๆ วันพฤหัสฯสุดท้ายของเดือนในโรงเรียนจะเป็นปาร์ตี้ที่คนที่เรียนหลักสูตร Career Part กับ ESL มาเจอกัน พูดคุยภาษาอังกฤษด้วยกัน มันก็ช่วยให้สังคมเรากว้างขึ้น จริงๆ ที่นี่ก็มีกิจกรรมให้ทำเยอะมากๆ ทางโรงเรียนจะมีปฏิทินมาให้ด้วยว่ามีงานอะไร
ส่วนอีกอันก็คือ International Night งานนี้ก็จะมีนักเรียนจากโรงเรียนอื่นมาด้วย หรือมีทัวร์ที่ทาง Tamwood เป็น Partner ด้วย ก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รู้จักกับเพื่อนๆ ชาติอื่น แล้วก็ได้ใช้ภาษามากขึ้น ก็มีทั้งงานที่เป็นงานฟรี และงานที่ต้องจ่ายเงินเองบ้างเหมือนกัน แต่ก็อยากจะแนะนำทุกคนว่านอกจากงานกิจกรรมของโรงเรียน การไปหาประสบการณ์จากกิจกรรมข้างนอกด้วยก็ดีเหมือนกัน
แล้วพวกการใช้ชีวิตอื่นๆ นอกจากห้องเรียนเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรแตกต่างจากบ้านเราบ้างไหม
โตรอนโต้เป็นเมืองที่มีขนส่งสาธารณะที่ดีนะคะ ผังเมืองก็ดีทำให้ง่ายต่อการเดินทาง รถไม่ติด สามารถวางแผนกะเวลาที่แน่นอนได้ แต่ก็จะมีเรื่องการประท้วงหยุดงานเพื่อขอขึ้นค่าแรงของแรงงานที่นั่นบ่อยอยู่เหมือนกัน ทำให้บางครั้งเราไม่สามารถไปไหนได้เท่าที่ควร เรื่องระบบการจ่ายเงินก็ทำได้สะดวก เพราะใช้แค่บัตรเดบิตอย่างเดียว ไม่ต้องใช้เงินสดก็ได้
สิ่งหนึ่งที่คนไทยอาจจะไม่ค่อยชินคือ เรื่องของการให้ทิป ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่สำคัญทำให้เราต้องคำนวนเงินในการใช้จ่ายนอกเหนือจากราคาปกติด้วย ซึ่งที่ Toronto ภาษีจะค่อนข้างสูงถึง 13 เปอร์เซ็นต์เลยถ้าเทียบกับรัฐอื่น ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องประตูห้องน้ำที่ค่อนข้างจะสูงจากพื้นเยอะ จนเกือบถึงเข่าและก็จะมีช่องว่างระหว่างประตูนิดนึงที่พอเรานั่งเข้าห้องน้ำอยู่ เราสามารถมองลอดผ่านไปช่องนั้นได้ ก็จะเห็นคนที่อยู่ด้านนอก ทำให้แรกๆก็ไม่ชินเหมือนกัน แล้วก็เรื่องของไฟจราจรที่ต่างจากบ้านเรา อย่างบ้านเราจะเป็นไฟเขียวและไฟแดง แต่บ้านเขาจะเป็นไฟขาวและไฟแดงแทน
การไปเรียนช่วงโควิด หลายคนกังวลเรื่องการโดนเหยียดเชื้อชาติค่อนข้างมาก เน็กซ์เคยเจอบ้างไหม
เรื่องการเหยียดเชื้อชาติก็มีอยู่บ้าง เคยโดนตอนไปเดินที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีๆ แล้วเขาก็มาตีเรา แต่เอาจริงๆ เราก็ไม่ใช่คนเดียวที่โดนเพราะเพื่อนที่เป็นเอเชียนด้วยกันก็โดนเหมือนกัน แต่ไม่ได้เจอเยอะเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ผู้คนก็ค่อนข้างเป็นมิตรมาก เราสามารถพูดคุยกับคนแปลกหน้าได้ตลอด บางทีเดินๆ อยู่ เขาก็เข้ามาชม มาคุยเล่นก็มี
ได้ข่าวว่าตอนที่ไปได้ไปอยู่กับโฮสต์ด้วย การอยู่กับโฮสต์เป็นอย่างไรบ้าง
เราโชคดีมากที่เจอโฮสต์ดี เขาก็จะช่วยดูแลเรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร 2 มื้อ และเรื่องซักผ้าให้กับเรา เราก็มีหน้าที่แค่ดูแลเรื่องอาหารกลางวันเอง แต่ถ้าเราแยกไปอยู่เองแบบแชร์เฮาส์กับคนอื่น พวกค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหารเราก็ต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด 100 เปอร์เซ็น
โดยรวมๆ แล้ว ค่าใช้จ่ายในการไปอยู่แคนาดาต่อเดือน ตกอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่
ถ้าตีเป็นตัวเลขกลมๆ ค่าเช่าบ้านถ้าอยู่ในเมืองหน่อยๆ ก็เทียบเป็นเงินไทยได้ประมาณ 30,000 บาท แต่ก็จะเป็นแบบมีห้องน้ำ ห้องนอนส่วนตัวนะคะ ไม่รวมค่ากิน ค่าอยู่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่คิดว่ารวมๆ แล้วต่อเดือนน่าจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท อันนี้คำนวนแบบหลวมๆ นะ รวมพวกค่าเดินทางและเผื่อกรณีฉุกเฉินด้วย
หลังจากไปอยู่มา 6 เดือน ถ้าให้ลองเปรียบเทียบ คิดว่าภาษาอังกฤษเราพัฒนาขึ้นมามากน้อยขนาดไหน
ก็รู้สึกว่ามั่นใจขึ้นมากๆ นะคะ ที่พัฒนามากๆ ก็จะเป็น Listening คือเราฟังได้เยอะจับใจความได้มากขึ้น แต่ด้วยความที่ 6 เดือนก็ไม่ใช่เวลาที่มากขนาดนั้นที่จะสามารถเก็บได้ทุกสกิล บางอย่างเราเลยอาจจะไม่ได้พัฒนาไปเยอะมาก แต่ถ้าเป็นการฟังพวกเรื่องราวประจำวัน ตอนนี้เราไม่ต้องพึ่งพาซับไตเติ้ลเลย
แล้วการบริการของก้อปันกันเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนก่อนที่จะไปเราก็เสิร์ชหาข้อมูลจาก Facebook และ YouTube ประกอบการตัดสินใจอยู่เรื่อยๆ แล้วก็ได้เจอกับก้อปันกัน ตอนนั้นเราก็เช็ค Content ในเพจว่ามีการติดตามนักเรียนมากแค่ไหน มีการอัพเดท มีการแอคทีฟมากแค่ไหน ตอนทักไปถามข้อมูล เขาตอบมาโอเคไหม จริงๆ ตอนแรกก็ไม่ได้คุยกับก้อปันกันแค่เจ้าเดียว แต่พี่แอดมินของก้อปันกันเองก็ตอบดีมาก ตอบทุกคำถาม ตอบละเอียด ประกอบกับตอนนั้นเป็นช่วงสถานการณ์โควิดพอดี แต่ก้อปันกันก็อัพเดทข้อมูลตลอด ทำให้เรารู้สึกว่าเราจะไม่โดนทิ้งเคสแน่ๆ
ส่วนตอนไปอันนี้ประทับใจมาก คือพอเราไปถึงที่นั่น เราโดน Immigration ถามเรื่องวีซ่าอะไรสักอย่างซึ่งตอนนั้นถ้าเทียบเวลาที่ไทย มันเป็นเวลาประมาณตี 3 หรือ 4 ซึ่งตอนนั้นเราไลน์มาหาก้อปันกันอย่างเร่งด่วนมาก แต่พี่กันต์จากก้อปันกันก็ตอบค่ะ พอเรียนไปได้สักพักพี่กันต์ก็มีไปธุระที่แคนาดาเลยได้ไปเจอกันที่นั่น เขาก็มีการถามไถ่อยู่เรื่อยๆ ว่าเป็นอย่างไร ปรับตัวได้ไหม
นอกจากนี้ก็รู้สึกว่า เวลาเราไลน์ไปถามอะไร เราก็จะได้คำถามกลับมาภายในไม่เกิน 1 วัน เลยรู้สึกว่าการบริการโอเคมากๆ แล้วก็มีการตามเช็คฟีดแบคอยู่เรื่อยๆ ดูแลดีทั้งก่อนและหลังไป
ถ้าสมมติมีคนเขาสนใจอยากไปเรียนที่แคนาดา หรือว่าที่ Tamwood Language Centres เรามีคำแนะนำอะไรที่อยากให้เขารู้ก่อนมั้ย
อยากให้ทุกคนเช็คระดับภาษาตัวเองก่อนไปเลยว่าเราอยู่ระดับไหน และ Set Goal เลยว่าอยากจะพัฒนาไปถึงระดับไหน พอทำเสร็จก็ไปเลือกโรงเรียนเลยว่าตรงกับความต้องการเราไหม เพราะบางครั้งโรงเรียนอาจจะไม่ได้ตรงกับความต้องการของเรา อย่างถ้าเราอยากพัฒนาทุกสกิลใช่ไหมคะ บางทีการไปโรงเรียนใหญ่ๆ ที่มันมีหลายๆ เลเวลก็อาจจะตอบโจทย์มากกว่า
พวกการเลือกเมืองก็มีผลกับการใช้ชีวิตและบัดเจ็ดเหมือนกัน ถ้าอยากอยู่เมืองที่กินอยู่ง่ายหน่อยก็แนะนำเป็น Vancouver แต่ถ้าเป็น Toronto ก็จะค่อนมีความเป็นเมือง และค่อนข้างเย็น อาจจะต้องควรเช็คสุขภาพก่อนว่าถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว เราจะอยู่ไหวไหม
ช่วงเวลาในการเลือกไปเรียนก็สำคัญเช่นกันนะ เพราะถ้าเราอยากได้เพื่อนโซนเอเชียก็ควรไปช่วงต้นปีถึงประมาณเดือนมิถุนายน ก็จะเจอเพื่อนคนเกาหลีและญี่ปุ่นเยอะ อายุประมาณ 22-28 ปี แต่ถ้าหลังจากนั้นไปจนถึงช่วงปลายปีก็จะเป็นฝั่งยุโรปแล้วและก็เป็นฝั่งบราซิล ส่วนใหญ่ฝั่งยุโรปจะเป็นเด็กอายุประมาณ 15-16 ปี ส่วนบราซิลก็จะประมาณ 28-30 ปี คือถ้ามีแพลนอยากจะไปประเทศเหล่านั้นในอนาคต เดินทางไปเรียนช่วงนั้นก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเหมือนกัน
การเดินทางไปเรียนต่างประเทศครั้งนี้ มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปบ้าง
ถึงแม้จะไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมด แต่ชีวิตที่อยู่ที่นั่นก็แฮปปี้มาก เรารู้สึกว่าโตขึ้นเยอะมากๆ เพราะต้องใช้ชีวิตคนเดียว ต้องคอยคิดว่าจะหาเพื่อนยังไง จะเอาตัวรอดยังไง แต่การไปที่นั่นก็ทำให้รู้สึกว่าโลกกว้างขึ้นค่ะ
สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับ Tamwood Language Centres
ติดต่อเราได้ที่ LINE OA : @korpungun
เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Tamwood – คลิก