[รีวิว] เรียนหลักสูตร Hospitality – Hotel and Restaurant Services Management ที่แคนาดา กับสถาบัน Seneca โดยคุณน้ำหวาน

รีวิว เรียนหลักสูตร Hospitality
Hotel and Restaurant Services Management ที่แคนาดา

กับสถาบัน Seneca โดยคุณน้ำหวาน

อะไรทำให้ตัดสินใจมาเรียนต่อที่แคนาดา?

จริง ๆ หวานเป็นคนชอบวัฒนธรรมฝั่งอเมริกาเหนืออยู่แล้วค่ะ แล้วก็ถ้าเราคิดเรื่องเรียนต่อ ไหน ๆ เราก็ออกมาจากประเทศแล้ว ก็อยากมาเรียนรู้อะไรที่มันไกลตัวเราบ้าง เพราะฝั่งออสเตรเลียค่อนข้างมีประชากรไทยเป็นบางกลุ่มอยู่แล้ว แต่ในกลุ่มตัวเลือกการเรียน อเมริกาและแคนาดาน่าสนใจสำหรับนักเรียนต่างชาติ หนูก็พยายามศึกษาข้อมูลทางด้าน Hospitality ทางฝั่งแคนาดาเขาสนับสนุนคนทำงานทางด้านการบริการอยู่แล้ว เรื่องระบบทิปต่าง ๆ มันทำให้เราชอบวัฒนธรรมฝั่งอเมริกาเหนือ เลยทำให้เราอยากลองมาใช้ชีวิตที่นี่ดูค่ะ

ทำไมถึงเลือกเรียน หลักสูตร Hospitality – Hotel and Restaurant Services Management ที่ Seneca college?

จริง ๆ ด้วยความที่ไม่รู้จักใครที่แคนาดา ทำให้เราต้องมาเริ่มต้นใหม่ด้วยตัวเองทุกอย่าง เราเลยมองว่าถ้ามาเมืองใหญ่อย่างโทรอนโต หวานว่าโอกาสที่หวานจะได้งานสาย Hospitality มันค่อนข้างสูง เพราะมันเป็นเมืองท่องเที่ยว เป็นเมืองเศรษฐกิจของแคนาดาอยู่แล้ว แล้วก็พอเราสโคปว่าอยากมาโทรอนโต เราเลยค้นหา college ต่าง ๆ และ Seneca เขาก็มีโปรแกรม Hotel and Restaurant Services Management มันก็จะยิ่งเจาะลึกทางด้านโรงแรมและร้านอาหาร เพราะถ้าเป็น college บางที่ เขาจะรวมเป็น Tourism ด้วย ซึ่งมันอาจจะครึ่งหนึ่งเป็น Hospitality อีกครึ่งหนึ่งเป็น Tourism ซึ่งตัวหวานเองไม่ได้มองด้าน Tourism เป็นหลัก แต่หวานมองด้าน Hotel management เป็นหลัก ก็เลยเลือกลงโปรแกรมนี้ของ Seneca ค่ะ

การเรียนการสอนในหลักสูตรนี้ได้เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้างคะ?

ด้วยตัวที่เลือกมาเป็น Diploma เขาจะเริ่มจากพื้นฐานตั้งแต่ความรู้ของโรงแรมและร้านอาหาร ถ้าทางฝั่งร้านอาหาร สอนตั้งแต่ Food and Beverage/ Wine spirit/ Wine pairing แต่ถ้าทางฝั่งการโรงแรม จะสอนตั้งแต่ Category ของโรงแรม แต่ละแผนก การบริหารหรือตัวธุรกิจโรงแรมเขามีการจัดการกันยังไง เริ่มตั้งแต่เบื้องต้นเลยค่ะ ค่อนข้างง่ายสำหรับคนที่ไม่ได้มีความรู้มาก่อน เพราะว่าหวานก็ย้ายสายงานมาฝั่ง Hospitality ไม่ได้มีความรู้มาก่อน และเขาก็เสริมด้าน marketing/ sales/ accounting ที่มันsupport ธุรกิจทั้งทางฝั่งโรงแรมและร้านอาหาร มันก็ทำให้เวลาเราจบไป ไม่ใช่แค่ดูแลทางฝั่งร้านอาหารอย่างเดียว เราอาจจะเป็น นักขายหรือนักการตลาดให้กับโรงแรมก็ได้ แต่ว่าอย่างน้อยเราได้เรียนรู้ระบบการทำงานทั้งหมดของทั้งโรงแรมและร้านอาหาร แล้วก็อันนี้คือจุดเด่นอย่างนึง พอเราเรียนไปได้ประมาณ 1 ปี Seneca จะมีให้เลือกว่าเราอยากเน้นไปทางสายไหน มันจะมีตั้งแต่ฝั่ง Housekeeping Management และ Wedding & Event Planning หวานเลือกฝั่ง Wedding เราได้เรียนรู้ลึกลงไปถึงการทำ Wedding planner หรือการจัดการฝั่ง Event ต่าง ๆ ถ้าเทียบกับที่อื่น มันค่อนข้างครอบคลุมทั้งหมดสำหรับคนที่สนใจด้าน Hospitality โปรแกรมนี้เป็นหลักสูตร 2 ปี และฝึกงาน 6 เดือน มันดีตรงที่ว่าพอเขามีบังคับฝึกงาน ทำให้นักเรียนต้องบังคับตัวเองให้ไปลองหางาน ทำงานและเรียนรู้งานในสายนี้แบบจริงจัง ซึ่งเราก็ต้องเตรียมโปรไฟล์ตัวเองระหว่างเรียนให้มีประสบการณ์ค่ะ

ตอนฝึกงานทางโรงเรียนมีการ support เรามากน้อยแค่ไหนคะ?

Seneca จะมี Seneca work เป็นตัวแพลตฟอร์มที่รวบรวมบริษัทที่เป็น partner กับ Seneca ว่ามีที่ไหนที่เปิดรับตำแหน่งงานบ้าง และเขาก็ช่วยให้คำแนะนำเรื่องการทำ Resume/Cover letter ด้วย เหมือนเป็นแพลตฟอร์มหลักในการช่วยนักเรียนหางาน บางครั้งก็จะมีให้เข้าร่วม session จำลองการสัมภาษณ์งาน เขาก็จะบอกเราว่า อะไรควรปรับอะไรควรแก้

นอกจากแพลตฟอร์มช่วยหางาน Seneca college มีบริการอะไร Support นักเรียนอีกบ้างคะ?

นอกจาก Seneca work หลัก ๆ ก็จะมี Service Hub อันนี้ช่วยนักเรียนได้เยอะพอสมควรเลยค่ะ เพราะว่าเหมือนเขาจะมี station ที่จะคอยให้บริการหรือเอาไว้ตอบคำถามนักเรียน อันนี้เป็นหนึ่งในแผนกที่หวานทำตอนที่ทำพาร์ทไทม์เป็นพนักงานใน Seneca เราคอยช่วยเหลือตั้งแต่นักเรียนเดินเข้ามาถามข้อมูล วิธีลงทะเบียนเรียน การเปลี่ยนโปรแกรม การดรอป หรือขอเอกสารเปลี่ยนวีซ่าต่าง ๆ ซึ่ง station มีทุกแคมปัสค่ะ สะดวกมาก ๆ และเขาก็มีไลฟ์แชทด้วย และก็มี immigration specialist ที่คอยให้คำปรึกษาในการต่อวีซ่า ทุกอย่างที่เกี่ยวกับ immigration เลยค่ะ รวมถึงกฎต่าง ๆ ที่มีการอัปเดต เราสามารถสอบถามเขาได้หมดเลย เช่นล่าสุดแคนาดามีกฎใหม่ที่นักเรียนสามารถทำพาร์ทไทม์จาก 20 เป็น 24 ชั่วโมง เขาก็จะมาคอยอัปเดต และก็จะมีบริการ One on one consultant ด้วย ในกรณีที่เคสเรามีความซับซ้อน เขาก็จะช่วยดูได้ เป็นบริการฟรีทั้งหมดค่ะ เพราะรวมในค่าเทอมหมดแล้ว และเรายังสามารถปรึกษา immigration ได้ต่อหลังจากจบไป 2 หรือ 3 ปีนี่แหละค่ะ เขาก็ยังให้บริการแก่ Alumni อยู่ สามารถเข้ามาสอบถามได้เลย และเขาก็มี specialist ที่ช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับคนที่อยากเรียนและสมัคร PR โดยเฉพาะ หวานคิดว่าไม่ได้มีทุก college เขาช่วยให้ความรู้และตอบคำถามเราให้เคลียร์ได้ค่ะ กฎต่าง ๆ มันอัปเดตทุก 3-6 เดือนเลย หวานว่ามันช่วยได้เยอะค่ะ

ช่วยแชร์ประสบการณ์การหางานและการทำงานที่โทรอนโตได้ไหมคะ?

ของหวานเริ่ม internship ตั้งแต่ช่วง พ.ค. แต่ว่าบางที่ จะเปิดตั้งแต่ ธ.ค. ปีก่อนหน้า คือหวานมีเวลา 1 เทอมในการหางาน ถ้าเป็นทางฝั่ง Hospitality & Tourism เขาจะมี Career fair ให้ด้วย แต่หวานสมัครงานและได้งาน ก่อนที่ทาง partner ของ Seneca จะติดต่อมา เป็นงานในโรงแรมทำแผนก Food & Beverage ฝึกตั้งแต่ดูแล Breakfast, Room service, Banquet และ Bar เป็น Server ที่ถูก rotate ไปทุก section เลยค่ะ เพราะพอเราเป็น Intern เขาจะให้ฝึกทุกตำแหน่ง ทาง Seneca ระบุไว้เลยว่าต้องเป็น Paid-internship เท่านั้น และเก็บชั่วโมงตามที่หลักสูตรกำหนดเลยค่ะ

ตอนหางานหนูใช้เกือบทุกแพลตฟอร์มเลย แต่หลัก ๆ ที่สมัครเยอะคือ เว็บไซต์ตรงของบริษัทเลยค่ะ แล้วก็บางคนเขาได้จาก recruitment agency ก็มีนะคะ เหมือนกับ HR เขามี connection กับ employer แล้วเขามาหาเด็ก แต่ถ้าอย่างของหวานใช้ Indeed กับ Company website ถ้าเป็น walk-in โอกาสน้อยมากที่จะได้งาน ส่วนร้านอาหารไทยเราไม่ได้มี connection เลยฝาก resume ไว้กับพี่ ๆ ร้านอาหารไทยบางร้าน แล้วเขาสนใจเลยเรียกไปทำ แต่ที่งานโรงแรมหนูสมัครผ่านเว็บไซต์ตรงและเรียกสัมภาษณ์เจอตัวเลยค่ะ

ส่วนตัวคิดว่าการหางานในสาย Hospitality มีความยากมากน้อยแค่ไหนคะ?

จริง ๆ ต้องบอกว่าค่อนข้างยากในช่วงเริ่มต้น เขาให้ความสำคัญกับ Canadian experience อยู่แล้วค่ะ และก็เรื่อง Reference ก็สำคัญ ถ้าระหว่างเรียนสามารถทำโปรไฟล์ให้ตัวเองมีประสบการณ์ได้ระหว่างเรียน มันก็อาจจะมีข้อได้เปรียบในส่วนการฝึกงาน อย่างของหวานตอนมาแคนาดา ไม่ได้มี connection เลยเริ่มจากงานเสิร์ฟในร้านอาหารไทยก่อน และก็เริ่มขยับมาทำงานใน campus เป็น student support ทำให้มีทักษะด้าน customer service เพิ่มขึ้นมา และเราก็ได้ทำงานภายใต้สถาบันการศึกษา มันยิ่งทำให้โปรไฟล์เราดีขึ้นในการสมัครงานโรงแรม ฝั่ง Hospitality จะสนใจแค่เรื่อง ประสบการณ์ และ Reference เอาจริง Reference อาจจะไม่ได้มากเท่า แต่ถ้ามีคน refer ให้ โอกาสในการได้งานก็เยอะขึ้น อย่างน้อย ๆ ถ้ามีโอกาสในการหางาน part-time ทำระหว่างเรียนได้ก็จะดีมากเพื่อเก็บประสบการณ์สำหรับ intern อย่างหวานไม่ได้ทำโรงแรมมาก่อน แต่เรามีงานร้านอาหารที่สั่งสมประสบการณ์มาเป็นปี และทำงานกับ Seneca ด้วยในฐานะ Student support เลยทำให้ได้งาน intern เร็วกว่าคนอื่น ๆ เขามีเวลาให้หางานตั้งแต่ ม.ค.-เม.ย. ช่วงเดือน ก.พ. หวานได้งานแล้ว คือเหนื่อยเหมือนกันค่ะด้วยความที่เรามีประสบการณ์แค่ร้านอาหาร แต่ไม่มีประสบการณ์ในโรงแรมเลย โชคดีมากที่ที่นี่เขาให้โอกาส ฝึกอีกเดือนกว่า ๆ ก็ใกล้จะจบแล้ว ตอนนี้ก็ทำเรื่องต่อสัญญาอยู่ค่ะ

ช่วยเล่าประสบการณ์การทำงาน Hospitality ให้ฟังได้ไหมคะ มีลักษณะงานจริงเป็นยังไง?

หนูเคยทำงาน 7 วันยาว งานที่โรงแรมเป็นงาน active ที่ต้องเดินยกของเสิร์ฟ แล้วพอเราเพิ่มร้านอาหารไทยที่เราเคยทำไว้ ค่อนข้างล้าสุด ๆ พอทำไปได้สักพักนึงก็เลยอยากเน้นทางด้านโรงแรมจริงจัง และเพิ่มวันหยุดให้ตัวเอง อยากใจดีกับตัวเองบ้าง เพราะก่อนหน้านี้เราใจร้ายกับตัวเองมาก เพราะพอเราได้ทำ Full-time 5 วันที่โรงแรม ลงร้านอาหารอีก บางทีตื่นตี 5 ไปทำโรงแรม 6 โมงครึ่ง เลิกบ่ายสามไปทำร้านอาหารต่อ 5 โมงเย็นเลิก 4 ทุ่ม และมันเป็นแบบนี้มันเลยไม่ไหวจริง ๆ ค่ะ

จริง ๆ มันเป็นสิ่งที่หวานชอบตั้งแต่อยู่ที่ไทยแล้ว แต่เราทำมันเป็นงาน part-time สนุก ๆ ระหว่างเรียนเฉย ๆ แต่พอเรามาตรงนี้ หนูรู้สึกว่ามันเติมเต็มตัวเราเองมากที่เราทำให้คนอื่นมีความสุข ทำให้คนอื่นยิ้มในสิ่งที่เราตั้งใจทำให้ เขาขอบคุณเรา เขาเห็นว่าเราใส่ใจจริง ๆ เพราะเราอยากจะดูแลให้เขาแฮปปี้ เพราะว่าอย่างบางทีเราทำงานในโรงแรมเจอลูกค้ามาจาก London หรือ USA เขาไปเที่ยวมาเหนื่อย ๆ และเขาได้เครื่องดื่มและได้การดูแลจากเรา แล้วเขาแฮปปี้ และเขามีค่ำคืนที่ดี กลายเป็นว่ามันเติมเต็มหนูมาก ๆ ตั้งแต่หนูย้ายมาเรียนด้านนี้ เราอาจจะเจอลูกค้าแย่ ๆ บ้าง แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งดีดีที่เราได้เจอ

เพื่อนร่วมงานตอนหนูอยู่โรงแรม เจอเพื่อนหลากหลายเชื้อชาติมาก เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ศรีลังกา อินเดีย แคนาดา มีโอกาสได้ทำงานกับคนหลายเชื้อชาติ ได้เห็นสไตล์การทำงานของคนเยอะมาก มันก็สนุกดีนะคะ ได้เรียนรู้ว่าสไตล์การทำงานของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย มีวิธีการดูแลลูกค้าที่ไม่เหมือนกัน การตัดสินใจในแต่ละสถานการณ์เขาก็คิดคนละแบบกัน อย่างคนไทยเราจะค่อนข้างประนีประนอมมาก ในเรื่องของ Hospitality เราจะยอมได้ ถ้าเราทำให้ได้ แต่บางเรื่องเขาไม่ยอมกันจริง ๆ เขามองว่ามันเป็นสิ่งที่เขาทำกันมา อย่างเช่น ธรรมเนียมการให้ทิปฝั่งแคนาดาและอเมริกา เขาจะมีธรรมเนียมเรื่องการคิดเงิน ถ้ามานั่งกินที่ร้าน 6 คน เราจะต้อง Autograts ไปเลยในบิล ภาษาบ้านเราคือ service charge ไปเลยโดยไม่คิดทิปเพิ่ม อย่างบางทีเราจะหยวน ๆ แล้วแต่ลูกค้าจะทำยังไงก็ได้ แต่หัวหน้าเราไม่ได้ ลูกค้าต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมทิปแบบนี้ เราแจ้งคุณเพื่อให้คุณเข้าใจตั้งแต่แรก ไม่สามารถปรับให้ตามใจลูกค้าแต่ละคนได้ การทำงานของเขามันดีตรงที่มีความเด็ดขาด แต่ก็สนุกดีค่ะ มันทำให้เราได้รู้ว่าต้องเรียนรู้อีกเยอะ ได้เรียนรู้ระบบต่าง ๆ ของโรงแรม หนูก็ไม่รู้ว่าจะไปจบตรงไหนของ Hospitality อย่างหวานเริ่มฝึกงานจากร้านอาหารมา แล้วมาทำงานกับ Seneca ต่อด้วยทำงานโรงแรม และก็มีอีกหลายจุดที่เราอยากไปลอง อย่างคาสิโน เรือสำราญ หรืออะไรที่มันสามารถขยายสายงานเราให้มีประสบการณ์ครอบคลุม หรืออาจจะไปลองฝั่ง Wedding organization เพราะว่าตอนเรียนสนุกมาก เวลาทำแพลน อาจารย์ทำให้เราได้เห็นการทำงานเสมือนจริง ฟีลแบบเป็น restaurant simulator ให้เราลองเข้าไปบริหาร และตัวโปรแกรมที่เป็น partner กับ Seneca เขาจะมี assignment ให้ เพื่อเอาไปเป็นคะแนนเราและตัดเกรด เข้าสอนตั้งแต่การบริหารร้านอาหาร วิธีการคำนวณต้นทุน ราคาขาย ค่าจ้างพนักงาน และเขาจะมีแอปพลิเคชันจำลองให้เรา สมมติตั้งยอดขายไว้ที่ 20,000 CAD เราต้องบริหารยังไงเพื่อให้ได้ตามเป้า ซึ่งมันเหมือนเราเล่นเกม The Sim ถ้าลูกค้าฟีดแบคมาว่าอาหารเราแพง เราต้องปรับยังไง หรืออย่างฝั่ง Wedding Planner ที่หวานเรียนก็คือ อาจารย์ให้โจทย์มาเหมือนเราเป็น Wedding planner เลยค่ะ เขาให้โจทย์มาว่ามีคู่รักสามคู่ที่เราต้องการ การถ่ายภาพมู้ดนี้ให้ไปหา supplier มาให้พร้อมกับเสนอราคา แล้วคือหวานก็ต้องติดต่อโรงแรม ติดต่อช่างภาพจริง ๆ เพื่อที่เราจะเอาข้อมูลตรงนั้นมาเก็บเป็นข้อมูลไว้ เพราะเขาบอกว่ายิ่งเรามีตัวเลือกเยอะ ก็ยิ่งมีสิ่งที่จะเสนอให้ลูกค้าเยอะ แล้วมันเหมือนเราได้ซ้อมตั้งแต่ตอนเรียน มันไม่ใช่แค่เรียนทฤษฎีว่า Wedding มีกี่แบบ หรือหลักการหาสถานที่เป็นยังไง แต่มันคือการที่เราได้ลองติดต่อกับสถานที่จัดงานจริง ถามสเปค ราคา หรือแม้กระทั่งอาหารที่รวมในแพคเกจงานแต่ง หนูติดต่อมาหมดแล้วค่ะ แต่เราไม่ได้บอกเขาตรง ๆ ว่าเราคือนักเรียน เราสวมบทเหมือนเราจะแต่งงานจริง เขาก็จะส่งรายละเอียดงานแต่งมาทางอีเมล ถ้าสนใจเข้าไปดูสถานที่จริงได้ เราต้องทำเพื่อเก็บข้อมูล และลองเป็นแขกเพื่อที่จะได้รู้ว่าสิ่งที่เขาเสนอให้เรามา ลูกค้าจริงเขาจะต้องการอะไรบ้าง มันเลยได้เรียนรู้จริงจังและสนุกมาก ๆ port หรือ presentation ที่ทำสามารถนำไปเป็นส่วนหนึ่งในการสมัครงานก็ได้ ถ้าเราเคยมีข้อมูลติดต่อของช่างภาพหรือสถานที่ มันทำให้เขาเห็นว่าเราพอมีข้อมูลและไอเดียเพื่อต่อยอดในการทำงานจริงได้ค่ะ

มีวิธีการหาที่พักที่แคนาดาอย่างไรคะ?

ที่พักของหวานอยู่ใกล้ college เป็นหลัก เวลาหาจริง ๆ มีหลายเว็บไซต์ค่ะ แต่หลัก ๆ ที่ใช้ของที่นี่ ใช้ Facebook marketplace แต่ตอนที่มาใหม่ ๆ ใช้เว็บไซต์ HomestayBay จะเป็นบ้านปล่อยเช่าที่เจ้าของบ้านได้รับการสกรีนมาแล้วรอบนึง มีความน่าเชื่อถือ แทบไม่มีโกงเลยค่ะ ค่อนข้างเอื้อต่อนักเรียนต่างชาติด้วย แต่ Facebook marketplace ก็โอเคนะคะสำหรับคนที่อยู่ในแคนาดาแล้ว ได้ไปดูสถานที่จริงก่อนโอนเงินเพื่อความน่าเชื่อถือ แต่ของหวานหาเองเลยค่ะ เพราะเราสื่อสารได้อยู่แล้ว และพอรู้ทริคของสแกมเมอร์อยู่แล้ว เราพอมีเวลาจัดการเองเลยไม่ได้ใช้เอเจนซี่เลยค่ะ สำคัญคือเราควรมีสัญญาเป็นหลักฐาน และคุยตกลงกันให้เคลียร์ มันไม่ได้ลำบากอะไรเลยค่ะ ถ้าแลกมากับความสบายใจของเรา ของหวานเป็นอะพาร์ทเมนต์ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ เรทอยู่ที่ 2,200 CAD จริง ๆ ถ้าเป็นห้อง Studio ที่ไม่มีห้องนอนแยก มันเป็นเหมือนแผงกั้นเฉย ๆ ก็เริ่มที่ 2,100-2,200 CAD แล้ว ถ้าเป็นในดาวน์ทาวน์ราคาทะลุไปถึง 2,400-2,500 CAD ของหวานอยู่ออกมาจากดาวน์ทาวน์หน่อย แต่เป็นโซนที่อยู่อาศัย ค่อนข้างปลอดภัย ไม่ค่อยมีคนไร้บ้านเลยค่ะ และก็อยู่ตรงข้ามกับซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย ใกล้โรงเรียนด้วย อาจจะไกลจากที่ทำงานหน่อย ต้องนั่ง subway ไป 1 ชั่วโมง แต่ที่พักติด subway เลย แต่ก่อนหน้านี้ได้อยู่แชร์ Basement เหมือนกันค่ะ ราคาค่อนข้างถูกนะคะ อยู่สองคนและมีห้องน้ำในตัว แต่ค่อนข้างลำบากถ้าเรามีรูมเมทในชั้นเดียวกันเยอะ เพราะตอนนั้นที่อยู่ คือ มี 3 ห้องในชั้นเดียวกัน เราต้องแชร์ห้องครัวกับเขา พอเหมือนเวลาการทำงานของแต่ละห้องไม่เหมือนกัน ถ้าเราทำงานเลิกกลับมาดึก เราก็ค่อนข้างเกรงใจรูมเมทห้องอื่น ๆ เลยย้ายออกมาอยู่ของตัวเองดีกว่าค่ะ

เมือง Toronto เป็นยังไง หลังจากอยู่แล้วเมืองนี้มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง?

จริง ๆ ก็โอเคนะคะ ด้วยความที่ไม่ได้มีภาพในหัวว่าโทรอนโตเป็นยังไง ทุกอย่างเลยมาเรียนรู้ใหม่หมดเลย อาจจะมีข้อเปรียบเทียบนิดนึง พอดีหนูเคยไป work & travel ที่อเมริกามาก่อน อย่างที่บอกว่าพอมันเป็นเมืองมาก ๆ มีทุกอย่าง สวนสนุก แหล่งท่องเที่ยว ความหลากหลาย มันก็จะพอเก็ตว่ามันจะวุ่นวายมาก ๆ เลยฟีลนิวยอร์ค รู้สึกว่ายังสนุกกับการที่จะเห็นว่าแต่ละรัฐแต่ละเมืองในแคนาดาเป็นยังไง

ข้อดีของเมืองนี้ รู้สึกว่าค่อนข้างเดินทางสะดวก subway เข้าถึงในเมืองถึงชานเมืองเลย ทั้งรถบัสเอกชนด้วยที่มีตัวเลือกให้บริการเยอะ เมื่อเทียบกับเมืองอื่น ๆ บางเมืองมีขนส่ง 1-2 เจ้าให้เลือก แต่ที่นี่มี 3-4 เจ้าให้เราเลือกใช้เลย และก็ไม่ไกลจากสถานที่ธรรมชาติ ถ้าเราอยากเที่ยว แค่ขับรถไป 2 ชั่วโมง ไปลองเที่ยวฝั่ง Mississauga/ Niagara มันมีสถานที่สวย ๆ และกิจกรรมให้ทำเยอะ ทั้งสวนสนุก Canada wonderland และ Roger centre เขาจะมีแข่ง Baseball ทุกสัปดาห์ และมีกิจกรรมให้เราได้ร่วมได้ ราคาก็ค่อนข้างสมเหตุสมผลด้วย ส่วนข้อเสียของเมือง พอมันเป็นเมืองทำงาน เมืองท่องเที่ยว เลยรู้สึกว่ามันค่อนข้างหนาแน่นคล้ายกรุงเทพ เพราะหลาย ๆ อุตสาหกรรมมี area หลักอยู่ที่โทรอนโต บางคนที่มาจากต่างจังหวัดจะรู้สึกสนุก หนาแน่น และค่าครองชีพสูง อากาศค่อนข้างหนาวถ้าเทียบกับแวนคูเวอร์ อยู่ไปนาน ๆ ก็อาจจะชิน แต่บางคนก็อาจจะไม่ชอบอยู่ดีเพราะมันหนาวจัดจริง ๆ ค่ะ เพราะพายุหิมะก็หนักเอาเรื่องอยู่มันกระทบกับการเดินทาง ขนส่งต่าง ๆ คนไร้บ้านก็ยังจัดการได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะต้องระวังนิดนึง เวลาไปไหนมาไหนในตัวเมือง หรือที่เปลี่ยว ๆ

ส่วนใหญ่กิจกรรมหลัก ๆ ที่หวานทำคือ เดิน Grocery เล่น ชอบดูแข่ง Baseball รู้สึกว่ามันไม่ได้หาดูได้ง่าย ๆ มันไม่มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ที่ไทยค่ะ การที่ได้เข้าไปอยู่ในที่ที่เขาเชียร์ Baseball และเห็นบรรยากาศของผู้คนที่มารวมกันเป็นหนึ่งเพื่อเชียร์ให้ทีมชนะ รู้สึกว่ามันสนุกมาก และก็มีเช่ารถไปเที่ยวบ้างรอบ ๆ เมืองใกล้ ๆ Mississauga, Niagara, Barrie แต่หลัก ๆ ก็พยายามไปเดินเที่ยวเล่นมากกว่า

ก่อนมาแคนาดามีข้อกังวลอะไรบ้างไหม และมีวิธีการรับมือและแก้ไขปัญหายังไง?

จริง ๆ กังวลแค่เรื่องที่พักค่ะ พอเราไม่มีคนรู้จักที่นี่เลย มันเลยทำให้กังวลนิดนึงในการดำเนินเรื่อง เพราะเรื่องที่พักก็ค่อนข้างสำคัญ พอเราไม่รู้ว่าจะอยู่กับใคร ยังไง เลยต้องทำการบ้านเกี่ยวกับการหาที่พักเยอะในตอนช่วงมาแรก ๆ ก็พยายามค้นหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด และก็เตรียมพวกยา สกินแคร์ ที่ราคาสูงก็กังวลเหมือนกัน แต่พยายามเรียนรู้วิถีในการใช้ชีวิตใหม่ ๆ ที่เราไม่คุ้นชินเหมือนตอนอยู่ที่ไทยค่ะ

เห็นบอกว่าเคยไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกามาก่อน ช่วยเล่าคร่าว ๆ ให้ฟังได้ไหมคะว่าเป็นยังไง?

ตอนนั้นหนูไปเมืองไอโอวา 4 เดือน ไปทำงานเป็นไลฟ์การ์ด หนูว่ายน้ำเป็น และด้วยความที่เราเพิ่งจบใหม่ เลยอยากไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พอเราเห็นว่ามันมีไลฟ์การ์ดของรีสอร์ทเปิดรับเลยไปลองทำดู ก็สนุกดีค่ะ มันไม่ใช่งานที่นิยมในไทย ไม่ใช่งานที่เด็ก ๆ จะเดินเข้าไปเป็นได้ เพราะอย่างของที่อเมริกาต้องมีการสอบ certificate มีการทำ CPR ใช้ First-aid เป็น มันเหมือนกับเราไปเรียนรู้และได้ไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้วย มันก็สนุกดีนะคะ และได้ไปทำ Deep water ด้วย อย่างในรีสอร์ทความลึกจะอยู่แค่เข่าเพราะให้เด็ก ๆ เล่น แต่มันจะมีทะเลสาบด้านหลังรีสอร์ท เป็นสไลเดอร์บ้านลม ที่สามารถเล่นได้ เราเทรน deep water เราอาจจะดำน้ำลึกได้ ก็สอบจนผ่านและได้ไปทำ มันเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่รู้จะได้ทำอีกมั้ย แต่อย่างน้อยได้ลองแล้วว่าเป็นยังไง

ช่วยเปรียบเทียบจุดที่น่าสนใจของแคนาดาและอเมริกาให้หน่อยได้ไหมคะว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

จริง ๆ วัฒนธรรมบางอย่างมันมีความคล้ายกัน เช่น เรื่องระบบทิป ถ้าเราใช้บริการ เราต้องให้ทิปพนักงาน หรือแม้แต่วัฒนธรรมเรื่องแนวคิดความเป็นอิสระ โทรอนโตอาจจะไม่ได้หนักเท่าอเมริกา แต่มีความใกล้เคียง หรือ Facility หลาย ๆ อย่างที่มีที่อเมริกา แคนาดาก็มี เราก็เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ เช่น อเมริกามี Walmart/ Costco แคนาดาก็มี เราก็เลยไม่ได้รู้สึก culture shock ว่าเราจะต้องไปซื้อของที่ไหนอะไรยังไง อย่างเราทำงานอยู่แคนาดา ก็ได้เจอคนอเมริกันมาเที่ยวอยู่บ่อย ๆ ยิ่งเราอยู่โทรอนโต ที่มีความเป็นเมืองเหมือนนิวยอร์ค บรรยากาศมันเลยไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น อาจจะแค่กฎหมายหรือผู้คนที่เป็นแคนาเดียนจริง ๆ อาจจะต่างจากอเมริกานิดนึง แต่ถ้าพูดถึงประเทศโดยรวมไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น แต่ถ้าอยู่ประเทศเอเชียบ้านเราแล้วไปโทรอนโตอาจจะ culture shock อย่างเวลาขึ้น subway ก็เห็นคนโหนบาร์ ซิทอัพอะไรงี้ค่ะ ทุกคนอาจจะคิดว่าทำทำไม แต่นี่คือแคนาดาหรืออเมริกาอ่าค่ะ ก็เลยรู้สึกปกติ ถ้าสนุกเราก็ปรบมือให้เขาด้วย มันมีความเป็นอิสระสูง อะไรก็เกิดขึ้นได้ ใครอยากทำอะไรก็ได้ค่ะ มันก็เลยเป็นเมืองที่สนุกเหมือนกัน มันทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตของพวกเขา อาจจะต่างกันบ้างในเรื่องของความเป็นอิสระสูงมากของอเมริกา และก็เรื่องความรุนแรงต่าง ๆ ที่แคนาดาไม่ได้ถึงขั้นนั้น ถ้าเคยอยู่อเมริกามาก่อนแล้วมาโทรอนโตปรับตัวไม่ยากค่ะ แต่แคนาดาค่าครองชีพสูงกว่าอเมริกานะคะ ตอนนี้ก็มีข่าวว่าคนจะย้ายไปอเมริกากันแล้ว เพราะซื้อบ้านในอเมริกาง่ายกว่าซื้อที่แคนาดาแล้ว ด้วยความที่แคนาดาเป็น Immigration city คนเลยเข้ามาตั้งถิ่นฐานเยอะมาก ทำให้ความต้องการมันสูงมากถ้าเทียบกับอเมริกา เพราะอเมริกาค่อนข้างจำกัดการอพยพของผู้อพยพ มันเลยไม่ได้มีอะไรเวอร์ อย่างเช่น ราคาบ้านหรือคอนโดที่พุ่งสูงขึ้น อยู่ดีดีจำนวนประชากรก็กระโดดขึ้นมาเป็นหลักล้านคนภายในระยะเวลาไม่กี่ปี แล้วมันก็มีคนที่เข้ามาเพื่อลงทุน ทำธุรกิจ ทำให้อะไร ๆ ก็แพงขึ้นไปด้วย และมันไม่ใช่ประเทศที่มีฐานการผลิตเยอะ อย่างอเมริกายังมีของบางส่วนที่เป็นฐานการผลิต แต่แคนาดาของบางอย่างยังต้องมีการนำเข้าจากอเมริกาหรือเอเชีย มันเลยทำให้ค่าครองชีพสูงมากเมื่อเทียบกับอเมริกาค่ะ 

มีข้อคิด คำแนะนำอะไรสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจอยากมาเรียนต่อหรือมาอยู่แคนาดาบ้างไหม?

อยากให้ศึกษาข้อมูลให้ดี ทั้งเรื่องดีและไม่ดี เอาจริงแคนาดาก็คล้ายกับอเมริกาค่ะ ตรงที่ว่าแค่เราข้ามรัฐไป สภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิตมันก็ต่างกันแล้ว เทียบกับการข้ามโทรอนโตไปควิเบก คนที่ควิเบกไม่พูดอังกฤษ เขาพูดได้นะคะแต่เขาเลือกที่จะพูดฝรั่งเศส เพราะฉะนั้นการใช้ชีวิตมันจะต่างกันมาก ๆ อยากให้ลองแพลนตัวเองดีดี ว่าอยากมาทำอะไรและสนใจด้านไหน ถ้ามาเรียน สนใจด้าน IT/ Hospitality หรือ Engineer แต่ละรัฐก็มีจุดเด่นและกฎหมายที่ต่างกัน ในการเอื้อต่อผู้อพยพหรือนักเรียนต่างชาติ อยากให้ทบทวนดูว่าตัวเองอยากมาเรียนต่อด้านไหนและอยากมาทำอะไร ถ้าอยากมาเรียนระยะสั้น แวนคูเวอร์กับโทรอนโตก็อาจจะเหมาะ หรือถ้าอยากมาหางาน ฝั่ง country side ของแคนาดาก็มีกฎหมายเอื้อให้เราสามารถเก็บประสบการณ์และขอ PR ได้ ถ้าเราวางแผนและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มาดีดี ก็อาจจะทำให้เรามาถูกทางมากขึ้น หรือแม้แต่ college ก็ลองหาข้อมูลมาดีดี ลองเข้าไปสัมมนาฟังข้อมูลดูเยอะ ๆ ว่ามันเหมาะกับเราไหม พอค่าครองชีพมันสูง ต้องคำนวณงบการเงินมาดีดี เผื่อช่วงแรกที่เรายังหางานไม่ได้ จะได้ไม่ต้องเครียดมาก ศึกษากฎหมายที่มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อีกอย่างอยากฝากจริง ๆ คือ ไม่อยากให้ยอมแพ้ เพราะหวานเข้าใจว่าการย้ายประเทศมันเป็นเรื่องใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่ ผู้คนใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน มันอาจจะยากให้ช่วงแรกที่เราไม่มี reference/ Canadian experience แต่ถ้าเราชัดเจนในทางของตัวเอง ก็อยากให้เต็มที่กับมันให้มากที่สุด ถ้าลองเปิดใจมันมีเรื่องสนุก ๆ ให้เรียนรู้อีกเยอะค่ะ มันอาจจะไม่ได้ดีหรือเสียทั้งหมด เหมือนกับทุกประเทศอ่าค่ะ ลองดูสักตั้งนึงค่ะ ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไรค่ะ 

รีวิวก้อปันกันให้ฟังได้ไหมคะ อะไรทำให้เลือกใช้บริการของก้อปันกัน?

ตอนนั้นสนใจเรียนต่อต่างประเทศ แล้วพอเรามีสโคปชัดเจน อย่างหวานไม่ได้มองฝั่งออสเตรเลียอยู่แล้ว พอเอเจนซี่ที่ดูแลทางฝั่งอเมริกาเหนือมันก็น้อยลงไป แล้วเห็นของพี่กันต์ช่วงนั้นจะมี Webinar กับ college ต่าง ๆ ตอนแรกหวานสนใจเป็นฝั่งสหรัฐอเมริกาแล้วพอเข้าไปฟังก็ได้ทราบว่าพี่กันต์ทำทางฝั่งแคนาดาด้วย และตอนนั้นอเมริกามันค่อนข้างผ่านยากในการที่จะย้ายไปเรียนต่อ กฎเขาไม่ได้เอื้อเท่ากับแคนาดา พี่กันต์เลยแนะนำว่าอยากยื่นทางฝั่งแคนาดาดูไหม เพราะมันก็อยู่ติดกัน ไวบ์มันก็ไม่ได้ต่างกันมาก และมันก็โอเคในหลาย ๆ college และได้ลองมาพูดคุยก็รู้สึกว่าพี่กันต์ support ดีมากค่ะ ยิ่งช่วงยื่นเรื่องตอนนั้นหวานยังทำงานประจำที่ไทยอยู่ เลยไม่ค่อยมีเวลาเตรียมตัวเต็มที่ แต่พี่กันต์เข้ามาช่วยเตรียมเอกสารและให้คำปรึกษาดีมากค่ะ ก็เลยโอเคกับก้อปันกัน ขนาดต่อวีซ่าก็ยังแฮปปี้กับการใช้บริการของพี่กันต์ ยังบอกต่อเพื่อนเลยค่ะ หวานรู้สึกว่าเอเจนซี่สำคัญ เพราะเคยเห็นเคสที่เพื่อนโดนเอเจนซี่เทกลางทาง ข้อมูลที่เขาให้ต้องค่อนข้างครบ มีเพื่อนที่เอเจนซี่ให้ข้อมูลไม่ครบแล้วต้องเสียเงินก้อนนึงไปฟรี ๆ เลยรู้สึกว่าโชคดีมากที่ใช้บริการกับพี่กันต์ตั้งแต่แรก เพราะไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ

อ่านเกี่ยวกับ Seneca Polytechnic – คลิก

Photo Credits : น้ำหวาน

JOIN OUR UPCOMING EVENTS

ติดต่อขอรับคำปรึกษา

 

เรียนต่อแคนาดา อเมริกา

Line : @korpungun

เรียนภาษาที่ฟิลิปปินส์

Line : @kpglearn

คอร์สออนไลน์ KPG LIVE

Line : @kpglive

TEL: 094-883-8778