คุยกับคุณแม่ที่ส่งลูกสาวไปเรียนแคนาดาตั้งแต่ ม.ต้น เพราะ
“คำนวณแล้วคุณภาพมันดีกว่ามาก เรายอมเสียเพื่อแลกกับสิ่งที่ดี”
ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นครอบครัวคนไทยตัดสินใจส่งลูกไปเรียนต่างประเทศคนเดียวตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น โดยเฉพาะการส่งลูกสาวไปเผชิญโลกกว้างคนเดียวในประเทศที่ต้องนั่งเครื่องบินจากเมืองไทยนานกว่า 30 ชั่วโมง KPG ชวนทุกคนดูการทำงานกันเป็นทีมระหว่าง แม่เปิ้ล กับ น้องเรเน่ สองแม่ลูกที่มีเป้าหมายเดียวกัน คือเพื่ออนาคตทางการศึกษาที่ดีกว่า
การส่งน้องเรเน่ไปเรียนที่แคนาดา ได้วางแผนมาก่อนล่วงหน้าแล้วหรือเปล่า?
แม่เปิ้ล: จริง ๆ เกิดมาจากโควิด แล้วลูกต้องเรียนออนไลน์ พี่มองว่าเวลาเรียนออนไลน์ ลูกจะขาดสัมพันธภาพกับคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนในครอบครัว เรียนออนไลน์แล้วอยู่แต่บ้าน เรเน่เป็นคนติดบ้าน ฉะนั้นเขามีความสุขกับการเรียนออนไลน์มาก แต่ความสัมพันธ์กับเพื่อนหายไปเลย แล้วเรเน่เป็นคนที่ไม่ชอบคุยทางออนไลน์ พี่มองว่าไม่ไหวนะแบบนี้ ก็เลยศึกษาว่าจะไปที่ไหนดี ก่อนที่จะมาเจอ KPG พี่มองที่ออสเตรเลีย อังกฤษ อเมริกา แต่ที่อังกฤษเขาไม่รับระหว่างเทอม ถ้าเข้าอินเตอร์ก็แพงมาก ส่วนอเมริกาก็แพงและเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ออสเตรเลียตอนนั้นปิดประเทศ จนได้มาเจอ KPG ในเว็บไซต์ เลยติดต่อสอบถามไป คุณกันต์แนะนำข้อมูลได้ดี พี่เลยเลือกที่นี่
ทำไมถึงต้องเป็นประเทศแคนาดา?
แม่เปิ้ล: อย่างแรกเลยคือหาข้อมูลก่อน มีคนแนะนำเราว่าที่แคนาดาดีมาก แล้วค่าเทอมก็พอๆ กับเมืองไทย เราคิดเลยว่าลองก่อน เป้าหมายอย่างแรกคือให้ลูกออกนอกบ้าน ก็เลยตัดสินใจให้ลูกไปเรียน แล้วก็ไปส่งลูกด้วย โชคดีที่ลูกเป็นคนที่ฟังแม่ เพราะแม่ก็พยายามเลือกสิ่งที่ดีให้ เราก็บอกลูกว่าเรียนออนไลน์ไม่ไหว ไปเรียนที่แคนาดามั้ย จะได้เรียนแบบปกติ เขาก็ตกลง
แล้วเรเน่มีความกังวลก่อนจะบินมั้ย?
น้องเรเน่: ก็นิดนึงค่ะ เพราะว่าเป็นคนติดครอบครัวมาก เลยกังวลว่าถ้าเราไปจะเกิดอะไรขึ้นไหม แต่ว่าก็โทรคุยกันทุกวัน แล้วก็ถ้าหนูไม่พอใจอะไรแม่ก็บินไปหาได้อยู่แล้ว พอไปเจอคนไทยที่แคนาดา หนูรู้สึกว่าสบายใจมากกว่าค่ะ เพราะเหมือนว่าได้เจอคนที่มาจากที่เดียวกัน
มีการเลือกเมืองหรือโรงเรียนให้คุณแม่มั้ยครับ หรือ KPG เลือกให้เลย?
แม่เปิ้ล: มีนะ ตอนแรกพี่สนใจทางเหนือ เพราะใจจริงอยากให้ลูกได้ฝรั่งเศสด้วย แต่ที่ว่างทางฝั่งนั้นเหลือที่เดียว และการเดินทางจะค่อนข้างลำบากนิดนึง คุณกันต์เลยแนะนำแถวแวนคูเวอร์ การเดินทางจะสะดวกกว่า พี่ก็ตกลง มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของเราสองคนแม่ลูกที่ไปแคนาดา เราเตรียมเสื้อผ้าไปเยอะมากเพราะคิดว่าอากาศหนาวมาก แต่ปรากฏว่าไม่หนาวเหมือนที่เราคิด อากาศสบาย แดดดี ไม่ค่อยมีฝน อาหารเอเชียเยอะ ถ้าน้องกินอาหารบ้านโฮสต์ไม่ได้หรือเบื่อก็มีตัวเลือกให้ทานเยอะ เราก็ไม่ห่วงเรื่องนี้เลย
โรงเรียนไทยกับโรงเรียนที่นั่นเป็นยังไงบ้าง? เปรียบเทียบให้ฟังหน่อย
น้องเรเน่: จริงๆ หนูเรียนโรงเรียนอินเตอร์มาก่อน แต่ก่อนหน้านั้นหนูเรียนโรงเรียนไทยค่ะ รู้สึกว่าโรงเรียนไทยจะไปทางวิชาการมากกว่า คือเน้นเรื่องการแข่งขันทางการเรียน แต่ว่าโรงเรียนที่แคนาดาเขาจะเน้นกิจกรรมและวิชาที่ไทยไม่มี เป็นวิชาที่ถ้าเรียนที่ไทยก็อาจจะต้องเรียนในตอนที่อายุมากกว่าที่เรียนตอนนี้ แล้วก็อาจจะแพงกว่าด้วยค่ะ ที่แคนาดามีวิชา Interior Design ให้เลือกเรียนด้วย คล้ายกับการออกแบบบ้าน เป็นการจำลองสิ่งของขึ้นมา แล้วก็มาจัดในบ้านเอง แบบนี้ที่ไทยไม่มี
บรรยากาศที่ Maple Ridge Secondary School เป็นเหมือนที่คิดไว้มั้ย?
น้องเรเน่: โรงเรียนค่อนข้างใหญ่ค่ะ มีพื้นที่มาก คุณครูก็แนะแนวเกี่ยวกับการเรียนดีมากค่ะ ถ้าเราอยากทำอาชีพไหนเขาก็จะแนะนำว่าควรเรียนอะไร ในอาทิตย์นึงก็จะเรียนจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่ 8.30 น. – 14.45 น. วันหยุดก็มีไปเที่ยวรอบเมืองกับเพื่อน หรือไม่ก็ไปปิกนิกค่ะ ถ้าอยู่บ้าน โฮสต์ก็จะอยากให้หนูออกไปเที่ยวนอกบ้าน ไปปั่นจักรยาน คนที่นู่นเขาชอบเดินเล่นกันมาก เราก็ได้เดินมากขึ้น เป็นเรื่องที่ดีเพราะว่าได้ออกกำลังกาย แล้วก็ได้คิดมากขึ้น มีเพื่อนบ้านที่น่ารักค่ะ พอหนูเดินผ่านเขาก็จะชวนคุย แม้จะไม่รู้จักกัน เขาก็จะถามว่า วันนี้อากาศดีนะ ไปเรียนที่ไหนเหรอ
แม่เปิ้ล: แล้วคุณแม่ก็รู้สึกว่าความคิดของน้องก็เปลี่ยนไป สมมติว่าจะไปซื้อของ ถ้าเดินก็ใช้เวลา 20 นาที แต่ถ้านั่งรถบัสอาจจะใช้เวลานานขึ้น น้องก็จะเริ่มมีการเปรียบเทียบ บางทีเลือกเดิน ถ้าเป็นเมืองไทยส่วนมากก็จะไม่คิดแบบนี้ อาจจะให้แม่ไปส่ง ตอนที่ไปส่งเราเดินตลอดเลย ไปไหนมาไหนปลอดภัย ก็เลยสบายใจ
หลังจากที่น้องเรเน่ไปเรียนถึงแคนาดานานถึง 5 เดือน ความเปลี่ยนแปลงอะไรที่คุณแม่เห็นได้ทันที?
แม่เปิ้ล: พอเจอลูกลงจากเครื่องตอนกลับมาก็ตกใจ ลูกผอมลง สูงขึ้น เพราะมีวิชาพละทุกวัน ที่นู่นมีโรงยิมที่ดีมาก ลูกก็ถ่ายมาให้ดูบ่อยว่าเข้าฟิตเนสกับเพื่อน แล้วเขาก็ไปลงตีกอล์ฟ ด้วยวิถีชีวิตของเขา ทำให้เด็กได้ออกกำลังกายโดยที่เขาไม่ต้องบังคับ ความคิดเขาเปลี่ยน มีความเชื่อมั่นมากขึ้น ถ้าอยู่ที่นี่ก็อาจจะมีพ่อแม่ทำให้ แต่ไปอยู่ที่นั่นเขาต้องทำเองทุกอย่าง เป็นครั้งแรกที่เขาต้องไปอยู่คนเดียว และน้องต้องพกเงินเองเยอะๆ ครั้งแรก พี่ให้เงินเขาไปเยอะ และให้บัตรด้วย เรเน่ก็เกิดอาการกลัว น้องไม่รู้ว่าต้องใช้เงินยังไงดี เพราะปกติเขาไม่พกเงิน เราเลยต้องสอนการใช้ชีวิตให้เขาใหม่ ว่าต้องเก็บเงินไว้ตรงไหน แล้วก็สอนเขาว่าต้องทำรายรับรายจ่าย มีอยู่เดือนหนึ่งเป็นวันเกิดของคนในบ้าน แล้วเขาใช้เงินเยอะ เขาเครียดมาก พอเดือนต่อมาเขาพยายามไม่ใช้เงินเลย อันนี้เป็นสิ่งที่เขาคิดเองตอนเขาไปอยู่ที่นู่น ความรับผิดชอบสูงขึ้นมาก มีการแพลนชีวิตของตัวเอง
ดูคุณแม่มีความภาคภูมิใจในตัวน้องมากๆ มันยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่คุณแม่คิดมันถูกที่ส่งน้องไปแคนาดาใช้มั้ย?
แม่เปิ้ล: โชคดีมากที่เลือกได้ถูก และตัดสินใจไปในช่วงที่การทำอะไรต่างๆ มันง่าย เราโชคดีที่เริ่มก่อน ซึ่งเราแพลนอะไรไว้ก่อน และคุณกันต์น่ารักมาก คอยส่งข้อมูลมาให้ตลอด วิถีชีวิตที่นู่นเขาค่อนข้างต่างกับเรา เราเห็นลูกใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องปกติ แต่โฮสต์กังวลมาก เขาไลน์มาคุยกับพี่ว่าไม่รู้สึกเหรอว่าลูกใช้โทรศัพท์มากเกินไป เขาเคยแม้กระทั่งขอดูว่าเรเน่ทำอะไรในโทรศัพท์ พี่มองว่าเขาอาจจะเกิดความกังวล และห่วงมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่เขารับเลี้ยงเด็กนักเรียน เราคุยกันด้วยเหตุผล พูดให้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเราแล้วก็จบ แล้วเขาก็ถามเรื่องการใช้โทรศัพท์บ่อยของลูกว่าจะแก้ไขปัญหาตรงนี้ยังไงดี พี่ก็บอกโฮสต์ว่า ถ้าคุณไม่อยากให้ลูกใช้โทรศัพท์บ่อย ก็ต้องหาอะไรให้เขาทำ ก็เหมือนเป็นการแชร์กันเรื่องเลี้ยงลูก ก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่ดีมาก
แล้วมีเหตุการณ์ไหนอีกบ้างที่เรเน่รู้สึกว่าตัวเองได้เรียนรู้จากการไปเรียนต่อคนเดียว?
น้องเรเน่: เคยมีช่วงหนึ่งที่เน็ตโทรศัพท์ไม่พอเลยต้องโทรไปคอลเซนเตอร์เอง คุยกับแม่บนคอมพ์ แล้วคุยกับคอลเซนเตอร์ในโทรศัพท์ เพื่อที่จะเป็นกำลังใจให้ตัวเอง
แม่เปิ้ล: ใช่ เขาก็กังวลมาก เราก็บอกว่าเราคุยให้ไม่ได้ ก็คอยบอกข้อมูลเขาบ้างทางโทรศัพท์ พี่ว่าเป็นการสอนลูกทางอ้อมอย่างหนึ่งที่เราชอบมาก แล้วเขาก็บอกว่าจะเรียนจนจบ ม.ปลายที่นั่น แล้วก็จะต่อมหาวิทยาลัยที่นั่นด้วย เพราะเขาไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงและเขาเห็นว่าสภาพการเป็นอยู่ที่นั่นดี และค่าใช้จ่ายก็ถูกกว่าอินเตอร์ในไทยด้วยซ้ำ
แต่เราเชื่อว่ามีเพื่อผู้ปกครองอีกหลายคนไม่เห็นด้วยที่คุณแม่ส่งน้องไปตั้งแต่ชั้น ม.ต้น?
แม่เปิ้ล: ส่วนมากเขาจะถามว่าไม่ห่วงลูกเหรอ เอาลูกไปอยู่ไกลขนาดนั้น แม้กระทั่งคนในครอบครัวเราก็พูด เราก็ห่วง แต่เรายังมีแรงที่ยังสามารถไปหาเขาได้ ไปดูแลเขาเมื่อเขามีปัญหา การที่เราส่งเขาไปตอนนี้มันทำให้ลูกฝึกการแก้ปัญหาด้วยตัวเองในตอนที่เรายังมีแรงสนับสนุนอยู่ข้างหลัง เพราะเมื่อเขาโตขึ้น เขาอาจจะมีความคิดเป็นของตัวเอง เราเลยอยากให้จบ ม.ปลายตามที่เราหวัง แล้วต่อจากนั้นก็ให้เขาเลือกเอง
หลังจากจบมัธยมปลายแล้วเขาอยากไปเรียนที่ไหนอย่างไรอันนี้แล้วแต่เลย เราบังคับเขาไม่ได้ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงเดียวที่เขายังต้องการความดูแลจากครอบครัวและยังต้องเชื่อฟังพ่อแม่อยู่ เป็นสิ่งที่พี่คุยกับเขาเสมอ คือที่นู่นเขามีเรียนบังคับ 5 วิชา และให้เลือกเอง 3 วิชา ถ้าเป็นที่ไทย พ่อแม่ก็จะให้เลือกวิชาการ แต่พี่บอกกับเรเน่ว่า 3 วิชานี้ตามใจเลย เพราะพี่ก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่เขาจบ ม.6 แล้ว คุณไปทางไหน ถ้าเขาไม่รู้ตัว แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉะนั้นช่วงนี้เป็นช่วงค้นหาตัวเอง และที่นั่นเขามีวิชาเยอะมาก ทุกเกรดเรียนรวมกันแต่จะเรียนคนละหัวข้อ พี่ว่ามันทำให้น้องได้ฝึกการอยู่ร่วมกับคนอื่นในอายุที่ต่างกันและมาจากคนละที่ คิดว่าตัดสินใจไม่ผิดเลย
งั้นเรเน่คิดว่าตัวเองได้ประสบการณ์อะไรบ้าง?
น้องเรเน่: ก็ได้เจออะไรใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเจอ พอดีหนูเป็นคนที่ติดแม่แล้วก็อยู่กับแม่ตลอดเวลา พอออกไปอยู่แบบนี้ก็ได้ดูแลตัวเองค่ะ ได้ไปไหนคนเดียวครั้งแรก เหมือนโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเพราะต้องทำอะไรด้วยตัวเองมากขึ้นค่ะ
แม่เปิ้ล: น้องกำลังจะกลับไปเรียนต่อ คราวนี้เดินทางเองแล้ว จริงๆ ตอนที่น้องกลับไทยจะเป็นการขึ้นเครื่องครั้งแรกโดยที่ไม่มีผู้ใหญ่ เขาก็เช็คอินเองได้แล้ววิดีคอลมาหาแม่ บอกว่าให้อยู่เป็นเพื่อนจนกว่าจะบอร์ดดิ้ง เราก็อยู่เป็นเพื่อนเขา พอเขาพักเครื่องที่ญี่ปุ่น เขาก็วิดีคอลมาให้อยู่เป็นเพื่อนเหมือนเดิม จนกลับมาถึงไทย ก็ต้องขอบคุณที่สมัยนี้มีวิดีคอล ที่ทำให้เขาอุ่นใจ พี่มีทริคนิดนึงนะ ตอนที่น้องไป พี่ซื้อตั๋วไปกลับให้น้อง ปิดเทอมวันที่ 26 พี่จองให้วันที่ 28 พี่บอกน้องว่า วันไหนที่เรียนไม่ได้หรือต้องการกลับบ้าน บอกแม่คำเดียวแม่เปลี่ยนวันให้ทันที เขาก็มีกำลังใจค่ะ มีเป้าหมายว่า อย่างน้อยเขามีตั๋วพร้อมกลับ จนถึงวันกลับ เรเน่ไม่เคยถามถึงตั๋วใบนี้อีกเลย แต่ตั๋วใบนี้มันทำให้ลูกรู้ว่าพี่ไม่ทิ้งเขาแน่ อันนี้เป็นจิตวิทยาที่พี่คิดเอง แล้วพอมาเทอมนี้ก็ซื้อตั๋วไปเที่ยวเดียวเลย
แล้ว KPG พอจะช่วยให้คุณแม่และน้องจัดการสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้นมั้ย?
แม่เปิ้ล: จริงๆ เราเตรียมการกันค่อนข้างนาน เพราะคุยกับคุณกันต์ตั้งแต่เนิ่นๆ พอเราเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว คุณพ่อน้องเสียตอนสิ้นเดือนธันวาคม แล้วน้องต้องไปเรียนตอนปลายเดือนมกราคม ประทับใจตรงที่พี่ส่งข้อมูลนี้ให้คุณกันต์ โฮสต์และทางโรงเรียนรับรู้ แล้วทุกคนใส่ใจความรู้สึกลูกเรา ทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อให้เรเน่ไม่รู้สึกเคว้งคว้างหรือรู้สึกว่าต้องจากบ้านมา เวลามีผู้ปกครองมาถาม พี่ก็จะแนะนำคุณกันต์ให้ตลอดเลย
เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Maple Ridge Pitt Meadows School District – คลิก
แนะนำ KPG’s Partner
เนื่องจากปัจจุบัน KPG ไม่ได้ให้บริการเรียนต่อมัธยมในแคนาดาแล้ว
สำหรับผู้ที่สนใจ KPG ขอแนะนำผู้ให้คำปรึกษาและบริการเรียนต่อมัธยมแคนาดา
Im Education (อิม เอ็ดดูเคชั่น)
ติดต่อ LINE: @imeducation
โทร: 086-488-2446