[รีวิว] เรียนภาษาที่แคนาดา ILSC Vancouver
หลักสูตร Full Time Intensive 21 สัปดาห์
โดย เล้ง อายุ 16 ปี
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิต ม.ข
ทำไมถึงไปเรียนภาษาอังกฤษที่แคนาดา?
ตอนแรกตัดสินใจว่าอยากไปอังกฤษ แต่พอ Search ข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เห็นว่าแคนาดาน่าสนใจ เพราะว่า เมืองสวย และมีคนบอกมาว่าผู้คนเขาก็ดีด้วย ก็เลยตัดสินใจมาแคนาดา และอีกอย่างมันอยู่ใกล้กับอเมริกาด้วย คิดว่าสำเนียงน่าจะฟังง่ายกว่าสำเนียงอังกฤษ เพราะว่าเราคุ้นเคยกับสำเนียงอเมริกันมากกว่าครับ
ทำไมถึงไปเลือกเรียนที่เมือง Vancouver?
อันนี้ก็มาจากอินเตอร์เน็ตเหมือนกันครับ (หัวเราะ) เขาบอกว่าแวนคูเวอร์เป็นเมืองที่เจริญ เป็นเมืองการศึกษาของแคนาดาอยู่แล้วครับ แวนคูเวอร์เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวเยอะ มีหลายสัญชาติ เราก็จะไม่ประหม่ามากเกินไป ขณะเดียวกันเราก็สามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษไปได้ด้วยครับ
ทำไมถึงตัดสินใจหยุดเรียนเวลาปกติ แล้วไปเรียนภาษาระยะยาว 6 เดือน ?
ตอนแรกผมไป workshop เกี่ยวกับการสอบภาษาอังกฤษข้อสอบนึง แล้วเขาแนะนำคุณพ่อคุณแม่มาว่า จะดีมากเลยนะถ้าลูกได้ไปแลกเปลี่ยน เพราะมันจะพัฒนาภาษาอังกฤษลูกมากๆ เลย แล้วก็จะเปิดโลกทุกอย่างเลย คุณพ่อคุณแม่ก็เลยมาถามว่าจะไปแลกเปลี่ยนไหม ตอนแรกผมก็ตกใจมาก เพราะไปแลกเปลี่ยนหรือไปต่างประเทศไม่เคยอยู่ในใจผมเลย เพราะผมคิดว่ามันเสียเวลา เอาเวลาไปเรียนดีกว่า เพราะว่าอยากเอ็นฯ ติด ถ้าไปแลกเปลี่ยนเสียเวลา ผมเลยคิดว่าถ้าไปเรียนภาษาก็จะได้ภาษา ได้เรียนรู้วัฒนธรรม ได้เพื่อนใหม่ ได้ภาษาเนี่ยได้แน่ๆ แล้วก็ได้เวลาในการเตรียมเอ็นฯ มากขึ้น ผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะคุ้มในการมาเรียนภาษาก่อนจบม.ปลาย เพราะว่าถ้าจบม. ปลายผมต้องไม่ได้ภาษาแน่นอน ผมน่าจะมาแค่เดือนเดียว ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะไม่พอเท่าไหร่นะครับ แล้วก็อีกอย่างถ้าผมมาเดือนเดียว ผมน่าจะได้แต่เที่ยวไม่ได้เรียนภาษาหรอกครับ (หัวเราะ)
ก็เลยคิดว่ามาช่วงนี้ น่าจะดี น่าจะโอเค เพราะว่าผมอยากได้ภาษาด้วย อยู่ที่ไทยผมไม่ได้ภาษาอังกฤษ ผมเอาแต่เรียนพิเศษ ผมคิดว่า มันน่าจะดีกว่าถ้าเอาเงินที่ไปเรียนพิเศษมาลงทุนกับอะไรที่มันดีกว่า ที่มันแน่นอน อีกอย่างผมอยากได้เวลาเตรียมเอ็นฯ มากขึ้นด้วย ก็เลยตัดสินใจมา กึ่งมาแลกเปลี่ยน ก็จะได้ภาษาด้วย มีเวลาติวเยอะขึ้นมากกว่าเพื่อนด้วย
สิ่งที่รู้ไปจากอินเตอร์เน็ตกับความเป็นจริงที่เราเจอ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ?
ส่วนใหญ่ก็เหมือนกันเลยครับ คนมีหลายสัญชาติ หลายชนชาติมากในแวนคูเวอร์ ก็มีนักท่องเที่ยวจากหลายชาติมา แล้วก็ในโรงเรียน ILSC ที่ผมเรียนเขาก็มีหลายสัญชาติจากทั่วโลกมา บางสัญชาติอย่างเช่น คิวบา (Cuba) ก็มีครับ ผมก็ตกใจเหมือนกันตอนแรกที่เห็นว่ามีหลายสัญชาติเข้ามา ไม่คิดว่าจะมีเยอะขนาดนี้ อีกอย่างมีโรงเรียนสอนภาษาใน Downtown เยอะมาก ก็เลยคิดว่า โห เมืองแวนคูเวอร์เขาน่าจะเปิดโรงเรียนสอนภาษาเพื่อให้ต่างชาติเข้ามาเรียนภาษาเยอะเหมือนกันครับ
เป็นครั้งแรกที่มาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ มีความกังวลอะไรบ้าง ?
เราไม่เคยไปไหนเลย ที่มาเรียนหนังสือคนเดียวแบบนี้ ไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ ผมก็กลัวนิดๆ นะครับ แต่ผมรู้ว่าผมมาเรียนแค่ 6 เดือนก็กลับแล้ว แต่วันแรกที่มาถึงก็มี Homesick นิดนึง นอนไม่หลับ เพราะ jetlag ด้วย ผมมาถึงวันที่ 14 วันที่ 15 เขาก็เปิดเรียนแล้ว พอผมไปโรงเรียนปุ๊บ ผมหาย Homesick เลยครับ ผมไม่คิดถึงบ้านเลย (หัวเราะ) เพราะว่ามีเพื่อนเยอะ แล้วก็สต๊าฟ (Staff) ส่วนใหญ่ก็เฟรนลี่ มีอะไรก็ถามได้ ซื้อของกินที่ไหน เซเว่นไปตรงไหน เดินไปยังไงเขาบอกหมดเลย แล้วก็มี counselor (คนให้คำปรึกษา) ใจดีด้วยครับ jetlag ก็ไม่นาน เพราะว่าอยู่ไทยก็นอนดึกเหมือนกันครับ (หัวเราะ)
ภาษาอังกฤษไม่ได้กับการเดินทางไกลครั้งแรก มีปัญหาไหม ?
ผมไม่เคยเดินทางข้ามมาทาง North America เลยครับ ลำบากมากครับกว่าจะฟังเขาออก ฟังออกเป็นคำ ก็ต้องเดาว่าเขาพูดอะไร ก็ต้องตอบไป เราก็รู้ภาษาน้อย ก็ตอบไปเป็นคำๆ บ้าง เขาก็พอเข้าใจ แต่ว่ามันก็ลำบากที่จะสื่อสารครับ ผมไปต่อเครื่องที่ฮ่องครับเพราะผมนั่ง Cathay Pacific Airways มา
ตอนผ่าน ตม. ก็ไม่ลำบากเลยครับ ตม. เป็นผู้หญิง ผมแค่ให้เขาเช็คกระเป๋า เขาถามว่ามีใบที่มาจากโรงเรียนรึเปล่า ผมก็เอาให้เขาดู แต่ผมให้เขาดูทางโทรศัพท์ แล้วเหมือนว่าเขาไม่เชื่อ เขาก็เลยให้บอกเว็บของโรงเรียน ผมก็บอกเว็บไป แต่เขาก็ไม่ได้เช็คเว็บที่บอกไปนะครับ เขาก็ปล่อยผ่าน แล้วโฮสแด๊ด โฮสมัม ก็มารับที่สนามบินครับ
อายุ 16 ปี คิดว่าเป็นอุปสรรคในการเรียนร่วมกับนักเรียนหลากหลายช่วงวัยไหม?
ไม่เป็นเลยครับผม เพราะผมไม่ได้เทียบว่าเป็นเด็กนะครับ ผมมีเพื่อนหลายคนที่อายุมากกว่าผมเยอะมาก ช่วงเเรกๆ ผมก็ท้อนะครับ เพราะผมคิดว่าผมเด็กไปรึเปล่าที่จะมาอยู่ มาเรียนแบบนี้ แต่ผมเห็นคุณยายคนนึงอายุประมาณ 70 แล้ว เป็นคนญี่ปุ่น ผมไม่รู้ว่าเขาอายุเท่าไหร่ เพราะว่าผมถามเขา แล้วเขาบอกว่าเป็นความลับ ผมเลยถามเขาว่า 60 รึเปล่า เขาก็บอกว่า บอกไม่ได้ แต่ผมก็รู้ว่าเขาต้องอายุ 70 แล้วแน่ๆ ผมว่าเขาสู้มาก บางทีอาจารย์สอนอะไรเขายังไม่รู้เรื่องครับ แต่เขาก็พยายามที่จะสื่อสาร พยายามที่จะใช้วิชาที่อาจารย์สอนมาสื่อสารในชีวิตประจำวัน ใช้กับผม ใช้กับเพื่อนทุกคนเลย ใช้คำศัพท์ใหม่ๆ จนตอนนี้เขาอยู่เลเวลเดียวกันกับผมแล้ว ผมเห็นพัฒนาการในตัวคุณยายคนนี้ ผมคิดว่าเขาพัฒนาเยอะมาก ตอนนี้เขาพูดภาษาอังกฤษดีมากเลยครับ หลังจากนั้นผมก็คิดว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคของการเรียนภาษาอีกแล้ว ยิ่งเราใช้มันมากเท่าไหร่ ผมคิดว่ายิ่งดีครับ
เรียนหลักสูตรอะไร ระยะเวลานานแค่ไหน?
ผมเรียนเป็นหลักสูตร Full Time Intensive ครับ ก็คือเรียนตั้งแต่ 8 โมงเช้า – 4 โมงเย็นครับ
ระยะเวลาที่เรียนทั้งหมด 24 สัปดาห์ แต่ผมตัดสินใจดรอปไป 3 สัปดาห์ เพราะว่าคุณพ่อกับคุณแม่มาแคนาดา ก็เลยจะพาคุณพ่อกับคุณแม่เที่ยวก่อนกลับ ตอนนี้ผมอยู่มา 21 สัปดาห์แล้วครับ รู้สึกดี รู้สึกว่ามีความประทับใจกับที่นี่มากๆ ครับ
21 สัปดาห์ ภาษาอังกฤษพัฒนามากน้อยแค่ไหน ?
ตอนที่ผมเข้ามาอยู่ที่ Beginner (B4) ครับ แต่ตอนนี้ผมอยู่ Advanced (A1) ครับ ผมรู้สึกว่ามันก็พัฒนาเยอะอยู่เหมือนกัน ผมเห็นพัฒนาการในตัวเองเยอะมาก ตั้งแต่วันแรกที่มาแล้วนั่งโตะกินข้าวกับโฮส ดินเนอร์ (dinner) กับโฮส ครั้งแรกที่ดินเนอร์กับโฮสผมพูดอะไรไม่ได้เลย ฟังอะไรเขาไม่ออกเลย (หัวเราะ) เขาถามอะไรก็ต้องขอให้เขาพูดช้าๆ ไม่ค่อยจะได้พูดหรอกครับ ดินเนอร์ครั้งแรก แต่พอมาถึงตอนนี้ ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขที่ผมได้แชร์ความคิด แชร์ประสบการณ์ในแต่ละวันที่ทำมาให้โฮสฟังในโต๊ะอาหาร เรา Have fun กับโฮสด้วยครับ คุยกับเขารู้เรื่อง แล้วภาษาอังกฤษผมก็พูดได้เยอะมากขึ้นมากๆเลยครับ
เราลงเรียนวิชาอะไรบ้าง ?
ช่วงเดือนแรกเขาเลือกวิชาให้ผมเรียนเป็น Foundation 4 ครับเป็นพื้นฐานธรรมดา หลังจากนั้นผมเรียนเป็น IELTS ตลอด ผมสนใจ IELTS เพราะว่าก่อนที่ผมจะเข้ามหาวิทยาลัย ผมต้องใช้คะแนน IELTS ยื่นมหาวิทยาลัย ก็เลยคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์ ก็เลยลองเรียน IELTS ดู มันก็ทำให้ผมรู้แนวข้อสอบ IELTS มากขึ้นตอนนี้ก็สอบ IELTS ไปแล้ว รอผลอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง
เรียน IELTS ทุกๆ section เขาจะมีให้ทำ Mock Test อย่างน้อย 2 ครั้งครับ ครั้งแรกจะเป็น Pre test ครั้งที่สองจะเป็น Post Test คือ Pre test จะทดสอบระดับความรู้ของนักเรียนในห้องก่อน พอเรียนไปสัก 2 อาทิตย์ก็จะมี Post Test คือจะเป็นข้อสอบวัดระดับเพื่อวัดเกณฑ์ว่านักเรียนคนไหนควรที่จะเพื่มเลเวลระดับภาษา หรือควรจะอยู่ในระดับเดิมครับ ก็จะทำให้เราได้ฝึกไปด้วย
ผมเพิ่งสอบตัว Official IELTS ไปเมื่อ 2 วันที่แล้วตอนนี้ยังไม่รู้ผลครับ แต่ว่าช่วงเดือนแรกที่ผมเริ่มเรียน IELTS ผมตกใจมากเพราะว่าผมอยู่แค่เดือนเดียวแล้วผมก็มาทำ Pre test IELTS เลย Listening part (การฟัง) ผมได้แค่ 5 เต็ม 40 ครับ (หัวเราะ) ตอนนั้นรู้สึกใจแป้วมากๆ ท้อมาก ก็เลยโทรหาคุณแม่ว่า ทำยังไงดี หรือว่าจะไม่สามารถพัฒนาทักษะทางนี้ได้แล้ว คุณแม่บอกว่าให้ลองดูก่อนสักเดือนสองเดือนแล้วค่อยตัดสินใจทีหลัง ผมเลยลองเรียนได้ประมาณสองเดือนคะแนนผมก็เพิ่มขึ้นได้ประมาณ 15 บ้าง 20 บ้าง จนตอนนี้ผมได้ประมาณ 36 เต็ม 40 ครับใน part listening แล้วก็ Part อื่นๆ เช่น part writing กับ Reading สองพาร์ทนี้จะเป็นจุดอ่อนของผมโดยเฉพาะการเขียน คือมันไม่มีแนวตายตัว คะแนนจะดรอปๆ ลงมาหน่อย แต่อย่างน้อยๆ ผมมาเรียนที่นี่ผมได้รู้แพทเทิร์น ได้รู้แนวเขียน Essay ที่ IELTS ต้องการ ก็จะทำให้ผมคะแนนดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก จากผมได้คะแนน Writing ประมาณ 4 เต็ม 9 จนตอนนี้ผมได้ประมาณ 6.5 มันก็พัฒนาขึ้นเยอะครับ
ชอบเรียน Class ไหนมากที่สุด ?
IELTS จะแบ่งออกเป็น 2 คลาส คือ พูดกับฟัง แล้วก็จะแยกเป็น อ่านกับเขียน สำหรับผม ผมชอบพูดกับฟัง มากกว่าครับ เพราะไม่ทำให้เราง่วง (หัวเราะ) แต่ว่าพาร์ทอ่านกับเขียนผมไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ เช่นพาร์ทเขียนเราไม่รู้ว่าคนตรวจข้อสอบคนไหนเขาจะให้คะแนนเราต่างกันมากน้อยยังไง บางคนก็เข้มงวดมาก บางคนก็ผ่อนมากเลย เราก็ไม่รู้ครับ ส่วนการอ่าน ผมไม่ชอบอยู่แล้ว เพราะว่าเวลาผมอ่านแล้วผมจะง่วงครับ ไม่ค่อย Active เพราะฉะนั้นถ้าเรียน Speaking ผมได้พูดผมก็ไม่ง่วง Listening ผมก็มีสมาธิในการฟัง ผมก็ไม่ง่วงเหมือนกัน ผมคิดว่า Listening กับ Speaking มันน่าจะโอเคสำหรับผมมากที่สุด แต่ว่ายังไงก็ตาม ผมชอบการเรียนเตรียมสอบ IELTS อย่างนี้ทั้งหมดอยู่แล้วครับ ผมคิดว่ามีประโยชน์
จำนวนนักเรียนแต่ละคลาสเยอะไหม ?
ช่วง Summer มีประมาณ 16 คนครับ แต่ล่าสุดที่ผมเรียนมันจะเข้าหน้าหนาวแล้ว ก็จะลดลงมาเหลือประมาณสัก 10 คนครับ อาจารย์จะใช้วิธีช่วยให้นักเรียนพยายามแสดงความคิดเห็น กล้าแสดงออก เช่น อาจารย์เฉลยผิด อาจารย์เขาจะพูดมาก่อนว่า ถ้าเขาทำอะไรผิดหรือเฉลยผิด ก็ให้แย้งขึ้นมาได้เลยนะ ตอนแรกๆ ก็ไม่มีคนแย้ง แต่พอมีคนแย้งขึ้นมาคนนึงปุ๊บ ทั้งห้องก็เริ่มพากันทำแบบนั้นด้วย มันก็แล้วแต่คลาสด้วยเหมือนกันครับ ถามว่ามันมีบางคลาสไหมที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกกัน ก็มีครับ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์ด้วยเหมือนกัน ในความรู้สึกของผมนะครับ ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้มาสอนเพื่อว่าจะให้หวังผลขนาดนั้น คือเขาสอนดีนะครับ แต่ว่าเขาไม่ได้พยายามสร้างความสัมพันธ์กับเด็กขนาดนั้นครับ
มี Class ที่ไม่ชอบเรียนไหม ?
มีครับ (หัวเราะ) ตอนช่วงเดือนที่ 2 ครับ อันนี้ก็เป็น IELTS เหมือนกัน ด้วยความที่ผมไม่ชอบอาจารย์ก็เลยเปลี่ยนไปเป็น Singing ด้วยความที่ผมอยากพักด้วย ผมรู้สึกว่าเวลาผมเรียน ผมเครียด แล้วผมก็ไม่ได้อยากไปเรียนคลาสเขา แล้วบุคลิกของอาจารย์เขาเป็นคนพูดเสียงดัง ตอนนั้นผมเลยคิดว่าอาจารย์เขาตะโกนใส่นักเรียนรึเปล่า ขึ้นเสียงใส่นักเรียนรึเปล่า ซึ่งนักเรียนบางคนในคลาสเขาก็อายุประมาณ 50-60 แล้ว บางคนเขาเป็นคุณหมอ เป็นอะไร มาเรียนภาษากัน ผมก็ไม่คิดว่าอาจารย์เขาจะทำแบบนั้น กับคุณป้า คุณลุง (หัวเราะ) แต่ด้วยความที่ผมเป็นเด็กม. ปลาย ผมคิดว่าผมทนได้ แต่เพราะผมเครียดมาก ผมเลยเปลี่ยนมาเป็น Singing ครับ
คลาส Singing เป็นยังไง ?
คลาสร้องเพลงครับ ผมได้เพื่อนจากคลาสนี้เยอะมาก แล้วก็เป็นคลาสที่ป๊อบปูล่ามากๆ เขาจะมีอาจารย์แค่คนเดียว ชื่อ บีบี เป็นผู้หญิงเขาสอนดีมาก พลังเยอะมาก แล้วนักเรียนแต่ละคนตอนแรกมาก็หงิมๆ พอหลังจากจบคลาสนั้นไปประมาณเดือนนึงก็สนิทกันมาก ไปไหนไปกัน ส่วนใหญ่ที่ผมไปเที่ยวกับเพื่อน ผมก็ได้มาจากคลาส singing นี่แหละครับ
คลาส Singing นี้จะเรียนแปลเนื้อหาจากในเพลงว่าเพลงนี้พยายามจะสื่ออะไร ความหมายของคำนี้คืออะไร บางเพลงจะมีไวยากรณ์ที่น่าสนใจ เขาก็จะนำเสนอไวยากรณ์นั้นด้วย นักเรียนที่มาเรียนคลาสนี้เขาก็อยากจะมาผ่อนคลายจากการเรียนครับ ช่วงสองเดือนแรกที่ผมเรียนที่นี่มันก็สนุกสนานดีแล้วก็ผ่อนคลายด้วยครับ
นักเรียนมีชาติอะไรบ้าง อายุเท่าไหร่?
หลายชาติมากเลยครับ ส่วนใหญ่เพื่อนผมจะเป็นบราซิลกันหมดเลยครับ ตอนช่วง Summer มีนักเรียนอายุ 16-17 ผมก็มีเพื่อนเยอะมาก ไปเที่ยวด้วยกัน ไปดูพลุด้วยกันบ่อยครับ พอช่วงหน้าหนาวเพื่อนก็เริ่มกลับ ตอนนี้ผมก็มีเพื่อนอายุประมาณ 26-27 บางคน 50-60 ก็มีเป็นเพื่อนผมครับ เพราะว่าเด็ก 16-17 เขาก็เปิดเทอมกันแล้ว เขาก็ไม่ได้มาเรียนภาษาแบบผม ส่วนใหญ่ชาติที่ผมเจอจะเป็นบราซิล ส่วนใหญ่ฝั่งยุโรปไม่ค่อยมี ยุโรปส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นเยอรมัน ถ้าเอเชีย เกาหลีเยอะมาก ไต้หวันเยอะมาก จีนก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไต้หวันครับ ญี่ปุ่นก็มี
คะแนนเต็ม 10 ให้สถาบัน ILSC กี่คะแนน ?
ผมให้ 8 คะแนนแล้วกัน เพราะว่าในเรื่องของอาจารย์บางคนด้วย เรื่องของ Service บางคนด้วย พอดีว่าผมไปหา Reception ข้างหน้า เขาก็เหมือนว่าดุผม ตอนนั้นผมก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เขาไม่ยิ้มเลย ผมคิดว่า เขาไม่น่าจะเฟรนลี่มั้ง (หัวเราะ) นอกจากคนนี้ก็มีพี่คนนึงเขายิ้มเยอะมาก แล้วเขาก็กระตือรือร้นมากเลย มีอะไรผมก็สามารถถามเขาได้ เขาก็จะสดใสตลอดเวลา ผมก็ชอบครับ
อากาศช่วงที่ไปเรียนเป็นยังไง ( July 2019 – Dec 2019) ?
ผมไปตั้งแต่กรกฎาคมครับ อากาศเหมือนเมืองไทยเลย แต่ว่าไม่ร้อนเท่าเมืองไทยนะครับ ประมาณ 32 องศา แดดเยอะอยู่เหมือนกัน หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือนก็เข้าหน้าฝน ฝนตกเกือบทุกวันเลย บางวันมีแดด บางวันฝนตกแดดออกบ้าง มันก็จะแฉะๆ ช่วงนั้นอุณภูมิก็จะลดลงมาเหลือประมาณ 18-20 องศา มาถึงเดือนนี้ครับลดลงมาเหลือ 7-8 องศาแล้วครับ ก็ช่วงหน้าฝน ตอนนี้ก็ยังมีฝนตกอยู่ครับ แต่ว่าก็มีแดดบ้าง ครึ้มบ้าง อุณภูมิตอนนี้ก็ถือว่าหนาวแล้วครับสำหรับผม
เคยเรียนภาษาอังกฤษที่อื่นมาก่อนไหม ต่างกันยังไงบ้าง ?
ถ้าภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศผมไม่เคยเลยครับ แต่ถ้าเรียนภาษาอังกฤษในไทยก็มีเรียนพิเศษตามกวดวิชาต่างๆ บ้าง ซึ่งมันต่างจากที่นี่มาก เพราะว่าเราเรียนเสร็จที่นี่ผมได้ใช้ด้วย แต่ตอนเรียนที่ไทยผมได้แต่ท่อง ท่อง ท่อง ครับ ผมไม่ได้ใช้ คำศัพท์บางคำเราไม่รู้ว่าจะใช้ได้ในสถานการณ์ไหนดี พอเราไปใช้บางสถานการณ์มันก็ผิด แต่ว่าพอเรามาที่นี่ เราเรียนในห้อง แล้วบางทีเรานำไปใช้กับโฮสแฟมิลี่ เขาก็จะบอกว่า ใช้คำนี้ไม่ได้นะ ใช้คำนี้ได้ มันก็ดีเขาจะได้ปรับแก้ให้เราด้วยจาก Native เลย
โฮสแฟมิลี่เป็นยังไง ?
โฮสดีมากเลยครับ ตอนที่เจอโฮสครั้งแรก วันแรกเขาก็เลี้ยงดีเลย เขาก็เข้าใจเราเพราะว่าดินเนอร์มื้อแรก เขาพยายามเอาอาหารเอเชียมาให้เรา เพราะรู้สึกว่าอยากให้เราปรับตัวก่อน อันนี้เป็น First impression ที่ผมชอบมากๆ อีกอย่างคือ โฮสเขาดูแลเอาใจใส่ดี อย่างตอนทานอาหารค่ำกันเขาก็จะถามตลอดเวลาว่า วันนี้เป็นยังไงบ้าง เราต้องเล่าให้เขาฟัง บางเรื่องที่เราไม่สบายทั้งในบ้าน นอกบ้าน บางเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียน ถ้าเขาช่วยได้เขาก็จะช่วย บางเรื่องที่เราไม่โอเคนะกับ Housemate (นักเรียนอีกคนที่อาศัยอยู่กับโฮสเดียวกัน) เราบอกเขา เขาก็จะหาวิธีแก้ให้ครับ
บ้านที่อยู่เป็นบ้านเล็กในบ้านมี 5 คน host mom, host dad, ลูกชายโฮส, ผม เเล้วก็ hosemate ครับผมมี Housemate คนเดียวเองมาจากฝรั่งเศสครับ อายุ 21 ปี แต่ว่าผมไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ เขาเป็นคนไม่ค่อยเฟรนลี่ (friendly) มั้ง ตอนที่เจอกันก็ทักกันนิดเดียวครับ หลังจากนั้นผมก็ทักเขามาตลอด ถ้าผมไม่ทักเขา เขาก็ไม่ทักผม ผมก็เลยงงนิดหน่อย ว่าเขาเป็นคนไม่ค่อยเฟรนลี่รึเปล่า
เรื่องอาหารตอนนี้ผมปรับตัวได้แล้วครับ ตอนนี้เริ่มกินได้บ้าง ตอนแรกผมกิน Taco ไม่ได้เลย เพราะว่ามันจืดมาก แล้วก็ไม่มีรสชาติเลย คอแห้งมากตอนกิน Taco ไป ตอนนี้เริ่มปรับกับอาหารที่นี่ได้เเล้วครับ
ตอนแรกผมคิดถึงอาหารไทยมาก แต่ตอนนี้ไม่ค่อยคิดถึงแล้ว เพราะว่าผมตัดสินใจทำอาหารไทยเอง ไปซื้อวัตถุดิบมา ซื้อพริก ซื้อกระเทียมมาทำเองเลย ก่อนมาแคนาดาทำอาหารไม่เป็นเลย ทอดไข่เจียว ไข่ดาวไม่เป็นเลยครับ (หัวเราะ) ตอนนี้ทำกะเพราได้ ทำต้มไก่ ต้มแซ่บได้ ไข่เจียว ไข่ดาวทำเป็นแล้ว หุงข้าว หุงข้าวเหนียวได้หมดแล้วครับผม (หัวเราะ) อยู่บ้านกับโฮส ที่จริงโฮสไม่ได้บอกให้ทำอะไรนะครับ แต่ผมว่าช่วยโฮสก็น่าจะดีกว่า ผมช่วยโฮสทุกมื้อเลยนะครับ ผมเก็บจานให้ แต่ที่นี่เขาใช้เครื่องล้างจานมันก็จะง่ายกว่า
การเดินทางใน Vancouver เป็นยังไง ?
การเดินทางสะดวกมากครับ มีรถไฟไปทุกที่เลย แล้วก็มีบัสเกือบทุกที่เลย แต่ว่าบางสถานีรถบัสก็ต้องรอนานมาก บางทีผมไปช่วงที่ดึกๆ มันก็ไม่มีบัส แต่ถามว่าสะดวกไหม จากเมืองนึงไปอีกเมืองนึงสะดวกมากครับ เพราะว่ารถไฟเร็ว แล้วก็สะดวกสบายที่เดินทางโดยรถไฟ ด้วยความที่ว่าบ้านผมใกล้รถไฟด้วยครับก็เลยเดินไปได้ จากบ้านไปโรงเรียนใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงนึง รวมรอรถบัส รถไฟ แล้วก็เดินไปโรงเรียนครับ
วันหยุดทำอะไรบ้าง ?
ปกติวันหยุดไปเที่ยวกับเพื่อน ก็ไปเที่ยวในดาวน์ทาวน์ครับ ไปกินข้าว ไปแฮงค์เอ้าท์กัน บางทีก็ไปช้อปปิ้ง แต่ว่าช่วงเดือนหลังๆ ที่จะต้องเตรียมสอบ IELTS ก็อยู่บ้านอ่านหนังสือบ้างครับ ที่เที่ยวอื่นก็มีไป Joffre Lake ไป Capilano ไป Whistler ครับ ไปกันกับเพื่อน เช่ารถขับกันไป เพื่อนมีใบขับขี่สากล ประมาณ 4-5 ชั่วโมงกว่าจะไปถึง Joffre Lake แล้วก็หนาวมาก แต่ว่าสวยมาก ชอบครับ ทุกทริปไปเช้า-เย็นกลับ ผมไม่กล้าค้างครับ เพราะว่าค้างคืนมันจะแพงครับ
ควรที่จะมี Pocket money เท่าไหร่ต่อ 4 สัปดาห์ ?
ถ้าสมมติว่าถ้าตัดเรื่องช้อปปิ้งออก ผมว่า CAD $300 พอแล้วนะครับต่อเดือน ค่ากินอยู่ ค่ารถไฟ ที่จำเป็นผมว่าสามร้อยก็น่าจะพอ ถ้ารวมช้อปปิ้งด้วยก็แล้วแต่คนนะครับ (หัวเราะ) แต่ผมได้ Pocket money เดือนละ CAD $500 ผมก็พยายามเมเนจ (manage) เงินไว้
สมมติว่า เราไปสำรวจก่อนว่าเราอยากได้อะไร เสื้อตัวไหนสวย มันลดรึเปล่า แล้วก็ไปศึกษามา ช่วงสิ้นเดือนปุ๊บ ผมก็จะพยายาม อาทิตย์นี้จะไม่กินข้าว หรือว่ากินข้าวน้อยลงบ้างครับ ก็จะเก็บตังค์ไปซื้อของ (หัวเราะ) เราก็ต้องวางแผนให้ได้มากที่สุดครับ การทำกับข้าวกินเองก็ช่วยประหยัดมากครับ ผมซื้อหมู ซื้อวัตถุดิบทั้งหมดมาประมาณอาทิตย์ละ CAD $20-30 กว่า แต่ว่ากับข้าวทำได้ทั้งเดือนเลยนะครับ ก็จะมีเงินไปเที่ยวเยอะขึ้นครับ
ฝากบอกอะไรกับคนที่กำลังตัดสินใจไปเรียนที่แคนาดา ?
ถ้าจะมาเรียน ผมแนะนำให้มาเรียนที่แคนาดาครับ ดีมากเลย ผมคิดว่าแคนาดาเป็นชาตินึงที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักของชาติเขาด้วย ด้วยความที่ว่าสิ่งแวดล้อม ผู้คน อากาศ สถานที่สวยๆ ทุกอย่างดีหมดเลย ผมคิดว่าที่แคนาดามีอาชญากรรมน้อยมากๆ น่าจะปลอดภัยสำหรับเด็กๆ ที่จะมาเรียนภาษาด้วย ถ้าจะให้มาเรียนดีๆ จริงๆ เลย ผมคิดว่า 3 เดือนก็อยู่แล้ว ผมคิดว่าภาษาเราสามารถพัฒนาได้ด้วยตัวของเราเอง ถ้าเราเรียนมากก็ยิ่งได้มาก แคนาดาดีครับ แต่ผมไม่เคยไปประเทศอื่นนะครับ ส่วนตัวผมรู้สึกว่าแคนาดาดีมาก
ทำไมถึงเลือกใช้บริการก้อปันกัน ?
เพราะว่ามีคนแนะนำมาครับ เป็นคุณป้าที่เป็นเพื่อนคุณแม่ เขาบอกว่าลูกชายไปกับก้อปันกันบ่อย ตอนนั้นไม่ได้มีตัวเลือกที่จะไปแลกเปลี่ยนด้วย เพราะว่าตอนนั้นผมตัดสินใจตอนมกราคมแล้ว ก็เลยคิดว่าไปกับก้อปันกันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี ผมเลยมากับก้อปันกัน
พอผมมากับก้อปันกันผมคิดว่า ก้อปันกันดีมาก เพราะเทียบกับเอเจนซี่อื่นที่เพื่อนๆ ผมมา เขาดูแลไม่ดี พอเด็กเขามาถึงปุ๊บเหมือนเขาตัดเลย ถ้ามากับบริษัทของพี่กันต์ ก็จะมีถามบ้าง อะไรบ้าง ผมถามเพื่อนว่าเอเจนซี่เขาถามอะไรอย่างนี้ไหม เขาก็บอกว่าไม่เลย พอมาถึงปุ๊บก็ปล่อยเลย เช่น เพื่อนผมอยากทำ Work Permit ก็ติดต่อสอบถามไป ผมก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดแต่ทางเอเจนซี่เขาปัดให้ไปถามคนนู้นนะ คนนี้นะ ไม่ได้พยายามดำเนินการให้ครับ
อยากให้ก้อปันกันปรับปรุงอะไรเพิ่มเติมไหม ?
ไม่มีนะครับ (หัวเราะ) ผมประทับใจมากที่ได้มากับก้อปันกัน เพราะว่ามันดีมากครับ ประทับใจมากครับ
เกี่ยวกับ ILSC Canada คลิก
# เรียนภาษาที่แคนาดา ILSC Vancouver
Photo Credits : เล้ง