รีวิว เรียนหลักสูตร General English ที่ฟิลิปปินส์
ระยะเวลา 8 สัปดาห์ (2 March to 25 April 2025)
กับสถาบัน Joyful Education โดยคุณออม
ทำไมเลือกไปเรียนภาษาอังกฤษที่ฟิลิปปินส์ ?
เพราะว่าใกล้ประเทศไทย ค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับไปประเทศอื่นก็จะถูกกว่าค่ะ พอดีออมดู Youtube ช่องไหนพาปัง ของพี่บอลพี่ยอด เห็นว่ามีเรียนที่ฟิลิปปินส์ด้วย แล้วช่วงที่ไปก็มีเวลาแค่ 2 เดือน ถ้าไปประเทศอื่นอาจจะต้องใช้เวลามากกว่านี้ ฟิลิปปินส์ก็เลยตอบโจทย์กับการไปเรียนในช่วงนี้ได้ค่ะ
เป้าหมายในการมาเรียน ?
อยากพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวเองให้ดีขึ้น เพราะว่า เวลาพูดถ้าเกิดเวลาคนต่างชาติฟังเขาจะงงๆ ว่าเราออกเสียงอะไร พอดีเคยได้ยินคนพูดว่า ครูฟิลิปปินส์ค่อนข้างเก่งเรื่องโฟนิคส์ (Phonics) ก็เลยมาลองเรียนที่ฟิลิปปินส์ดูค่ะ
อีกอย่างพี่เขยเป็นชาวต่างชาติ แล้วหลานเป็นลูกครึ่ง หลานพูดไทยได้ไม่ค่อยเยอะ ก็เลยอยากสื่อสารกับหลานได้มากขึ้นด้วยค่ะ
ทำไมถึงเลือกเมืองเซบู ?
เท่าที่หาข้อมูลมา บาเกียวจะอากาศหนาวกว่าที่เซบูแล้วก็ชื้นใช่ไหมคะ พอดีออมไม่ชอบที่ที่เย็นแล้วก็ชื้นมากก็เลยเลือกไปเซบูแทนค่ะ
ทำไมถึงเลือกเรียนที่สถาบัน Joyful ?
ตอนที่ออมจะสมัคร ก็บอกความต้องการไปกับทาง KPG แล้วทาง KPG ก็เสนอโรงเรียนมาให้ แล้วทาง Joyful Education ตอบโจทย์ตรงกับความต้องการของออมได้มากที่สุดแล้วค่ะ ก็เลยเลือกที่ Joyful
สิ่งที่คิดก่อนไปเรียนกับพอไปเรียนจริงๆ เเล้วเหมือนหรือแตกต่างกันยังไงบ้าง ?
ก่อนไปเรียนไม่ได้คาดหวังมาก แต่กลายเป็นว่าพอไปเรียนในวันแรก ครูออมจะมีทั้งหมด 3 คนค่ะ ครูก็จะถามว่า ความต้องการของออมคืออะไร ออมก็แจ้งครูว่า ออมอยากพัฒนาเกี่ยวกับการออกเสียง (pronunciation) การพูด การเขียน ส่วนการอ่านไม่ได้เน้นมากค่ะ แล้วพอวันรุ่งขึ้นก็แปลกใจมาก ครูเขาก็เตรียมตัวมาให้ตรงกับความต้องการที่ออมบอกไปเมื่อวันก่อน ก็เลยรู้สึกดีมากที่ครูเขาพยายาม ซึ่งครูเขาก็ถามว่า อันนี้มันตรงกับความต้องการของเราไหมแบบนี้ค่ะ ตอนเเรกก็เหนือความคาดหมายไปเลย
แต่อาจจะเพราะว่าเราต้องมีสอบ Mock Test เพื่อที่จะวัดระดับของเราว่า พอเราเรียนแล้วเรามีพัฒนาการไหม ก็เลยทำให้มีความรู้สึกว่าในบางครั้งการเรียน เราเรียนเพื่อไปทำข้อสอบอ่ะค่ะ เพื่อที่ว่า เดี๋ยวพอเรามีสอบเราจะได้ทำได้ด้วยค่ะ ซึ่งถือว่าดีนะคะ เช่น เวลามีคนถามคำถามเรา นอกจากที่เราต้องตอบว่า เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยแล้ว เราต้องตอบเหตุผลของเราว่าเพราะอะไร และยกตัวอย่างด้วย คือก่อนหน้านี้เราไม่เคยสอบ IELTS หรือสอบอะไรมาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่าแบบนี้เป็นวิธีการในการตอบเวลาสอบค่ะ แต่ถือว่าโอเคดีค่ะ
ในส่วนของคาบ Listening แต่จะเป็นในช่วงท้ายๆ แล้วค่ะ ครูเขาจะสอนทริคเวลาฟัง อาจจะมีคำบางคำที่หลอกเรา เราอาจจะต้องฟัง ซึ่งคำตอบอาจจะมาหลังคำๆนี้นะ ไม่ใช่ก่อนหน้านี้ ประมาณนี้ค่ะ ก็จะมีสอนเพื่อเตรียมตัวเราเพื่อเอาไปใช้สอบค่ะ
ผ่าน ต.ม. ยากไหม ?
ไม่ยากเลยค่ะ ออมก็ปริ๊นเอกสารที่ทาง KPG เเจ้งไว้ ให้เขาดู เขาก็อ่านๆ เปิดอ่านละเอียดนะคะ ทุกอย่าง เเล้วก็มีคำถาม เช่น มาทำอะไร ก็บอกว่า มาเรียน มาเรียนที่โรงเรียนอะไร ไม่ได้มีคำถามหรืออะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่เกี่ยวกับที่เราจะไปเลย ไม่มีเลยค่ะ
พอไปถึงโรงเรียนวันเเรก เจ้าหน้าที่มีเเนะนำอะไรบ้าง ?
พอออมไปถึงมันเป็นวันอาทิตย์ เขาให้เช็คอินที่โรงเเรม เเล้วก็ให้พักผ่อน เพราะเอกสารทั้งหมดก็อยู่ที่ห้องพักของเราแล้ว ในเอกสารก็จะบอกว่า วันพรุ่งนี้ตอน 9 โมงเช้าก็จะมีสอบก่อน ช่วงบ่ายก็จะเป็นปฐมนิเทศน์ แต่ก็ไม่มีพาไปเดินเเนะนำโรงเรียนนะคะ เพราะว่ามันมีเอกสารที่เราต้องอ่านแล้ว
ตอนออมไปถึงมันยังไม่หมดเวลาทานอาหาร เเต่เจ้าหน้าที่ห้องอาหารเขาไม่มีเบอร์ห้องออม เขาก็ไม่ให้เข้า ก็เลยไปถามล็อบบี้ที่เป็นเจ้าหน้าที่โรงเรียนด้วย เขาก็บอกว่า โอเค ไปทานได้เลย
ใน 1 วัน เรียนอะไรบ้าง ?
คลาสเรียนจะคาบละ 45 นาทีค่ะ เรียน 6 คาบต่อวัน ครูมีทั้งหมด 3 คน เพราะทุกๆ 2 คาบ จะเป็นครูคนเดียวกันค่ะ
08:40 – 09:25 น. และ 09:30 – 10:15 น. START-UP 4A เรียนตัวต่อตัว
คุณครูก็จะสอนการออกเสียงนะคะ มีการถามคำถาม ในบางครั้งก็จะเอาเรื่องการเขียนมาฝึกในคลาสนี้ด้วย ใช้หนังสืออาจจะไม่ค่อยเยอะมากเท่าไหร่ จะใช้เกี่ยวกับบทสนทนาทั่วๆ ไป เช่น คุณครูอาจจะถามเกี่ยวกับประเทศไทย ถามเกี่ยวกับงาน ถามเรื่องทั่วไปหรือเรื่องอื่นๆ ที่ถูกยกขึ้นมา เพื่อฝึกการพูด พอออมพูดแล้วถ้ามีคำไหนที่ออกเสียงไม่ชัด ครูเขาจะเขียนแล้วให้ฝึกคำๆ นั้น ครูเขาก็จะสอนว่าคำนี้จะต้องออกเสียงยังไง ให้ฝึกจนเราออกเสียงได้ หรือออกเสียงได้ใกล้เคียงที่สุดค่ะ ซึ่งครูคนนี้ออมคิดว่าเขาจะเป็นคุณครูที่คอยรับผิดชอบออมค่ะ เพราะวันศุกร์ในบางสัปดาห์ คุณครูจะมีจดหมายรีวิวให้ว่าในสัปดาห์นี้เรามีพัฒนาการอย่างไรบ้างค่ะ
10:25 – 11:10 น. และ 11:15 – 12:00 น. START-UP 4B เรียนตัวต่อตัว
คุณครูท่านนี้จะสอนโดยอิงจากในหนังสือแล้วก็จะเสริมเนื้อหาข้างนอกให้ค่อนข้างเยอะมากค่ะ ทุกๆ วัน คุณครูจะมี Idioms มาให้ และจะถามเราว่าคุ้นกับคำนี้ไหม ถ้าไม่คุ้นคิดว่าคำนี้จะเเปลว่าอะไร พอรู้ความหมายแล้ว ครูเขาก็จะให้แต่งประโยคเพื่อเป็นการยืนยันว่าเราเข้าใจจริงๆ จะเป็นสไตล์การสอนของครูท่านนี้ค่ะ แล้วก็คุณครูจะหากิจกรรม หาเกม หาคำศัพท์ที่ advance มาให้ เพราะถ้าเรารู้คำศัพท์ที่มากกว่า Basic มันก็อาจจะช่วยเพิ่มคะแนนของเราได้ค่ะ
หนังสือที่ใช้เรียนกับครูของ 2 ท่าน จะใช้หนังสือเล่มเดียวกัน แต่เขาจะแบ่งบทกันสอนค่ะ ถ้าคุณครูคนเเรกจะเป็นบทเลขคี่ คุณครูคนที่สองจะเป็นบทเลขคู่ค่ะ
เหมือนคุณครูทั้ง 3 ท่านเขาจะคุยกันตลอดนะคะ ถ้าคุณครูท่านแรกสอนวิธีการออกเสียงค่อนข้างเยอะแล้ว คุณครูท่านอื่นก็จะเน้นเรื่องอื่นแทนค่ะ
13:00 – 13:45 น. และ 13:50 – 14:35 น. DISCUSSION
ตอน 6 สัปดาห์แรกออมเรียนแบบตัวต่อตัวค่ะ เพราะไม่มีคนที่เรียนอยู่ในเลเวลเดียวกันค่ะ (หัวเราะ) พอ 2 สัปดาห์สุดท้าย มีเพื่อนนักเรียนญี่ปุ่นมาเรียนด้วย 1 คนค่ะ มีเพื่อนมาเรียนด้วยก็สนุกดีนะคะ ไม่ต้องตอบเยอะ (หัวเราะ) เพราะว่าเราเรียนตัวต่อตัวทั้งวันเลย บางทีเรามีความสงสัยในเรื่องสิ่งที่เคยได้ยินจากคนญี่ปุ่นมา เราก็สามารถถามแล้วก็แลกเปลี่ยนกันได้ รู้สึกว่าสนุกดีค่ะ
ในแต่ละวันก็จะมีหัวข้อมา เช่น Family แล้วก็จะมีคำถาม ซึ่งคำถามเขาจะแบ่งเป็น 3 พาร์ท เหมือนข้อสอบ speaking ของ IELTS เลยค่ะ เช่น พาร์ทแรกก็จะถามคำถามทั่วๆ ไปก่อน พาร์ทที่สองก็จะมีบัตรคำถามมาให้อธิบายเหตุการณ์ในหัวข้อที่ได้มาพร้อมยกตัวอย่าง โดยที่เรามีเวลาเตรียมคำตอบได้ 1 นาที และให้เรามีเวลาตอบได้ 2 นาที (แต่ครูก็ไม่ได้จริงจังขนาดนั้นกับเวลา) และพาร์ทที่สามเป็นคำถามเกี่ยวกับความคิดเห็นของเราค่ะ ตอนแรกออมไม่รู่ว่ามันอ้างอิงมาจาก IELTS จนเราสอบไปหลายๆ ครั้ง ครูเขาก็พูดมาว่ามันเหมือนกับสอบ speaking เลยใช่ไหม เราก็เออ ใช่ มันคือแพทเทิร์นเดียวกันเลยที่คุณครูเขาทำในทุกครั้งค่ะ
นักเรียนที่เรียน ESL จะต้องสอบ 4 ทักษะค่ะ สอบสัปดาห์เว้นสัปดาห์ค่ะ แต่สัปดาห์ที่เว้นไปก็ต้องสอบแค่ Speaking ค่ะ ซึ่งก็นับว่ามีสอบทุกสัปดาห์ค่ะ
ซึ่งจริงๆ ถือว่าดีเลยนะคะในวิธีของคุณครู ค่อยๆให้เราซึมซับวิธีการตอบไป เช่นในพาร์ทที่สาม ที่ถามความคิดเห็นของเรา นอกจากตอบเห็นด้วยไม่เห็นด้วยแล้ว ต้องบอกด้วยว่าเพราะอะไร และยกตัวอย่างมาค่ะ คุณครูเขาก็ค่อยๆฝึกให้เรา คิดได้เร็วด้วย แล้วก็คำตอบก็ต้องซัพพอร์ทในสิ่งที่เราตอบด้วยค่ะ
แต่เราไม่รู้สึกเครียดหรือซีเรียสนะคะ เพราะคุณครูเขาก็เนียนๆ คุยปกติไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเราตอบข้อสอบอยู่เลยค่ะ เวลาที่เราคุยกันโดยเฉพาะ 6 สัปดาห์เเรกที่มีแค่ครูกับออม ครูเขาก็จะแชร์ในมุมของเขาในคำถามนั้นๆ ด้วยค่ะ มันก็เลยไม่รู้สึกว่าเป็นคำถามที่เรากำลังทำข้อสอบอยู่ค่ะ เพราะเขาก็เเชร์ของเขาด้วยค่ะ
ออมขอเสริมในส่วนของคุณครูค่ะ พอดีออมพูดแต่ในด้านการเนื้อหาการสอน คุณครูทั้งสามคนยินดีตอบข้อสงสัยและแนะนำออมทุกเรื่องทั้งสถานที่เที่ยวและการใช้ชีวิตในเซบูค่ะ เลยทำให้รู้สึกอุ่นใจ คือมีอะไรสงสัยก็คุยกับครูได้หมดค่ะ เหมือนคุยกับเพื่อนค่ะ
เพื่อนร่วมคลาสเป็นอย่างไรบ้าง ?
ออมคิดว่าน่าจะอายุ 30 ต้นๆ ค่ะ ไม่โตมากค่ะ ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นเพราะว่าทำงานแล้วค่ะ เขาน่าจะเคยไป work and holiday ที่ออสเตรเลียมาก่อน จะไม่ใช่คุณพ่อคุณเเม่ที่พาลูกๆ มาเรียนค่ะ
ที่โรงเรียนมีนักเรียน เยอะไหม ?
ช่วง 2-3 สัปดาห์เเรกจะมีกลุ่มเด็กญี่ปุ่นที่เป็น Junior มา 10 กว่าคนค่ะ ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่มีนักเรียนเยอะค่ะ ถ้าเป็นนักเรียนทั่วๆ ไปที่มาคนเดียวแบบออม น่าจะประมาณ 10 คนนะคะ ไม่ค่อยเยอะค่ะ
แต่สัปดาห์ที่ 5 มา มีนักเรียนกลุ่มใหม่มา เป็นนักเรียนไทยอีกคนนึง มาพร้อมกับคนญี่ปุ่นด้วย เวลาเรียนคลาสกลุ่มเขาก็ได้เรียนด้วยกัน 2 คน ตลอดเลยค่ะที่มาพร้อมกัน คนไทยเป็นผู้ชาย อายุน่าจะประมาณ 50 กว่าแล้วค่ะ เขาเคยไปเรียนภาษามาหลายที่แล้วนะคะ น่าจะทั้งออสเตรเลีย เเละอังกฤษก็เคยไป แต่เขาบอกว่า เขารู้สึกว่ามาเรียนที่ฟิลิปปินส์มันคุ้มมากเพราะเขาเรียนตั้งเเต่ 08:40-17:00 น. อัดเข้ามาเต็มที่เลย ซึ่งเขาก็โอเคนะคะ แต่เขามาจากเอเจนซี่อื่นค่ะ เขาบอกว่า เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเอเจนท์จะไม่ได้มาส่งเขาที่สนามบิน เพราะเขาโทรหาเอเจนท์ตอนอยู่ที่สนามบินว่าอยู่ไหนจะได้มาเจอกัน เขาก็เลยเพิ่งรู้ตอนนั้นว่าเขาต้องเดินทางคนเดียวนะ ออมก็บอกอ้าว ไม่มีการเตรียมตัวให้ก่อนเหรอ อันนี้คือความต่างกับ KPG เลยค่ะ
อาหารที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง ?
ออมแพ้ผงชูรสใช่ไหมคะ ออมเลยบอกว่า มื้อเย็นออมไม่ค่อยได้ทานอยู่เเล้ว มื้อกลางวันออมขอเป็นไข่กับผักสลัด โรงเรียนก็เตรียมให้ทุกวันค่ะ ซึ่งถึงแม้จะเป็นเมนูเดิม แต่น่ารักมาก เพราะจัดจานมาไม่ซ้ำกันเลย ถึงแม้จะเป็นไข่ มีมะเขือเทศ ผักกาดแก้ว แตงกวา เขาก็จะจัดจานต่างกันค่ะ (หัวเราะ) ออมก็รู้สึกว่าโอเค เขาตั้งใจดีเน๊อะ
ตอนวันแรกเขาจะมีของทอดๆ เเต่ไม่ได้ใส่ผงชูรสมา แต่ออมก็รู้สึกว่าให้ออมไปกินแค่ไข่กับผักออมก็โอเค เขาจะได้ไม่ต้องมาคอยเตรียม ต้องไปปรับสูตรอาหารรึเปล่า ก็เลยบอกเขาว่า ออมขอแบบนี้ดีกว่า ง่ายกว่า เขาก็เลยจัดการให้ค่ะ
ส่วนอาหารโรงเรียนปกติจะมีพาสต้า จะเป็นของทอดๆ เช่น พวกนักเก็ต ไส้กรอก ซึ่งออมไม่ได้กินพวกนี้เท่าไหร่อยู่แล้วค่ะ แต่คุณพี่คนไทยอีกคน เขาบ่นว่าอาหารเลี่ยนมาก (หัวเราะ) เขาบอกเขาทนไม่ไหว เขากินมื้อกลางวันเสร็จต้องกินมาม่าต่อเพราะมันเลี่ยนจริงๆ ค่ะ
ตอนเช้าก็จะมีสลัดให้เราตักเองได้ เเล้วก็พวกไข่ พอตอนกลางวันก็เป็นผักสลัดที่รวมๆ มาแล้ว ถ้าคนที่ชอบทานผักก็จะทานได้น้อยมากค่ะ เพราะก็จะเป็นเนื้อสัตว์ กับของที่แปรรูปแล้วค่ะ ส่วนอาหารเย็นออมไม่ได้ลงไปดูเลยค่ะ พอดีออมทำงาน
ส่วนเสาร์ อาทิตย์ คือ อาหารเช้าของทุกๆ วันจะเหมือนๆ กันค่ะ เพราะต้องทานพร้อมกับลูกค้าของโรงเเรม
วันเสาร์มื้อกลางวันอาหารเหมือนวันธรรมดาค่ะ ส่วนวันอาทิตย์มื้อกลางวันจะไม่มีให้ค่ะ จะมีให้เเค่อาหารเช้ากับเย็นค่ะ
แล้วก็เราพักในโรงเเรมต้องทานอาหารร่วมกับลูกค้าในโรงเเรม เขาก็เลยมีกกฎว่าเราไม่สามารถเอาอาหารอย่างอื่นเข้าไปกินในห้องอาหารได้ค่ะ เช่น ถ้าเราเอาน้ำพริกไปด้วย เราก็เอาเข้าไปกินไม่ได้ค่ะ หรือจะเอาอาหารจากห้องอาหารไปกินนอกห้องอาหารก็ไม่ได้ค่ะ
เเล้วก็ที่นี่ก็ห้ามทำอาหารในห้องพักค่ะ เพราะเราจะใช้ไฟเกิน ไฟก็อาจจะดับได้ และก็จะเป็นเรื่องกลิ่น ที่ถ้าเราทำอาหารในห้อง ตัวจับสัญญาณควันไฟอาจจะจับได้และปล่อยน้ำออกมา ก็จะทำให้ห้องพักเสียหาย แต่ก็สามารถสั่งอาหารข้างนอกไปทานในห้องพักได้ค่ะ
แล้วก็ที่นี่ห้ามใช้มีดด้วยค่ะ เช่น ถ้าเราจะกินผลไม้อะไรที่ซื้อมาเอง เขามีบริการช่วยปอกผลไม้ให้ที่ rooftop เพราะถ้าไปซื้อแบบที่ปอกแล้วก็อาจจะไม่สะอาด ถ้าไปปอกให้ห้องเอง อาจจะมีแมลงขึ้นห้อง แต่ก็มีค่าบริการนะคะ 100 เปโซค่ะ แล้วก็ไม่ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแก้วในห้องค่ะ
ที่พักตรงปกไหม ?
ห้องพักโอเคเลยค่ะ ตรงปกค่ะ โรงเรียนเเจ้งว่าหากเราต้องการให้เปลี่ยนผ้าเช็ดตัวเเละเติมน้ำดื่ม เราสามารถขอได้ทุกวัน แต่วันที่เขาจะเข้ามาทำความสะอาดชั้นที่ออมพัก จะเข้ามาทุกวันอังคารกับวันพฤหัส เเต่วันพฤหัสจะมีเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ส่วนวันอังคารจะเป็นแค่ทำความสะอาด เอาขยะทิ้ง แล้วก็เปลี่ยนผ้าเช็คตัวให้ แต่ถ้าวันอื่นๆ อยากเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวใหม่ เราก็สามารถเเจ้งขอทางโรงเเรมได้ตลอดเวลาค่ะ ซึ่งเขาก็ทำความสะอาดดีนะคะ เพราะออมอ่านรีวิวโรงแรมก่อนไป ก็ไปเจอคนรีวิวประมาณว่า พื้นทำไม่สะอาด ออมก็เตรียมไม้ถูพื้นแบพกพาไปด้วยนะคะ แบบถ้าเขาทำไม่สะอาดเราก็ถูห้องเองก็ได้ ไม่เป็นปัญหาอะไร แต่เขาก็ทำความสะอาดได้ดีค่ะ
ตอนที่อยู่ก็มีไฟดับบ้างที่โรงเเรม แต่ออมเจอไม่ค่อยบ่อย มาเจอช่วงสัปดาห์หลังๆ ค่ะ บางวันก็ช่วงบ่ายๆ ของช่วงเสาร์ อาทิตย์ แต่พอดับไปบางทีไม่ถึงห้านาที เขาน่าจะมีเครื่องปั่นไฟ มันก็จะกลับมาใช้ได้ปกติ ถ้านานสุดก็ประมาณ 10 นาที แต่ถ้ามีดับตอนกลางคืน ก็จะเป็นทั้งชั้นของนักเรียน Joyful ที่พัก มันก็เลยโอเค เพราะทุกคนก็ดับหมด ก็มีเพื่อนที่ไฟดับด้วยกัน แต่ถ้าไปอยู่ที่พักของเเขกโรงเเรมก็อาจจะเหงาๆ หน่อยค่ะ
น้ำที่โรงเรียนก็มีรสกร่อยๆ หน่อย น้ำใสดีมากนะคะ ไม่ได้เหลือง จริงๆ เขาจะมีเครื่องกรองน้ำทุกห้องอยู่แล้ว แค่เราต้องเปิดน้ำทิ้งไว้สัก 1 นาทีก่อนใช้ค่ะ
บริการซักแห้งเป็นอย่างไร ?
ผ้าสะอาดเรียบร้อยดีค่ะ เขาให้ส่งได้วันจันทร์ พุธ ศุกร์ ซึ่งถ้าเราส่งวันจันทร์ตอนเช้าก็จะได้ผ้ากลับวันพุธช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ค่ะ เเล้วโรงเรียนเขาจะมีเเบบฟอร์มให้เรากรอกตอนส่งผ้าซักว่า เสื้อผ้าที่เราส่งมีอะไรบ้าง จำนวนเท่าไหร่ค่ะ จะส่งที่ชั้นเเรกของตึกอาคารเรียนค่ะ เราก็มีถุงใส่ผ้าของเรา เขาก็จะมีถุงพลาสติกใสๆ ให้เราใส่ไปในนั้นอีกทีนึง ส่วนผ้าที่เขาส่งมาคืนเรา เขาก็พับเรียบร้อย เเล้วก็เอาถุงพลาสติกห่อมาให้เเนบกับผ้าหมดเลยค่ะ ส่วนเเบบฟอร์มที่เรากรอกไว้ตอนส่งผ้าเเปะไว้ที่ผ้าของเราไว้ค่ะ
ที่โรงเรียนมีบริการรถรับส่งไปห้างอยู่ไหม ?
มีค่ะ ถ้าเป็นวันจันทร์ พุธ ศุกร์ จะไปที่อยู่ใกล้ๆโรงเเรม เเต่ถ้าเป็นวันอังคาร พฤหัส เสาร์ อาทิตย์ จะไปที่ SM SEASIDE ถ้าวันธรรมดาจะมีรถแค่รอบเดียว ตอนประมาณบ่าย 3 โมง รถจะออกจากที่โรงเเรม แต่ถ้าวันเสาร์ อาทิตย์ ตอนที่ออมไปช่วงสัปดาห์เเรกๆ เหมือนเขาจะมี 3 รอบ เเต่พอหลังๆ เขามีบริการรับ-ส่ง นักเรียนไปสนามบินด้วยค่ะ ก็เลยเหลือแค่รอบเดียว จะกลายเป็นว่า 11 โมง ออกจากโรงเเรม เเล้วประมาณ บ่าย 2-3 โมงก็ไปรับเราที่ห้าง พอช่วงสัปดาห์หลังๆ เขาก็พาไป SM CITY MALL ด้วย เเล้วก็พาไป AYALA ห้างอื่นที่อยู่ในเมืองด้วยเหมือนกันค่ะ แต่หลักๆ เขาก็จะพาไป SM SEASIDE เพราะอยู่ใกล้ จากโรงเรียนไปห้างก็ประมาณ 20 นาทีกว่าๆ ค่ะ ไม่นานมาก
เราสามารถเช็คได้ที่ application ชื่อ BAND ทุกๆ อย่างเวลามีอะไรเขาก็จะประกาศอยู่ในนั้นค่ะ เราต้องเข้าไปอ่าน อย่างเช่น เวลาเขามีการเเจ้งเปลี่ยนห้างที่จะพาไปค่ะ เขาก็จะเเจ้งในนั้นว่า สัปดาห์นี้พิเศษหน่อยนะ จะมีเปลี่ยนไปห้างนี้เเทน ซึ่งเราจะต้องลงชื่อล่วงหน้า 1 วัน ที่ชั้น 1 ว่าเราจะไปนะ ถ้าเราไม่ได้ลงชื่อ เราก็จะไม่สามารถไปได้ค่ะ
เจ้าหน้าที่โรงเรียนดูแลดีไหม ?
เจ้าหน้าที่ดูแลดีค่ะ แต่ออมแอบงงเขานิดนึง วันที่ออมไปถึงแล้วต้องไปรับออมที่สนามบิน ทางแอดมินของโรงเรียนเขาติดต่อกันอาจจะไม่ค่อยชัดเจน เพราะออมไปต่อเครื่องที่มะนิลา ดังนั้น Terminal ที่ออมมาถึงที่เซบูจะต้องเป็นในประเทศ ไม่ใช่ระหว่างประเทศ แล้วคุณครูกับคนขับรถที่มารับออม เขาได้ข้อมูลมาว่า ออมมาเหมือนนักเรียนปกติทั่วไป แล้วเขามารอเช้ามาก เพราะไฟล้บินจากมะนิลาไปเซบู มันจะไปถึงสายกว่าไฟล้จากกรุงเทพไปเซบู คุณครูก็ไม่รู้เรื่องเลยอ่ะค่ะ เขาบอกว่า เขาได้ข้อมูลมาว่าต้องมารับที่นี่เวลานี้เลยค่ะ ก็สงสารนิดนึง พอตอนหลังก็มีเรื่องวีซ่า คือ ออมทำวีซ่าจากไทยไปเเล้ว เเต่ก็มีเจ้าหน้าที่เกาหลีมาบอกว่า ออมอาจจะต้องเลื่อนตั๋วเครื่องบิน เพราะวีซ่าออมอยู่ได้ถึงเเค่ 26 เมษา แล้วไฟล้บินขากลับออมคือ 26 เมษา ออมจะเกินเวลา ซึ่งออมต้องกลับก่อน แต่ไฟล้บินออมมัน 3 ทุ่ม ซึ่งมันไม่เกิน เขาก็ไปคุยกันกับเจ้าหน้าที่คนฟิลิปปินส์ เขาบอกว่าเขาไม่มีข้อมูลตั๋วเครื่องบินออมเลย คือ มันไม่มีไม่ได้ เพราะเอกสารที่เขาออกให้ออมมา ก็ออกมาจากทางโรงเรียนเขาก็ต้องรู้อยู่แล้ว ก็เลยคิดนิดนึงว่า การประสานงานภายในของเขาอาจจะมีปัญหาหน่อยค่ะ
แล้วก็สัปดาห์ที่สอง ออมลงชื่อว่าจะไป Oslob ที่โรงเรียนจัด เเต่จะต้องมีจำนวนนักเรียนขั้นต่ำ 5 คน ซึ่งเขาก็บอกล่วงหน้า 2 สัปดาห์ ซึ่งออมไปถึงสัปดาห์เเรกเขาก็ประกาศแล้ว ออมก็ไปจ่ายเงินเรียบร้อย ตอนแรกก็นักเรียนคนอื่นลงชื่อนะคะ พอตอนหลังนักเรียนคนอื่นเขาก็ยกเลิกหมดเลย เหลือออมคนเดียว โรงเรียนก็จัดไม่ได้เลยคืนเงินเพราะเหลือแค่เราคนเดียว เพราะคนอื่นไปซื้อทัวร์ข้างนอกไม่ได้ไปกับโรงเรียน ออมก็โอเค ไม่เป็นไร แล้วอยู่ๆ พอใกล้จะถึงวันก็มีเจ้าหน้าที่คนเกาหลีมาแจ้งออมว่า สรุปว่าเขาจัดไปได้นะ สนใจไปไหม ออมก็เลยโอเค ไป แล้วสุดท้ายวันก่อนที่จะไป คุณจาเร็ด (ที่ตอนนั้นออมไม่รู้ว่าเขาเป็นเจ้าของโรงเรียน) เขาก็มาขอพบเเล้วก็คุย มาบอกว่า ที่ออมจะไปพรุ่งนี้ มีออมเป็นนักเรียนของ Joyful คนเดียวนะที่ไป นอกนั้นจะเป็นคนเกาหลีอีก 4 คน ไม่ได้เป็นนักเรียนของโรงเรียน ซึ่งออมก็ไม่มีปัญหาอะไร เข้าใจ ซึ่งคุณจาเร็ด เขาดูเป็นห่วงและกังวลมากว่าเราจะไปได้ใช่ไหม เขาก็เลยให้ออมเเอดไลน์เขาไว้เลย ถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้ไลน์ไปบอกเขาด้วย แล้วก็ถามเรื่องอาหารว่าออมเป็นยังไงบ้าง ซึ่งตอนนั้นออมไม่รู้ว่าเขาเป็นคุณเจ้าของ แล้วเขาก็ให้ คูปองเข้าสปาฟรีมาใบนึงด้วย พอหลังจากนั้นออมไปกลับมาแล้ว ทางไกด์บอกว่าจะส่งรูปมาทางแชทของฟิลิปปินส์ แต่ออมไม่ได้ใช้อันนี้ ก็เลยขอให้เขาส่งมาทาง google drive ได้ไหม เขาก็บอกว่าโอเค เดี๋ยวเขาจะลองบอกเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องรูปภาพแล้วกัน หลังจากนั้น กลายเป็นว่า คุณจาเร็ดเป็นคนส่งลิ้งค์รูป google drive มาให้ออมแทน ออมก็คุยกับคุณครูว่ามีคุณคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ส่งให้ ครูก็ถามว่าชื่ออะไร แล้วครูก็บอกว่า คนนี้เป็นเจ้าของโรงเรียนนะ ออมก็ อ๋อ โอเค เพราะเขาไม่ได้ทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของโรงเรียนเลย หลังจากนั้นเวลาเจอเขาตามที่ต่างๆ เขาก็คอยทักตลอดค่ะ จริงๆ เขาค่อนข้างจะเอาใจใส่นะคะ ออมคิดว่า ตัวเจ้าของเอง น่าจะโอเค แต่วิธีสื่อสารในองค์กรเขาเองอาจจะยังไม่มีประสิทธิภาพพอค่ะ
อินเตอร์เน็ตที่โรงเรียนเป็นยังไง ?
ถ้าในห้องพักคือดีมากค่ะ ออมใช้ ZOOM ใช้อะไรได้ดีตลอดค่ะ พอขึ้นมาที่ห้องพัก ออมอยู่ชั้น 5 จะไม่มีรหัสผ่าน แต่พออยู่ตรงล็อบบี้ก็จะต้องมีรหัสผ่านเข้าอินเตอร์เน็ต ซึ่งเราต้องไปขอเจ้าหน้าที่ตรงล็อบบี้เอาค่ะ ถ้าเข้ารหัสผ่านได้แล้วก็สัญญาณดีค่ะ แต่ว่าจะใช้ได้แค่ในตัวโรงเเรมนะคะ ถ้าในส่วนของตัวตึกเรียนสัญญาณจะไปไม่ถึง ตรงนั้นจะต้องใช้อินเตอร์เน็ตของมือถือ เขาจะมี Wifi แต่มันเป็นของออฟฟิศค่ะ ไม่ได้ให้นักเรียนใช้ได้ค่ะ
บรรยากาศห้องเรียนเป็นยังไงบ้าง ?
มันก็กลางๆ ไม่ถึงขั้นเก่ามาก แต่จะมีปัญหาแอร์ไม่ค่อยเย็นค่ะ ตอนเช้าออมเรียนชั้น 3 ห้องเรียนเขาจะเป็นแบบ เป็นห้องใหญ่ก่อน เเล้วก็จะซอยย่อยเป็นห้องเล็กๆ ใช่ไหมคะ น่าจะช่วง 2 สัปดาห์หลัง นักเรียนที่เรียนห้องใหญ่ตรงนั้นต้องย้ายไปเลย เพราะแอร์น่าจะเสียค่ะ แล้วก็จะมีแค่ โต๊ะ เก้าอี้ นักเรียนกับคุณครู และไวท์บอร์ดให้ ก็มีเท่านี้เลย ซึ่งก็โอเคนะคะ อาจจะต้องประมาณว่า ถ้าช่วงที่เราต้องคุยกับครูเยอะๆ ออมจะต้องบิดตัวหันไปอีกทางนึงเลย มันเหมือนเรานั่งคนละด้านกันค่ะ แต่เวลาคุยชอบมองหน้ามากกว่า ก็เลยบิดตัวมาเพื่อที่จะได้คุยได้ จะได้นั่งสบายหน่อย เพราะคลาสเเรกก็จะเป็นการคุยตลอด คุยค่อนข้างเยอะกับคุณครูค่ะ
เจอเด็กเล็กที่โรงเรียนมีปัญหาอะไรไหม ?
ออมโชคดี คือปริมาณเด็กช่วงที่ออมไปมีไม่เยอะค่ะ คุณครูบอกว่า ถ้าช่วงพีคๆ ของเขาน่าจะเดือน กุมภาค่ะ น่าจะเป็นช่วงที่นักเรียนเยอะ ช่วงนั้นน่าจะแบ่งเป็น 2 ล็อตมั้งคะ ล็อตนึงร้อยกว่าคนค่ะ เวลาเข้าห้องน้ำก็คือต้องรอ เเต่ตอนที่ออมไปเป็นช่วงที่เงียบๆ ของโรงเรียนค่ะ นักเรียนน้อยมาก เด็กเล็กไม่ถึง 10 คน เลยค่ะ ไม่เยอะเลย แต่โรงเรียนบอกว่า เด็กน้อยจะเรียนเเค่ชั้นล่างค่ะ แต่นักเรียนโตจะเรียนชั้นบน ก็จะไม่เกี่ยวกัน อาจจะมีแค่ว่า ณ ห้องอาหารอาจจะมีคนเยอะหน่อยประมาณนี้ค่ะ
มีเพื่อนในโรงเรียนบ้างไหม ?
ก็มีบ้างค่ะ มีช่วงสัปดาห์ที่ออมไปถึง ก็จะมีคนญึ่ปุ่นเริ่มต้นเรียนสัปดาห์เดียวกัน เขาก็ชอบประเทศไทย เพราะสามีเขาน่าจะทำงานอยู่ที่กรุงเทพนะคะ ตอนหลังก็จะมีน้องคนเกาหลีเขาน่าจะมาฝึกงาน แล้วก็น้องคนญี่ปุ่นที่เรียนคลาสเดียวกับออม
ภาษาอังกฤษพัฒนามากน้อยแค่ไหนใน 8 สัปดาห์ที่เรียน ?
ตอนไป Writing ออมแทบจะไม่มีพื้นฐานตรงนี้เลย ตอนนี้ก็มีพื้นฐานการเขียนมากขึ้น เพราะเขาเน้นเรียนเพื่อไปสอบมันก็มีเรื่องฟอร์มการเขียน ส่วนการพูด คือรู้สึกว่า พัฒนาขึ้นเพราะต้องคอยได้ฟังมากขึ้น ฟังปุ๊บก็สามารถโต้ตอบได้เร็วขึ้นค่ะ ออมถือว่าโอเคนะคะ ทั้งที่ออมไม่ค่อยได้ให้เวลาภาษาอังกฤษเยอะมาก ถ้าเรียนจบในเเต่ละวันแล้วมีเวลาทบทวน มีเวลามากขึ้น คิดว่าน่าจะไปได้เยอะมากขึ้นกว่านี้อีกค่ะ เพราะออมมีทำงานด้วย แล้วก็มีเรียนอย่างอื่นด้วย คือคลาสมันซ้อนทับกันอยู่ค่ะ คือทำ 3 อย่างพร้อมกัน ก็คิดว่าสำหรับออมก็คือโอเค เพราะว่าตอนสอบพูดสัปดาห์สุดท้าย มันเป็นหัวข้อที่เราทำได้ดี มันก็เลยได้คะเเนนที่ 6.75 เลเวลก็เพิ่มขึ้นมาเยอะเหมือนกันจากตอนเเรกที่อยู่ที่ B1 คะเเนน 6.75 ก็น่าจะอยู่ที่ C1 เพราะมันจะปัดเป็น 7 แต่ว่า ด้วยความโชคดีที่หัวข้อที่เขาถามเป็นเรื่องที่คุ้นเคย ออมก็เลยตอบได้ดี มันขึ้นอยู่กับหัวข้อด้วยจริงๆ ค่ะ อย่างตอนสัปดาห์ที่ 2 คะเเนนการพูดก็ขึ้นมาประมาณ 6.25 ค่ะ เเต่พอสัปดาห์ต่อๆ มา หัวข้อไม่คุ้น คะเเนนก็จะลงมา ส่วนเรื่องการออกเสียงของออมครูก็ยังบอกว่า ก็ยังต้องฝึกเรื่องการออกเสียง ต้องพูดให้ช้าลงด้วย
ถามว่า พัฒนาไหม ก็โอเคค่ะ มีความมั่นใจที่จะพูด แล้วก็มีความเข้าใจในเรื่องของการออกเสียงได้ดีขึ้น เพราะเมื่อก่อนที่ออมเรียนภาษาอังกฤษเขาไม่ได้สอนเรื่องโฟนิคส์ (Phonics) อะไรพวกนี้เลย ก็เลยไม่รู้หลักว่าต้องออกเสียงยังไง ต้องวางลิ้นยังไง พอได้เรียนก็โอเคขึ้นค่ะ
Joyful เหมาะกับนักเรียนเเบบไหน เเละไม่เหมาะกับนักเรียนเเบบไหน?
ถ้าอยากเอามาใช้ในชีวิตประจำวันควรที่จะลงคลาสพูดมากกว่า ESL เพราะพอ ESL มันถูกบังคับว่าต้องมีสอบ ครูเลยต้องติวให้ข้อมูลเราเพื่อพร้อมสอบ ซึ่งบางทีมันอาจจะไม่จำเป็นที่จะเอามาใช้เท่าไหร่ค่ะ แต่ถ้าคนที่จะเรียนเพื่อไปสอบ ออมว่า Joyful จะกลางๆ โรงเรียนอื่นอาจจะเหมาะกว่า แต่ถ้าจะต้องการเพื่อมาฝึกการพูดอันนี้จะเหมาะค่ะ เเต่ถ้าคาดหวังเพื่อมาเอาคะเเนนสอบ ESL อาจจะยังไม่ถึงขึ้นนั้นค่ะ
เเล้วก็ต้องไม่ใช่คนชอบไปข้างนอกตอนเย็นๆ อาจจะไม่ค่อยเหมาะ เพราะอาจจะดูไม่ค่อยปลอดภัย ขนาดคุณครูยังบอกว่า มันดูเปลี่ยว แต่โรงเรียนเขาก็มีสระว่ายน้ำ มีสปา มียิม ที่จัดให้นะคะ เเละต้องเป็นคนไม่ขี้เหงานะคะ เพราะนักเรียนที่เป็นคลาสผู้ใหญ่จำนวนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ถ้ามาอาจจะมีเพื่อนได้ไม่ค่อยเยอะค่ะ
ได้ออกไปข้างนอกโรงเรียนบ้างไหม ?
ออมออกไปข้างนอกเองโดยที่ไม่ไปกับโรงเรียนประมาณ 4-5 ครั้งค่ะ ก็มีเรียก Grab แล้วก็ไปลองนั่งสามล้อเขามาเหมือนกันค่ะ (หัวเราะ) ออมเรียกจากที่หน้าโรงเรียนค่ะ เพราะคุณครูบอกว่า ถ้าไปตรงซุปเปอร์นี้จะแค่ 15 เปโซนะ แต่ออมก็เข้าใจว่าพอเขาเห็นเราเป็นต่างชาติเขาก็อยากได้ราคาสูงอยู่แล้ว ตอนคันเเรกมาเขาก็คิด 70 เปโซ เราก็บอกว่า ไม่ได้ มันเเพงไป คุณครูเราบอกว่าจริงๆ แค่ 15 เปโซเองนะ เขาก็ลดเหลือ 50 จนสุดสุดท้ายเขาก็ลดเหลือ 30 เปโซ ออมก็บอกว่า ไม่เป็นไร ออมไม่ไป พออีกคันนึงเขามา เขามีผู้โดยสารมาด้วย เขาก็คิดออมแค่ 15 เปโซ ก็โอเคค่ะ คือตอนเเรกออมไม่รู้ว่า มันนั่งได้ทั้งหมด 7 คน คือนั่งข้างหลังได้ 2 คน ข้างในรถ 4 คน เเล้วก็นั่งซ้อนท้ายคนขับอีก 1 คน ก็เลยกลายเป็น 7 ตอนขาไปก็มีออมนั่งเเค่ข้างในรถเเค่คนเดียว คนอื่นก็นั่งข้างนอก แต่พอตอนขากลับ ออมไปขึ้นที่ศูนย์ของเขาค่ะ ที่มีรถจอดเยอะๆ ก็ไปคันที่ไป T-Shine ออมก็ขึ้นไปนั่ง ออมก็งงว่า จริงๆ คนที่นั่งข้างในก็มี 2 คน เเล้ว ข้างนอกก็เต็มหมดเเล้ว รวมกันก็ 5 คน ทำไมยังไม่ออก สักพักนึงมีคนเอาเก้าอี้ที่พับอยู่เอาออกมา เราก็เลย อ๋อ มันต้องไปทั้งหมด 7 คน (หัวเราะ) ก็โอเคได้ตั้ง 7 คน ดีค่ะ เพียงเเต่ถ้าอากาศร้อนก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่นัก อาจจะมีกลิ่นเหงื่อบ้าง
พวก Grab ก็คือสะดวกมากค่ะ สะดวกจริง สั่งอาหาร เรียกรถ สะดวกมาก เพราะบางวันออมไม่ต้องทำงานช่วงบ่าย ออมก็ติดรถโรงเรียนไปลงที่ SM SEASIDE เเล้วก็เรียก Grab ไปทำธุระต่อในเมืองของออมเเปบนึง แล้วก็เรียกรถกลับมาที่ SM SEASIDE เพื่อกลับรถโรงเรียน เพราะว่า ถ้าเรียกจากตัวโรงเเรมไปในเมืองมันจะไกลไงคะ ก็เลยรอติดรถไปกับโรงเรียนได้ เพราะออมจะไปส่งโปสการ์ดต้องไปที่ไปรษณีย์ ที่ฟิลิปปินส์ไม่มีตู้ไปรษณีย์ให้เราส่งได้ เราต้องไปที่ทำการไปรษณีย์ ออมก็เลยใช้วิธีติดรถโรงเรียนไปก่อน
ซื้อโปสการ์ดมากจากไหน ?
ออมสั่งจากในอินเตอร์เน็ตค่ะ ให้ส่งมาที่โรงเรียน เพราะว่าออมไปหาที่ SM SEASIDE มันไม่มีเลย เขาก็ให้ไปที่ร้านหนังสือ ให้ไปที่โซนเครื่องเขียน เขาก็บอกว่า ไม่มี ไม่มี ก็เลยหาในอินเตอร์เน็ต เหมือนฟิลิปปินส์เขาไม่ได้อินเรื่องโปสการ์ดไหมคะ เขาก็เเนะนำเเต่ว่าน่าจะเป็นของต่างชาติเขาทำขาย แต่อยู่ที่เมืองอื่น ออมก็เลยส่งข้อความไปถามเขา ว่าออมต้องการให้ส่งมาที่นี่ เขาส่งได้ไหม เขาก็บอกว่าส่งได้ ออมก็เลยไปถามที่ล็อบบี้โรงเเรม ก่อนว่า ถ้าออมสั่งโปสการ์ดมาส่ง เขาโอเคไหม เขาก็ไม่ได้มีปัญหา เขาก็ให้ที่อยู่โรงเเรมมา ก็เลยได้โปสการ์ดมาจากการต้องสั่งเอาค่ะ เเต่อันที่สั่งในเน็ตคือ น่ารักเลยค่ะ เเต่ใช้เวลา 18 วันเลยนะคะจากเซบูที่มาถึงเมืองไทย ส่วนโปสการ์ดที่สั่งใช้เวลาประมาณ 4-5 วันค่ะ เขาบอกออมว่า ใช้เวลาส่งจากเมืองนั้นมาเซบูประมาณ 3-5 วันค่ะ เขาใช้ขนส่ง J&T มั้งคะ เขาก็มีส่งข้อความมาว่าจะมีของมาส่งค่ะ
เว็บที่สั่งโปสการ์ด https://pinspired.ph/collections/all-postcards
ส่วนใหญ่จะเป็นแผนที่ เป็นรูปวาดนะคะ จะไม่ค่อยมีรูปถ่ายเท่าไหร่ค่ะ
ควรเตรียม Pocket money เท่าไหร่ ?
ถ้าเที่ยวด้วย ทานข้างนอกด้วย ออมว่าใช้เดือนนึงประมาณ 15,000 – 20,000 บาท
พอดีว่าออมเที่ยว เเค่ค่าเที่ยวออม 2 สัปดาห์ ก็หมดไปหมื่นกว่าเเล้ว ถ้าเสาร์อาทิตย์เราออกไปทานที่ห้าง มื้อนึงก็ไม่ต่ำกว่า 600 บาท ถ้าเราไม่ได้ทาน Fast Food ถ้าเป็นเด็กก็เตรียมไป 10,000-15,000 บาทก็ได้นะคะ เเต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่อยากจะไปเที่ยว ขนาดออมเที่ยวน้อยกว่าคนอื่นๆ นะคะ คนอื่นๆที่เที่ยวเยอะ ก็น่าจะใช้เยอะกว่าออมค่ะ นอกว่า Oslob ก็มีไปสวน Temple of Leah, Simala พอดีที่นี่ไม่ค่อยมีคนไปเท่าไหร่ ราคาทัวร์ก็เลยเเพงกว่าอันอื่น ออมไปคนเดียว ซื้อจาก Klook เขาก็จะมารับที่โรงเรียนเลยค่ะ ตอนที่จองก็จองเเบบไปคนเดียว ราคาก็เลยสูงหน่อยค่ะ
เซบู น่ากลัวไหม ?
ไม่น่ากลัวค่ะ เเต่รถติดเยอะมาก พอดีออมเจอวันหยุดค่ะ เสาร์ อาทิตย์ ก็เลยติด รู้สึกว่าเหมือนประเทศไทย เเต่เป็นประเทศไทยที่อยู่ต่างจังหวัดที่ยังไม่เจริญเท่าไหร่นัก ไม่น่ากลัวนะคะ เเต่ก็ต้องมีความระมัดระวัง ไม่ไปที่เปลี่ยวๆ ตอนกลางคืน ก็ต้องดูเเลตัวเองนิดนึง เหมือนถ้าเราอยู่กรุงเทพ ก็ต้องดูเเลตัวเองนิดนึงค่ะ
บริการของ KPG เป็นอย่างไรบ้าง ?
ถ้าถามออม คือโอเคมากนะคะ ด้วยระบบที่ทำไว้ให้ ทำให้เตรียมความพร้อม ในทุกๆ อย่างได้ดี เจ้าหน้าที่ก็จะบอกหมดว่า ถ้าไปอาจจะเจออะไรที่อาจจะไม่ประทับใจบ้างนะ ทำให้เราเตรียมตัวได้ทั้งสิ่งที่เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียค่ะ เช่น ตอนจะเจอทางต้องเจอ ต.ม. ก็อาจจะเจอคำถามที่อาจจะไม่คาดคิดบ้างนะ ก็ทำให้เราเตรียมใจไว้ค่ะ ว่าอาจจะมีคำถามแปลกๆ จะไม่ตื่นตกใจง่าย ถ้าต้องเจอ แล้วก็ถ้ามีปัญหาหรืออะไร พอออมแจ้งไปก็ได้รับการติดต่อกลับมาที่ค่อนข้างรวดเร็ว คือ ดีค่ะ ยิ่งตอนมาฟังพี่คนไทยที่เจอกันที่โรงเรียนแล้วเขาบอกว่าเขาไม่รู้อะไรเลย เราก็เลยคิดว่า มันมีด้วยเหรอที่เขาจะไม่บอกนักเรียน ว่านักเรียนจะต้องเจออะไรบ้างค่ะ
มีการเตรียมตัวให้ดีที่มีคอร์สภาษาอังกฤษให้เรียนเตรียมตัวก่อนไปค่ะ พวกเช็คลิสต์ในการเตรียมของในการเดินทาง ออมว่าโอเคเลยสำหรับคนที่จะไป ลดความกังวลใจไปเยอะมากค่ะ


