Culture Shock อยู่ต่างแดนแบบไม่โดนแดดเผาหัวใจ ต้องทำไง?

ไม่ว่าจะเดินทางมากี่เมือง เจอผู้คนมากี่เชื้อชาติ หรือผ่านสนามบินมากี่แห่ง บางความรู้สึกก็ยังกลับมาทักทายเหมือนเพื่อนเก่า…ไม่สิ เหมือนศัตรูเก่าจะดีกว่า — ความเหงา และ ความไม่คุ้นชิน

ย้อนกลับไป Montreal ปี 2022: เรื่อง “ความงงในต่างแดน”

พฤษภาคม 2022 – Montreal, เมืองหลากวัฒนธรรมที่ฟังดูน่าเท่…จนผมลากกระเป๋า 25 กิโลเข้า hostel ที่ไม่ตรงปก พร้อมกับค้นพบว่า “ฝรั่งเศสในแคนาดา” ไม่ใช่แค่กลิ่นอาย แต่มันคือชีวิตจริง ที่เมนู ร้านค้า และการสื่อสารล้วนเป็นภาษาที่ไม่รู้เรื่องเลยสักนิด

ฝนตก ฟ้าครึ้ม คนไร้บ้านนั่งขวางบันไดที่พัก เสียงนักท่องเที่ยวโวยวายช่วงมืดๆ ความรู้สึก “ฉันมาทำอะไรที่นี่?” ก็โผล่มาเคาะประตูห้อง ตอนแรกคืนแรกพอดี (พร้อมกลิ่นฝุ่นจากฟูกเก่าๆ)

แต่ผมไม่หนี — ผมเลือกอยู่ ปรับตัว หากิจกรรมทำ จองทัวร์เมืองเก่า ปั่นจักรยาน pink bike tour กับเพื่อนใหม่จากหลายประเทศ ฟังไกด์เล่าเรื่องเมืองและประวัติศาสตร์ผ่านมุมมองคนธรรมดา มากกว่าฮีโร่ในหนังสือเรียน

4 วันผ่านไปจากจุดที่อยากย้ายที่พักตั้งแต่นาทีแรก…จบลงด้วยการตกหลุมรัก Montreal เมืองที่คนสร้างเมือง เมืองที่มีพื้นที่ให้คนธรรมดาเล่าเรื่องของตัวเอง และที่สำคัญ—เมืองที่ทำให้ผมรู้ว่าการ “ไม่เข้าใจ” อะไรบางอย่าง ก็ไม่ใช่จุดจบ

ตัดภาพมา Auckland ปี 2025:

ความเหงาไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทาง แต่มันมาด้วยทุกครั้ง

มาถึง Auckland แบบไม่คาดหวัง ไม่มีภาพจำในหัว แต่พอลงเครื่อง ความรู้สึกเดิมๆ ก็กลับมาหาอีกครั้ง แม้จะเคยเหยียบมามากกว่า 40 เมืองทั่วโลก ก็ไม่ทำให้ร่างกาย immune ต่อความคิดถึงบ้าน ความไม่สะดวกในการที่หาจุดขึ้น uber, การหาวิธี check-in ห้องพัก airbnb, การสำรวจร้านค้า ร้านอาหาร การเดินทาง และการต้องนอนในที่แปลกหน้า

สิ่งที่ชัดเจนมากจากประสบการณ์:

• ยิ่งอยู่นิ่งในห้อง ยิ่งเหงา
• ยิ่งอยู่ใน comfort zone ที่ไม่ได้สบายจริงๆ ความคิดถึงบ้านยิ่งกัดกิน
• ถ้าอยากเอาตัวรอด ต้อง “ออกไป” — หาเพื่อน หาอะไรก็ได้ทำ และ “อย่าให้ความเหงามีพื้นที่เดินเล่นในหัว”

Culture shock ไม่ใช่ของแปลก แต่มันคือ cycle – วันหนึ่งดี วันหนึ่งดิ่ง ยิ่งถ้าว่าง ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีอะไรให้ทำ อากาศไม่เป็นใจ ฝนตก ลมแรง…จิตใจก็พร้อมจะพังได้เหมือนหลังคารั่ว

อยู่ต่างแดนแบบไม่โดนแดดเผาหัวใจ: ต้องทำไง?

• ตั้งเป้าหมายเล็กๆ แค่ 1-2 อย่าง แต่ทำให้ดีที่สุด
• ออกนอก comfort zone แบบไม่กระโดดไกลเกิน—ค่อยๆ ไป แต่ไปให้ถึง
• ดูแลทั้งกายและใจ เพราะอารมณ์เราไม่ใช่เหล็กกล้า แต่ก็ไม่ได้เปราะบางอย่างที่คิด
• ที่สำคัญ…อย่าหยุดเปิดใจ

Culture shock และ homesick ไม่ใช่อะไรที่ “ต้องแก้” แต่มันคือ “โอกาส” ที่จะทำให้เราเข้าใจตัวเองในเวอร์ชันใหม่—เวอร์ชันที่อยู่คนเดียวก็เอาอยู่ เวอร์ชันที่ภูมิใจในสิ่งที่ทำ แม้มันจะเล็กน้อยสำหรับใคร แต่ยิ่งใหญ่มากสำหรับหัวใจเราเอง

เวลาย้ายมาอยู่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะมาเรียน มาทำงาน หรือมาแค่ระยะสั้น ยังไงซะ “แสงแดด” ของความเปลี่ยนแปลงก็มักจะส่องลงมาแบบไม่ไว้หน้า ทั้งร้อน ทั้งจ้า และพร้อมจะเผาหัวใจเราได้ตลอดเวลา แต่…มันไม่ได้แปลว่าเราต้องนั่งไหม้อยู่ตรงนั้น

1. ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่เป็นของตัวเอง

ไม่ต้องไปตั้งว่า “จะต้องมีเพื่อนต่างชาติ 10 คนใน 3 วัน” หรือ “จะต้องพูดอังกฤษคล่องในเดือนเดียว” — ของแบบนั้นมันไม่ได้เกิดจากแรงกดดัน แต่เกิดจาก consistency และเริ่มจากง่ายๆ เช่น

• ออกไปเดินวันละ 30 นาที
• พูดกับ cashier วันละ 1 ประโยค
• ลองเข้าร่วมกิจกรรมเล็กๆ ในชุมชน เช่น language exchange, open mic, yoga ใน park ฯลฯ หรือแม้แต่ “วันนี้จะลองร้านอาหารใหม่” ก็เป็นเป้าหมายแล้ว

เพราะการมีเป้าหมาย = การมีทิศทาง พอเรารู้ว่าตื่นมาทำอะไร ใจก็จะไม่ว่างไปนั่งคิดถึงสิ่งที่ไม่มี

2. ก้าวออกจาก comfort zone แบบมีสติ

Comfort zone ไม่ได้แปลว่ามันสบาย—หลายครั้งมันแค่ “คุ้น” แต่ไม่ได้ “ดี” เช่น นั่งอยู่ในห้อง เปิด Netflix วนซ้ำ กินข้าวกล่องที่เดิม ซึมอยู่กับความคิดเดิมๆ

ลองก้าวออกมา…ทีละนิด

• ถ้ายังไม่กล้าชวนเพื่อนคุย ลองแค่ “ยิ้ม” กับคนที่สวนทาง
• ถ้าไม่กล้า join group activity ใหญ่ๆ ลองเริ่มจาก workshop ที่มีคน 5-6 คน
• หรือถ้าอยู่บ้านเฉยๆ เหงาเกิน ลองแค่เดินไป supermarket ใหม่ๆ หรือ library แล้วดูว่าเราจะได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นบ้าง

ความเปลี่ยนแปลงไม่ต้องใหญ่ แค่ “เคลื่อนที่” ก็เพียงพอ

3. ดูแลร่างกายให้เหมือนดูแลใจ

ฟังดู cliché แต่โคตรจริง: ถ้าร่างกายพัง ใจตามไปติดๆ แน่

• นอนให้พอ (ไม่ใช่แค่หลับ แต่ต้องพักจริงๆ)
• กินให้ดี — ไม่ได้แปลว่าต้องแพง แต่พยายามให้ร่างกายได้สารอาหารครบๆ อย่าอยู่แต่กับ ramen 3 มื้อ
• ออกกำลังเบาๆ อย่างน้อยวันละนิด ให้ endorphin มาช่วยบูส
• และถ้าแพ้อะไร เช่น ฝุ่น หมอน ผ้าห่มใน hostel ก็ กินยา! ไม่ต้องรอใจแข็ง

สุขภาพจิตจะไม่มีทางดี ถ้าสุขภาพกายไม่ช่วยส่งเสริม

4. สร้างกิจวัตร ให้ชีวิตมีจังหวะ

ความว่างคือพื้นที่ให้ความเหงาเติบโต การมี “จังหวะ” ในชีวิตจะทำให้เรารู้สึกควบคุมชีวิตได้บ้าง

• ลองตั้งเวลาตื่น-นอนให้คงที่
• ทำอะไรซ้ำๆ ที่ทำให้ใจสงบ เช่น ทำอาหาร อ่านหนังสือ ไปเดินเส้นทางเดิมๆ แล้วสังเกตสิ่งที่เปลี่ยนไป
• หรือแม้แต่เขียน journal ทุกคืนก่อนนอน—ให้ตัวเองได้ระบาย ได้จด ได้สังเกตอารมณ์ของตัวเองแบบไม่ต้องผ่าน filter

5. หา “safe space” เล็กๆ ให้กับตัวเอง

จะเป็นร้านกาแฟที่ชอบ ร้านหนังสือเงียบๆ มุมในสวน หรือแม้แต่ host ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ก็ได้ทั้งนั้น เพราะในช่วงที่ทุกอย่างใหม่ไปหมด เราแค่ต้องการที่ซักแห่งที่ทำให้รู้สึกว่า “เรามีที่อยู่” แม้จะเป็นเพียงชั่วคราว

6. หาความหมายในสิ่งเล็กๆ แล้วจะภูมิใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ

ความภูมิใจไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นมอบให้ แต่เกิดจากการที่เรารู้ว่า “ฉันเลือกอยู่ต่อ ทั้งที่มันยาก”

บางทีแค่การออกไปข้างนอกตอนฝนตก
การไม่เปลี่ยนไฟลต์กลับไทยตอนที่มันเหงาจนร้องไห้
หรือการทำภารกิจเล็กๆ ให้สำเร็จในวันที่อยากนอนทั้งวัน
…นั่นแหละ “ชัยชนะที่ไม่มีใครรู้ แต่เรารู้”

สุดท้ายนี้…

อยู่ต่างแดนมันไม่ง่าย ไม่มีคู่มือไหนบอกได้หมดว่าจะต้องเจออะไรบ้าง แต่ถ้าคุณยังอยู่ ยังตื่นมาในแต่ละวัน ยังพยายามแม้แค่ก้าวเล็กๆ—นั่นคือความสำเร็จแบบที่วัดด้วยคะแนนใดๆ ไม่ได้

และเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะมองย้อนกลับมาแล้วพูดได้ว่า:
“ฉันไม่ใช่แค่รอด…แต่ฉันสร้างชีวิตใหม่ของฉันได้”

ติดต่อขอรับคำปรึกษา

 

เรียนต่อแคนาดา อเมริกา นิวซีแลนด์

Line : @korpungun

เรียนภาษาอังกฤษที่ฟิลิปปินส์

Line : @kpglearn

คอร์สออนไลน์ KPG LIVE

Line : @kpglive

TEL: 094-883-8778