รีวิว เรียนหลักสูตร Global Business Certificate ที่อเมริกา
กับสถาบัน University of Washington – Continuum College โดยคุณเนิร์ส
อะไรทำให้ตัดสินใจมาเรียนต่อที่อเมริกา?
จริง ๆ ตั้งแต่เรียนจบมา แล้วตอนนั้นว่าง แล้วอยากเรียนต่อป.โท แต่จบมาไม่ตรงสาย เราจบนิติศาสตร์มาค่ะ แต่อยากต่อทางด้าน Business/Marketing อะไรงี้ค่ะ รู้สึกว่าถ้าไปเรียนเลย ความรู้อาจจะไม่ถึงคนอื่น เลยตัดสินใจเรียนเป็นคอร์สสั้น ๆ ก่อน เพราะชอบ vibe อเมริกาด้วย และก็น้องสาวมาเรียนอยู่แล้วค่ะ ก็เลยตัดสินใจมาเรียนที่อเมริกา ซึ่งเรียนที่ Edmonds College ก่อนค่ะ เป็นคอร์ส 9 เดือน แล้วถึงมาเรียนต่อที่ University of Washington ค่ะ
ทำไมถึงเลือกเรียนที่ University of Washington – Continuum College?
เพราะว่าที่ UW ค่อนข้างเป็น Top ของ Seattle เลย หลักสูตรเขาค่อนข้างน่าสนใจมาก เขาให้ในสิ่งที่ Edmonds ให้ไม่ได้ เขาให้มี OPT คือ เราสามารถที่จะทำงานหลังจากจบหลักสูตรไปแล้ว โดยมีโอกาสทำงาน 1 ปีค่ะ มีเวลาหางานก่อนเรียนจบ 2-3 เดือน แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ต้องกลับประเทศตัวเองค่ะ
ทำไมถึงเลือกเรียน Global Business?
เพราะตอนแรกมี 2 หลักสูตร คือ Global Business กับ Entrepreneur แล้วเราเรียน Entrepreneur ไปแล้วที่ Edmonds แล้ว Global Business ได้เรียนครอบคลุมทุกพาร์ทที่เกี่ยวกับธุรกิจเลยค่ะ รู้สึกว่าในยุคนี้ การที่จะนำเข้าส่งออก หรือการขยายธุรกิจไปต่างประเทศมันทำง่าย ก็เลยรู้สึกว่าถ้ามีความรู้ด้านนี้ไว้ น่าจะดีกับอนาคตค่ะ
คิดว่าหลักสูตรนี้มีความน่าสนใจยังไงและได้เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง?
ในเทอมแรก ได้เรียน Global Business Fundamental จะเรียนทุกพาร์ทของ Business มี Accounting, International Law, Customer Behavior, Marketing, Supply Chain แล้วก็ Sustainability ส่วนเทอมที่สอง ที่เรียนอยู่ตอนนี้เป็นเรื่อง Global Marketing จะเป็นเกี่ยวกับการทำการตลาดยังไงให้เวลาที่เราไปทำธุรกิจประเทศอื่นแล้วเขาสนใจสินค้าเรา ส่วนเทอมสุดท้ายเป็น Project Management ในแต่ละเทอมเราสามารถเลือก elective class ซึ่งเป็นวิชาเลือกได้ วิชาลงส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับการสมัครงานโดยตรงเลย เขาจะสอนเราพูด Presentation การสัมภาษณ์ การทำเรซูเม่ Linked-In ค่ะ
คิดว่าหลักสูตรนี้เหมาะกับใครบ้าง?
ส่วนตัวคิดว่า ได้ทุกคนเลยค่ะ เพราะเพื่อนในคลาสมีตั้งแต่ 17 จนถึงอายุ 40 เลย มีตั้งแต่ไม่มีประสบการณ์ ยังเรียนอยู่ หรือพักการเรียนมาแล้ว มาเรียนที่นี่ไปจนถึงคนที่มีประสบการณ์การทำงานมาหลายปีแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าคอร์สนี้เหมาะกับทุกคนเลยค่ะ
มีอะไรที่ประทับใจหรือไม่ประทับใจในหลักสูตรนี้บ้างคะ?
ที่ประทับใจเลยนะคะ คือในทุกสัปดาห์เราจะต้องพรีเซนต์ เหมือนกับการที่เราเรียนไปด้วย ทำ project ไปด้วย เหมือนใน 1 สัปดาห์ เราจะเรียนเนื้อหานึงแล้ววันศุกร์เราจะต้องพรีเซนต์เนื้อหานั้นเป็นโปรเจคของแต่ละสัปดาห์ อันนี้รู้สึกว่าชอบ เพราะว่าเหมือนกับจะได้ฝึกทักษะการใช้ภาษาอังกฤษไปในตัว ทุกคนจะได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษค่ะ แต่ถ้าที่รู้สึกไม่ค่อยประทับใจ ก็คือมันเรียนกันแค่กลุ่มแค่นี้เลย แล้วพอจะไปทำกิจกรรมอะไรในมหาวิทยาลัย มันค่อนข้างจะจำกัดนิดนึง เพราะเราไม่ได้อยู่แคมปัสหลัก เราแยกมาเรียนที่แคมปัสดาวน์ทาวน์ค่ะ
ช่วยรีวิวคอร์สนี้ให้ฟังได้ไหมคะ ในแง่ของอาจารย์ เพื่อน ๆ และเนื้อหาหลักสูตร?
ในส่วนของอาจารย์ที่นี่ดีมาก เข้าถึงนักเรียนทุกคน เพราะคลาสที่นี่เล็ก เขาจะจำชื่อนักเรียนได้ทุกคน ถ้าเรามีคำถามอะไร เขายินดีที่จะตอบและช่วยมาก ๆ อันนี้เรามองว่าเป็นแบบนี้ทุกคนเลย อาจารย์น่ารักมาก และก็เวลามีคำถามหลังจากกลับบ้านแล้ว เราอีเมลไปถามเขา เขาก็ยินดีที่จะตอบกลับมาค่ะ ส่วนเพื่อน ๆ ในคลาสก็โอเคนะคะ ส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น แต่ทุกคนพูดอังกฤษหมดเลยค่ะ แทบไม่มีใครพูดภาษาของประเทศตัวเองเลย
ส่วนเนื้อหาตอนเทอมหนึ่งแอบรู้สึกชอบ college มากกว่าค่ะ คือการเรียนในมหาวิทยาลัย ในสัปดาห์นึงมันเรียน 1 วิชา แล้วก็เปลี่ยนอาจารย์ อย่างเช่น สัปดาห์นี้เรียน Marketing สัปดาห์ต่อไปเรียน Supply chain ค่ะ แล้วก็เปลี่ยนอาจารย์แล้ว ส่วนตัวรู้สึกว่ามันเร็วไป มันดูอัดไป แต่ในขณะที่ college วิชานึงเรียน 1 เทอมเลย เนื้อหานึงเรียนครอบคลุมได้เยอะกว่า แต่พอมาในเทอมสอง ได้เรียน Global Marketing อันนี้รู้สึกครอบคลุม เพราะว่าเรียน Marketing ทั้งเทอมลย เข้าใจว่าในเทอมหนึ่งเขาอาจจะอยากให้เราเรียน introduction ก่อน เลยให้เรียนรวม ๆ และด้วยเวลามันจำกัด เลยบีบทุกวิชามาใส่ในแต่ละสัปดาห์ แต่โดยรวมแล้ว ส่วนตัวคิดว่าเนื้อหาครอบคลุมนะคะ
ตอนสมัครเข้ามาเรียนหลักสูตรนี้ เขาให้ยื่นเอกสารอะไรบ้างคะ?
คะแนนสอบภาษาอังกฤษค่ะ และให้เขียน Essay และก็มีพวก Transcript ประมาณนี้ค่ะ คะแนนภาษาอังกฤษใช้ได้ทั้ง IELTS และ Duolingo ค่ะ ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับด้านนี้มาก่อนก็สามารถเรียนได้ค่ะ
หลังจากเรียนไปแล้ว รู้สึกว่าคุ้มค่าไหมกับการเลือกเรียนหลักสูตรนี้?
รู้สึกว่าคุ้มค่าค่ะ เพราะได้ใช้ภาษาอังกฤษเต็ม ๆ เลย แล้วก็วิชาที่เรียน เอาจริง ๆ รู้สึกว่ามันโอเคมากค่ะ เนื้อหาครอบคลุมหมดเลย อาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดทั้งหมด แต่ส่วนตัวคิดว่าสามารถนำไปปรับใช้ในอนาคตได้ค่ะ
อยากให้ช่วยเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการเรียนโปรแกรมระยะสั้นใน college และโปรแกรมระยะสั้นใน university?
ที่แตกต่างอย่างแรกเลย คือ ที่ college เขาจะเรียนรวมค่ะ เขาจะไม่แบ่งแยกเด็ก ถ้าเป็น college เราต้องลงวิชาเรียนเอง จัดสรรเวลาเอง เทอมนี้เราอยากลงอะไร มีทั้งวิชาบังคับและวิชาเลือก เราสามารถเลือกได้เลยว่าจะลงอะไร ส่วนเนื้อหาเรียนที่ college จะเรียน 1 วิชาต่อ 1 เทอม ค่อนข้างที่จะเข้มข้นและครอบคลุม แต่พอเป็นมหาวิทยาลัย เราต้องเรียนแยกกับเด็กที่เรียน Bachelor’s, Master’s หรือ PHD ก็คือเรียนแยกแคมปัสกันไปเลย ในตึกนึงก็จะเป็นแค่เด็ก certificate ไปเลย เราก็จะรู้จักกันแค่เพื่อนในห้อง หรือในโปรแกรมเดียวกันค่ะ
ส่วนเรื่องการเรียนของมหาวิทยาลัย เนื้อหา 1 อาทิตย์นึงเรียน 1 วิชา เนื้อหาเลยไม่ได้เข้มข้นเท่าเรียน college เท่าไหร่ แต่ว่าที่นี่ได้ฝึกภาษาอังกฤษเยอะกว่า ได้พูด ได้พรีเซนต์ทุกอาทิตย์เลย แล้วที่นี่ไม่ต้องลงเรียนวิชาเองค่ะ ทางมหาวิทยาลัยเป็นคนลงให้ ส่วนวิชาเลือกของทางมหาวิทยาลัย อย่างตอนนี้เรียน เขียนเรซูเม่กับสมัครงานอยู่ค่ะ เทอมที่แล้วได้เรียนการพรีเซนต์ที่ถูกต้องทำอย่างไร ซึ่งในแต่ละเทอมเขาจะให้เราโหวตก่อน คนส่วนมากอยากเรียนวิชาอะไร เขาก็จะเปิดวิชานั้นขึ้นมาในเทอมต่อไปค่ะ
ทางมหาวิทยาลัยมีอะไร support เราบ้างคะ?
จะมีที่ปรึกษาที่คอยให้คำปรึกษาเรา มีอะไรก็สามารถไปขอคำปรึกษาได้ค่ะ ดีมากเลย เพราะเขา support นักเรียนที่อยากอยู่ต่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยค่ะ เขาสนับสนุนคนที่อยากได้ OPT จริง ๆ ค่ะ แล้วก็มีเรื่อง U Pass มันคือบัตรนักเรียนที่เราสามารถใช้กับขนส่งสาธารณะได้ค่ะ เราสามารถใช้ได้ทั้งบัส รถไฟ ใช้ได้หมดเลยค่ะ เติมเงินใส่บัตรแค่ครั้งเดียว รู้สึกว่าอันนี้มีประโยชน์มาก เพราะเราต้องเดินทางไปเรียนอยู่แล้ว จันทร์-ศุกร์ ถ้าเราเติมเงินเข้าบัตรเองจะแพงกว่านี้ค่ะ
เมืองซีแอตเทิลเป็นยังไง หลังจากอยู่เมืองนี้แล้ว คิดว่ามีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้างคะ?
ถ้าข้อดีเลยคือสงบไม่ค่อยมีแสงสีเสียง ผับบาร์อะไรงี้ เหมาะกับคนที่ต้องการมาเรียนจริง ๆ ธรรมชาติสวย แต่อากาศแปรปรวน ฝนตกไม่เป็นเวลา อยากจะตกก็ตก แต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้สวยมาก แล้วก็ด้านระบบขนส่งสาธารณะ มีรถไฟวิ่งทั่วเมือง มีรถบัสที่เราสามารถไปไหนก็ได้ และก็รถไฟไม่ได้น่ากลัวเหมือนในนิวยอร์ก ที่นี่สะอาดและมีตำรวจประจำทุกสถานีเลยค่ะ ช่วงนี้เหมือนเขาจะเปลี่ยนนโยบายใหม่มั้งคะ จะเห็นพนักงานประจำอยู่ทุกตู้รถไฟเลยค่ะ จะคอยตรวจดูว่ามีคนไร้บ้านไหม หรือมีใครไม่จ่ายเงินค่ารถบัสหรือค่ารถไฟ ค่อนข้างปลอดภัยเลยค่ะ ส่วนเรื่องที่ไม่ค่อยโอเคคือคนไร้บ้านค่ะ ตอนนี้ Seattle จำนวนคนไร้บ้านพุ่งสูงมากค่ะ ค่อนข้างน่ากลัว แต่ว่าเขาก็อยู่ในย่านของเขา ถ้าเราไม่ได้ไปย่านนั้นก็จะไม่เจอค่ะ อาหารการกินที่นี่โอเคมากค่ะ ร้านอาหารไทยเยอะมาก ร้านเกาหลี ญี่ปุ่นเต็มเลยค่ะไม่ต้องห่วง เพราะที่นี่เป็นเมืองที่มีความหลากหลายค่ะ
แต่ค่าครองชีพแอบสูงค่ะ Tax 10% การหาหมอที่นี่ค่อนข้างยากด้วยค่ะ เคยไม่สบายตอนนั้นเป็นตากุ้งยิงแล้วทรมานมาก เราต้องโทรไปลงคิวไว้ แล้วโรงพยาบาลจะโทรมานัดเราอีกที แต่เราไม่สามารถหาได้เลยนะคะ เราต้องรอเขาโทรกลับมาอีกสองสามวัน แต่มันก็จะมี Urgent Care คลินิกสำหรับเร่งด่วน อันนี้เรา walk-in เข้าไปได้เลย เพิ่งไปหามา แต่หมอก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เขาแค่ดู ๆ แล้วก็ให้กลับบ้านไปก่อน ทีแรกหมอเขาดูบอกว่าไม่ติดเชื้อไม่เป็นไร ประคบร้อนไปก่อนเดี๋ยวก็หาย ผ่านไปสองอาทิตย์ เป็นหนักขึ้นแล้วก็ไม่หาย เลยต้องไปหาคลินิกเอกชนอันนั้นเขาถึงจะจ่ายยามาให้กินถึงหาย มันจะไม่เหมือนบ้านเราที่ไปหาได้เลย
มีวิธีการหาที่พักที่อเมริกายังไง?
จริง ๆ ที่อเมริกาหาที่พักไม่ยากนะคะ แนะนำสองเว็บไซต์ค่ะ คือ Apartment.com กับ Zillow ค่ะ เรากำหนดได้เลยว่าอยากได้เรทราคาเท่าไหร่ ย่านไหน แต่ส่วนตัวไม่ได้ใช้แอป เพราะตอนนั้นอยู่อเมริกาอยู่แล้ว และจะย้ายมาตรงย่าน UW ก็เลยดูใน Google Map ว่ามีที่ไหนน่าสนใจแล้วเราก็ติดต่อเขาโดยตรงเพื่อไปดูห้องเลยค่ะ เขาจะบอกเอกสารที่ต้องใช้และเราสามารถต่อรองต่าง ๆ กับเขาได้เลยค่ะ
มีข้อคิด คำแนะนำอะไรเพิ่มเติมสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจอยากมาเรียนต่อหรือมาอยู่อเมริกาบ้างไหมคะ?
อยากบอกว่าถ้าใครกำลังตัดสินใจนะคะ อยากให้ลองเปิดใจและก้าวผ่าน comfort zone ของตัวเองดู ลองมาเรียนต่อหรือมาที่นี่ดูค่ะ คิดว่ามันเป็นประสบการณ์ใหม่ ๆ และเป็นประสบการณ์ที่ดี ถ้ามาเรียนน่าจะได้อะไรกลับไปมากกว่าความรู้แน่นอนค่ะ สำหรับคอร์สนี้ใครที่สนใจอยากมีความรู้พื้นฐานหรือความรู้ที่สามารถนำไปต่อยอดได้ คิดว่าคอร์สนี้สามารถช่วยได้เยอะเลยค่ะ ใครที่ต้องการฝึกภาษาจริง ๆ แนะนำที่ UW ค่ะ ได้พูดได้ใช้ทุกวัน ทำให้ภาษาอังกฤษเราพัฒนาขึ้นจริง ๆ ค่ะ