รีวิว เรียนหลักสูตร Dental Assisting ที่แคนาดา
กับสถาบัน Algonquin College โดยคุณต่อ
อะไรทำให้ตัดสินใจมาเรียนต่อที่แคนาดา?
จริง ๆ เป็นความฝันตั้งแต่เราเรียนป.ตรี ที่ไทยแล้ว ว่าเราอยากย้ายไปอยู่ต่างประเทศ และอยากได้ work life balance ของชั่วโมงทำงานกับรายได้ที่สมเหตุสมผลกัน อยากมีพาสปอร์ตประเทศโลกที่หนึ่งถือไปไหนก็ได้ ไม่ต้องมานั่งเตรียมเอกสารเยอะแยะหรือโดนเพ่งเล็งว่าเราจะโดดวีซ่า อยากพูดภาษาอังกฤษคล่อง อยากมีเพื่อนต่างชาติ มีแฟนต่างชาติด้วย เลยคิดว่าแคนาดาดูตอบโจทย์สุดแล้วจากที่หาข้อมูลมาทั้งหมด ความหลากหลายสูง ความปลอดภัยก็ดีกว่าอเมริกา
เรารู้สึกว่าอยู่ที่ไทยไม่ได้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราเท่าไหร่ ทั้งระบบการเมืองและการใช้ชีวิตของตัวเอง อีกอย่างหนึ่งอยากไปไหนที่แบบเราเหนื่อยเท่ากันแต่เราคุ้มค่ากับเวลาที่เราลงไป เรารู้สึกอยากไปต่างประเทศอีกครั้งคือตอนไปทำงานที่ภูเก็ต ภาษาอังกฤษเราค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนได้มาเปิดร้านขายยาของตัวเอง มันมีช่วงปี 2019 มีลูกค้ามาให้ช่วยจัดยาเพราะเขาจะไปเรียนต่อต่างประเทศ คนแรกได้ทุนไปเรียนต่อฝรั่งเศส อีกคนจะไปทำงานที่ออสเตรเลียทั้ง ๆ ที่อายุเขาเยอะแล้วนะ ก็เลยทำให้เรากลับมาคิดว่า จริง ๆ มันมีอีกหลายหนทางเลยถ้าเราอยากไปต่างประเทศ เพราะตอนเราทำร้านยา มันเหนื่อยนะ เราทำทุกอย่างเองหมดทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน และเงินก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น แล้วมันมีช่วงที่เราอยากไปเที่ยว ก็ปิดร้าน พอปิดร้าน รายได้ก็ไม่เข้า
ก็เลยมาคิดว่า ถ้าเราหยุดทำงานแล้วเราจะมีเงินจากไหนมาเลี้ยงดูตัวเองตอนแก่ มันก็คิดหลายอย่าง อย่างถ้าเราไปอยู่เมืองนอก พอแก่ตัวมามันมีเงินจากรัฐบาลมาช่วยเรา จ่ายภาษีไปมันก็ย้อนกลับมาหาเรา เราอาจจะไปสอบเป็นเภสัชที่ออสเตรเลียก็ได้ เลยเริ่มศึกษาวิธีการ ไปคุยกับเอเจนซี่และเตรียมตัวจะไป และตอนนั้นกำลังจะโอนเงินวันรุ่งขึ้นอยู่แล้ว ออสเตรเลียประกาศปิดประเทศ ดีนะที่เรายังไม่จ่ายเงิน เราเลยพับโครงการไป แล้วก็ได้คุยกับรุ่นพี่เภสัช มข. พี่เขาบอกว่าเขาทำงานแค่ 5 วัน/สัปดาห์ วันละ 6 ชม. สัปดาห์เดียวเขาก็ได้ค่าตั๋วบินไปกลับ กทม.- คาลการี แล้วนะ ช่วงระหว่างหาข้อมูล เราก็ขายกิจการตัวเอง และหลังจากออสเตรเลียปิดประเทศก็ชั่งใจว่าจะไปแคนาดาหรือเยอรมันดี ถ้าไปเยอรมันค่าเทอมถูกมาก มีทุนให้ด้วย แต่ต้องได้ภาษาเยอรมัน B1 ขึ้นไป ต้องเสียเวลาประมาณ 1 ปีมานั่งเรียนภาษาใหม่ แต่แคนาดาก็แค่เอาเงินส่วนนั้นมาลงเรียนเลย และภาษาอังกฤษเราก็พอพูดได้ฟังออกอยู่แล้ว ทีนี้ก็มานั่งเปรียบเทียบ และพบว่าแคนาดาสามารถขอ PR ได้ง่ายกว่า และประเทศก็เปิดแล้วด้วย แคนาดาก็เลยตอบโจทย์สุด ค่าครองชีพแคนาดา ถ้าเทียบกับยุโรป มันแพงแหละ แต่ถ้าเทียบกับออสเตรเลียมันสมเหตุสมผลแล้ว
ทำไมถึงเรียน Dental Assisting ที่ Algonquin?
เพราะมันเป็นสายที่ตัวเองชอบ มีพื้นฐานด้านสายแพทย์อยู่แล้ว และเราสนใจสายทางด้านนี้อยู่แล้ว เคยคิดอยากเรียนต่อทันตแพทย์ที่ไทยอีกใบด้วย แต่ยังไม่ทันได้สมัครเรียนก็เจอหนทางมาที่แคนาดาก่อน เราไล่สมัครมหาลัยหลัก ๆ ดัง ๆ หมดเลย ก็มีอีเมลจากมหาลัยตอบกลับมา 3 ที่ เราไม่เข้าเงื่อนไขอะไรเลย เลยมานั่งดู List อาชีพที่แคนาดาต้องการ ตอนนั้นคิดว่าอาชีพอะไรก็ได้ ขอให้ได้ย้ายประเทศเถอะ ก็มีคนแนะนำ Data analysist แต่เราว่ามันไม่ใช่ทางเราเลย เพราะเราจบสายแพทย์มา เลยเอากระดาษมาเขียนจุดอ่อน จุดแข็งและสิ่งที่เราชอบดู พอดู Job bank ของแคนาดา ว่ามีสายแพทย์อะไรน่าสนใจบ้าง จะมี Health administration, Regulatory affairs ทำขึ้นทะเบียนยา และที่สนใจมาก ๆ เลยคือ Dental hygienist และ Dental assistant ตำแหน่งนี้ต้องการคนที่จบที่นี่และเป็นที่ต้องการมาก แต่พอมาเปรียบเทียบค่าเทอมของทั้งสอง Dental hygienist ค่อนข้างแพงกว่ามาก เลยเลือก Dental assistant เราเปิดดูทุกสถาบันในแคนาดาเลยว่ามีสถาบันไหนเปิดรับคอร์สนี้บ้าง ซึ่งเราตัดแวนคูเวอร์ โทรอนโต และไนแองกาล่าออกเลย รวมไปถึงแถวลอนดอนด้วย เพราะพวกเมืองใหญ่ ๆ ค่าครองชีพสูง ค่าที่พักแพงมาก เลยมาจบที่ออตตาวา
การเรียนการสอนในหลักสูตรนี้ได้เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้างคะ?
อันนี้ตอนแรกคิดว่าง่าย เพราะตัวเองมีเพื่อนเป็นหมอฟัน เลยไปดูหน้างานที่ไทย เพื่อนบอกสบายจะตาย อย่างกะรับเด็กม.หก จบมา แต่พอมาเรียนจริงโหมันเปิดโลกมากเลย ไม่เหมือนกับที่ไทยนะ ที่นี่จะแบ่งอาชีพในหมวดเกี่ยวกับฟัน เป็นสามแบบ คือ Dental assisting ผู้ช่วยทันตแพทย์ มีหน้าที่เป็นลูกมือคอยช่วย Dentist กับ Dental hygienist วิชาชีพที่สอง คือ Dental hygienist เปรียบเทียบกับที่ไทยคือ ทำความสะอาดช่องปาก ขูดหินปูน ขัดฟัน โรคเหงือก และสุดท้ายคือ Dentist อันนี้จะอยู่สูงสุด ทำหน้าที่อุดฟันและผ่าตัด กับอะไรที่ยาก ๆ ทั้งหมด ยากรองลงมาจะเป็น Dental hygienist และสุดท้าย Dental assistant จะทำหน้าที่ซัพพอร์ต เราไม่ได้มีหน้าที่แค่ยื่นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ให้ Dentist แต่เราต้องดูชาร์ตเป็น พาคนไข้ไปเอกซเรย์ได้ รับคนไข้ จัดคิวคนไข้ เช็กประวัติสุขภาพ เช็คทุกอย่าง เตรียมห้อง เตรียมอุปกรณ์ พาคนไข้ตรวจวัด จัดตาราง เซ็ตถาด เป็นหน้าที่ Dental assistant ผู้ช่วยหมอฟัน ทั้งหมด ที่นี่การรักษาจะแม่นยำมาก ทุกอย่างต้องคอนเฟิร์มด้วยภาพเอกซเรย์ หมอตรวจปากและคอนเฟิร์มด้วยภาพถ่ายเอกซเรย์อีกที จะถ่ายเป็นจุด ๆ และถ่ายทั้งศีรษะ โดยหน้าที่ทั้งหมดนี้เป็นผู้ช่วยหมอฟันทำ ไม่ใช่หมอฟันทำ
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมค่าทำฟันที่แคนาดาถึงแพงมาก มันมีหลายขั้นตอนจุกจิก ทุกอย่างเช็คละเอียดหมด ทั้งรูปร่างฟัน ความลึกรากฟัน จะอยู่ในบันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทั้งหมด และหน้าที่บันทึกคือเรา เราต้องเรียนเกี่ยวกับพวกเอกซเรย์ด้วย มันเหมือนเรียนปี 1-2 ของทันตแพทย์ที่ไทยเลย เรียนเกี่ยวกับโครงสร้างฟันทั้งหมด และเรียนศัพท์เกี่ยวกับฟัน ต้องเรียนรู้คีย์เวิร์ดทั้งหมดเวลาหมอฟันพูด เรียนทาฟลูออไรด์ อุดฟัน เราต้องสอนผู้ป่วยได้ว่า เขามีปัญหาอะไร ต้องรักษาฟันยังไง เพราะหน้าที่เราคือให้ความรู้คนไข้ หมอฟันพอถอนฟันหรืออุดฟันเสร็จ เขาจะถามคนไข้แค่มีปัญหาหรือกังวลอะไรไหม ถ้าไม่มี ก็จะเป็นหน้าที่ของผู้ช่วยทันตแพทย์ก็คือเรา เป็นคนให้ความรู้และดูแลคนไข้ต่อ ที่ไทยหมอฟันทำทุกอย่าง แต่ที่นี่ไม่ใช่ ผู้ช่วยเลยต้องเรียนทุกอย่างจริง ๆ อย่างตอนสอบจะมีแล็บกริ๊งด้วยนะ ให้เขียนชื่ออุปกรณ์ภายในสามสิบวินาทีไรงี้ มีให้ผสมแป้งที่เอาไว้พิมพ์ช่องปาก และให้เอามาทดสอบกับคนจริง ๆ อาจารย์ก็จะมาดูว่าทำถูกหรือทำผิด ทำผิดก็ตก ซึ่งเขาให้ผิดแค่ 2 ครั้ง ถ้ามากกว่านั้นต้องลงเรียนใหม่ตั้งแต่ต้นทั้งโปรแกรมนะ ไม่ใช่แค่วิชาที่ตก นี่แหละคือสิ่งที่มันกดดัน ตอนเรียน 30 คน จบมาเหลือแค่ 18 คน เรียนหนักนะถ้าเทียบกับโปรแกรมอื่น เราไม่มีเบรก เราจะเรียนยาวเลย โดยเฉพาะเทอมที่สองเรียนหนักมาก จันทร์-เสาร์ เพราะเขาจะให้เราลงไปฝึกงานวันเสาร์ที่คลินิก ทำให้เราได้เจอกับคนไข้จริง แต่ช่วงก่อนเจอคนไข้จริง คือวันอังคาร/พฤหัส เขาจะให้เราฝึกกับเพื่อนหรือกับโมเดลซ้อมก่อน เรียนทฤษฎีง่ายมาก แค่อ่านและไปตอบ แต่อันที่คิดว่าไม่เหมาะกับเราเลย คือเรียนเอกซเรย์ภาพในช่องปาก ตอนเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องเลย นอกจากกำแพงภาษาแล้ว ยังเป็นเรื่องใหม่ที่เราไม่รู้อะไรเลย และตอนสอบเขาให้ถ่ายซี่ฟันทั้งหมดทุกแบบ ฟันกราม ฟันเขี้ยว และภายในสามสิบนาทีต้องแปลผลให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฟัน ในความเป็นจริงมันก็เป็นแบบนี้เลย เราสามารถถ่ายเอกซเรย์ช่องปากคนไข้ได้แค่ครั้งเดียวและประเมินผลส่งให้หมอฟันก่อนเริ่มทำหัตถการใด ๆ แล้วพวกแผ่นฟิล์มที่พิมพ์เอาเข้าปากมันเจ็บนะ เขาเลยต้องให้เราฝึกความแม่นยำตั้งแต่ตอนเรียนเลย ดังนั้นคนที่จะมาเรียนสายนี้นอกจากความชอบ ภาษาอังกฤษต้องดีประมาณนึง ได้เจอชีวะอยู่แล้ว เลขไม่ต้องกังวลมากแทบไม่ค่อยเจอ และก็ทักษะด้านการสื่อสารกับคนไข้ ก่อนที่เราจะมาเรียนคอร์สนี้ เขาจะให้เราปรับพื้นฐานสายสุขภาพก่อน 4 เดือน มันช่วยปรับภาษาอังกฤษเราไปด้วย และภาษาอังกฤษเราพัฒนาขึ้นประมาณนึงเลย เรามีความกล้าที่จะพูดต่อหน้าคนอื่นมากขึ้น ที่นี่ยิ่งเรากล้าพูดกล้าแสดงออกมีแต่คนชื่นชมเรา
ตอนปีสามจะมีให้เราไปฝึกงานคลินิก และให้เราทำงานประกบคู่กับหมอฟันจริง ๆ เลย ซึ่งหมอใจดีมาก คอยให้ข้อมูลตลอด และคนไข้ก็ใจดีมากทุกคน เวลาจะให้การรักษาเราจะแนะนำตัวว่าเป็นเด็กจาก Algonquin ขออนุญาตให้การรักษาเขา ซึ่งมันทำให้เรามีความมั่นใจในการรักษามากขึ้น ทั้งทักษะที่เรียนและภาษาอังกฤษ เราจะเห็นมุมมองหมอฟันกับคนไข้จริง บางอย่างอาจจะไม่ได้เหมือนกับที่เรียนก็ได้ อย่างตอนไปฝึกก็มีคนชมเรื่องพื้นฐานที่มหาลัยสอนมาได้ดี เป็นมหาลัยที่ชื่อเสียงดีและคนข้างนอกที่มองเขาค่อนข้างมั่นใจเรื่องคุณภาพและศักยภาพของคนที่จบจาก Algonquin อย่างเพื่อนที่จบไปก่อนหน้าก็ได้งานทำกันทุกคนนะ ขอบคุณ Algonquin และขอบคุณตัวเองที่เลือกออตตาวาด้วย
หลังจากเรียนหลักสูตรนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง ช่วยรีวิวให้ฟังหน่อยค่ะ?
รู้สึกว่ามีความสุขที่ได้เรียนโปรแกรมนี้ มันเป็นชะตาลิขิตมาแล้ว ไม่ได้ผิดหวัง ไม่ได้เศร้า รู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำ อย่างอาจารย์ก็บอกว่า เธอรู้ไหมว่าเธอเป็นนักเรียนต่างชาติ แค่ 2 คนเองนะที่ผ่านเข้ามาเรียนโปรแกรมนี้ได้ เพราะมันแข่งขันสูงมาก ในห้องมี 30 คน มีคนไทยหนึ่งคนคือเรา ฟิลิปปินส์อีกคน นอกนั้นเป็นคนแคนาดาหมดเลย เราเลยรู้สึกว่าโชคดีจัง อาจารย์ 90% เป็น Dental hygienist มีนิดหน่อยที่เป็น Dental assistant ที่นี่ไม่มี Dentist แต่เขามี partner เป็น Dentist จากข้างนอก ตอนเราฝึกคลินิกเวลามีคนเข้ามาใช้บริการวันเสาร์ เขาจะเอา Dentist ตัวจริงมาอยู่ด้วย เพื่อช่วยให้คำแนะนำเรา
เวลาหาหมอฟันที่แคนาดา จำเป็นต้องหาที่เดิมตลอดไหม?
คนที่นี่ส่วนใหญ่มักจะหาหมอที่เดิมตลอด แต่ถ้าเราย้ายที่อยู่ หรือไม่ชอบหมอคนนี้ อยากย้ายไปคลินิกใหม่สามารถทำได้ เพราะข้อมูลการรักษาทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้และส่งต่อไปหาหมอคนใหม่ได้เลย ซึ่งระบบยาก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน รวมถึงการหาหมอตรวจโรคทั่วไปด้วย แต่ที่นี่เขาจะมี family doctor นะ แต่ถ้าจะเปลี่ยนก็สามารถเปลี่ยนได้ และข้อมูลการรักษาเขาก็ลิงค์กันหมด
Algonquin มีบริการอะไร support นักเรียนบ้างคะ?
มีเยอะนะสำหรับคนที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็น counseling ตัวเองได้ใช้บริการบ่อยมาก เวลาจิตตกช่วงสอบ หรือว่ามีปัญหาด้านจิตใจไปปรึกษาเขาได้ฟรี มีทั้งออนไลน์และตัวต่อตัว และก็มีโค้ช คอยฝึกภาษาอังกฤษมาช่วยเรา เขาจะสอนการออกเสียงเรา หรือใครมีปัญหาเรื่องพรีเซนต์เขาก็ช่วยได้ ห้องสมุดก็มีให้บริการ ค่อนข้างใหญ่เลย อย่างใครอยากจองห้องอ่านหนังสือหรือนั่งทำงานก็ได้ เขาเปิด 24 ชม. มียามคอยตรวจดูความปลอดภัยให้ด้วย มีแล็บท็อปให้ยืมในกรณีที่เรามาเรียนแล้วไม่มีใช้ หลังเรียนเสร็จก็เอาไปคืน อีกอย่างคือ Healthcare support เวลาเจ็บป่วยไปหาหมอที่มหาลัยสะดวกกว่า มีช่วงที่เป็นตากุ้งยิง ก็มาหาหมอที่นี่ มียิมออกกำลังกายให้ บัตรนักศึกษาก็ขึ้นรถไฟฟ้ารถบัสฟรี มีโรงอาหารให้ ราคามีทั้งถูกและแพง แล้วแต่เรา ถ้าแบบถูกจะเป็นอาหารของนักเรียนที่เรียน Culinary ทำ และนำมาขาย อีกอันคือเป็น Professional ด้านอาหารมาขายราคาก็จะแพงขึ้น มีร้านหนังสือให้ จะขายอุปกรณ์เครื่องใช้ เสื้อผ้า ขนมขาย ราคาพอ ๆ กับข้างนอก มันก็สะดวกไม่ต้องออกไปหาซื้อข้างนอก มีล็อกเกอร์ให้ยืม เราต้องทำแล็บเยอะ ไม่อยากหอบของกลับบ้าน มีโรงหนัง สนามกีฬา ยิมไต่เขาปีนเขา โยนโบว์ลิ่งก็มี ทุก 6 เดือนก็จะมีบูธ Job fair เปิดรับสมัครงานมาเปิดรับ พูดตรง ๆ นะ ไม่ใช่ว่าเราเรียนเก่ง ได้เกรดเอหรือเกียรตินิยม ก็ไม่ได้การันตีว่าเราจะได้งานนะ connectionสำคัญที่สุด
ได้ทำงานพาร์ทไทม์ด้วยไหมคะ?
เราทำแน่นอน จริงจัง ต้องทำเพราะค่าครองชีพที่นี่สูงมาก การทำงานทำให้เราได้เพื่อน ได้ connection ได้ภาษา ตอนนี้ที่ทำอยู่มีสามงาน เป็น Pharmacy assistant, Kitchen assistant และ Tutor ทุกงานหาและสมัครด้วยตัวเองทั้งหมด มันจะมีงานในมหาลัยที่ทำได้ไม่จำกัดเลยแต่การแข่งขันสูงมาก พนักงานในร้านอาหารของมหาลัย ร้านขายหนังสือ หรือ ambassador ที่คอยให้คำแนะนำพาทัวร์ในมหาลัย อีกงานเป็นงานข้างนอก สามารถทำงานได้ 20 ชั่วโมง/สัปดาห์ แต่เราต้องดูด้วยนะเพราะสิ่งสำคัญอันดับแรกคือการเรียนไม่ใช่การทำงาน เพราะงั้นต้องแบ่งเวลาให้ได้ โปรแกรมที่พี่เรียนต้องเตรียมตัวเตรียมใจมาให้ดี ไม่สามารถโดดเรียนไปทำงานได้ เช็คชื่อตลอด คลาสเริ่ม 8 โมง ต้องมารอเรียนตั้งแต่ 7:30 น. อาจารย์เขาเน้นเรื่องความแม่นยำมากเพราะเราเรียนไปรักษาผู้ป่วย อาจารย์จะค่อนข้างเป็น perfectionist การรักษาเวลาก็สำคัญมาก มีเคสเพื่อนในห้องมาสายตอนสอบ 8 นาที ไม่ได้สอบ ต้องเขียนอีเมลไปหา coordinator เขาถึงอนุญาตให้สอบ แต่คุณจะได้คะแนนแค่ 60% ต่อให้สอบได้ 100 เต็ม จากประสบการณ์ของพี่ พี่หาจาก Indeed ส่งเรซูเม่ออนไลน์ แบบสองคือ เดินยื่นเรซูเม่ตามร้านทุกที่เลย ถ้าเขาสนใจก็จะโทรกลับมาหาเราเลย สามคือ connection ถ้ามีงานตรงไหนเปิดรับเพื่อนก็จะ reference ให้ แนะนำลองหางานให้มันทุกทางเลย ทั้งออนไลน์ walk-in ใช้ connection ส่งมันทุกวันอ่ะ ยังไงมันก็ได้แน่ ๆ อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย
มีวิธีการหาที่พักที่แคนาดาอย่างไร?
เราหาจาก Kijiji แต่ต้องดูนะว่าเราอยากจะย้ายช่วงไหน ต้องหาล่วงหน้า 2-3 เดือน ไม่งั้นอาจจะได้ที่อยู่ที่ไม่โอเค รวมถึงค่าเช่าอาจจะแพง ถ้าใครมาพร้อมกับแฟนจะง่ายหน่อย เรทที่พักตอนนี้ขั้นต่ำ 700$ มันมีต่ำกว่านั้นนะ 500$ แต่ในห้องนั้น 1 ห้อง ต้องนอนกับเพื่อนอีก 1-2 คน เรารับได้รึเปล่า อะพาร์ตเมนต์แยกคนเดียวไม่ต่ำกว่า 1,500$ ตอนนี้เราอยู่ shared-house ข้อดี คือเราได้เพื่อนใหม่ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมอะไรใหม่ ๆ ด้วย ถ้าใครอยากหาก่อนมาก็ได้ แต่มาอยู่ก่อนแล้วหาเองจะดีกว่า และตอนที่เราเรียนอยู่ที่ไทย เราไม่เคยอยู่หอเลย เลยอยากกลับไปเป็นเด็กหออีกครั้ง ตอนเพิ่งมาเลยสมัครหอใน Algonquin ตอบโจทย์มากสำหรับใครที่อยากตื่นสาย มันเป็นหอรวมชาย-หญิง การอยู่ในหอทำให้ได้รู้จักคนอื่น ๆ อีกอย่างใครอยากได้แฟนหรือมีเพื่อนเป็นชาวแคนาดา แนะนำให้อยู่หอมหาลัย จะมีข้อเสียอย่างนึงคือ ห้องครัวต้องใช้รวม และเราเคยเกิดประเด็นมีคนขโมยน้ำพริกกับน้ำมัน เราเอาไปตั้งไว้แล้วไปเข้าห้องน้ำกลับมาของหาย แล้วทำอะไรไม่ได้ด้วย ฟีลเด็กหอจริง ๆ อีกอย่างเวลาซักผ้า อบผ้า ต้องจ่าย 5$/ครั้ง ขั้นต่ำ รวมกัน 1 ครั้ง 10$ เครื่องซักผ้าก็ไม่ดี บางวันแฉะเกิน ต้องอบสองรอบกว่าจะแห้ง เราเลยย้ายออกเพราะปัญหาซักผ้านี่แหละ เพราะเสียเงินกับเรื่องซักผ้าเยอะ อีกอย่างค่าหอตอนที่มาจ่ายแค่ 700$ ต่อเดือน ถ้าเทอม Fall จ่าย 900$/เดือน ก็เลยออกมาหาข้างนอกที่รวมค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ อินเตอร์เน็ต ซักผ้าให้หมดแล้วและถูกกว่า
เมืองออตตาวาเป็นยังไง หลังจากอยู่แล้วเมืองนี้มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้างคะ?
ส่วนตัวเราชอบนะเป็นเมืองที่ Slow life ออกแนวครอบครัว ถ้าสายปาร์ตี้ เที่ยวผับบาร์ อาจจะไม่ตอบโจทย์ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเมืองหลวงนะ มันเป็นเมืองที่รวมศูนย์ราชการต่าง ๆ มีผู้อพยพ คนผิวสี และอาหรับเยอะ เคยถามเพื่อนว่าทำไมถึงเลือกมาอยู่เมืองนี้ เพื่อนบอกว่า มันอยู่ใกล้สถานทูตเวลาจะติดต่ออะไรมันง่ายสำหรับฉัน และเป็นเมืองสองภาษาคนจะพูดได้ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส จะไม่เหมือนควิเบก ที่เป็นฝรั่งเศส 90% เลย พวกผู้อพยพค่อนข้างเยอะ เอเชียจะน้อย
ใครอยากใช้ชีวิตตื่นมาไปทำงานชิล ๆ รถไม่ติดมาก ไม่ได้บ้านนอกขนาดนั้น แต่ไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะเท่าแวนคูเวอร์ โทรอนโต จะเน้นเป็นแหล่งธรรมชาติมากกกว่า พวกป่าเขาแม่น้ำลำธาร ขนส่งสาธารณะที่นี่มีบัสกับรถไฟ ครอบคลุมทั้งหมด รถบัสวิ่งตลอดตั้งแต่ตีห้าครึ่งถึงตีหนึ่ง เข้าถึงง่ายและตรงเวลาด้วย ขอเล่าเรื่องป่วง ๆ ของรถบัสให้ฟัง ตอนจะขึ้นรถเราต้องตั้งใจจะขึ้นรถบัสคันนั้นจริง ๆ เพราะถ้าเราแค่ยืนรอแล้วเล่นมือถือเขาจะขับผ่านไม่สนใจเลย เราโดนมาสองรอบแล้ว เพราะเขาถือว่าเราไม่สนใจจะขึ้น เวลาก็ตรงเป๊ะ อย่างที่สองตามใจคนขับ ตอนนั้นเราจะมาสอบไฟนอล อยู่ ๆ รถบัสจอดระหว่างทาง เพราะคนขับลงไปซื้อสตาร์บัค 10 นาที ผู้โดยสารก็รอกันแบบงง ๆ แล้วนางก็เดินกลับมานั่งแบบชิล ๆ เจอแบบนี้มาสองรอบละ ความสะอาดของรถสาธารณะไม่ได้สะอาดเท่าบ้านเรา เพราะมันก็มีคนไร้บ้านมาใช้ด้วย มันสะดวกปลอดภัยสำหรับคนที่ไม่มีรถขับ แต่ถ้าอยากออกไปเที่ยวนอกเมืองด้วยรถบัสอาจจะไปยากหน่อย
สรุปคือเมืองนี้มีข้อดี ตรงผู้คนหลากหลาย ถ้าใครไม่อยากมีเพื่อนเอเชียเท่าไหร่ ที่นี่น่าจะตอบโจทย์เพราะหลัก ๆ จะมีคนอาหรับเยอะ แคนาดารองลงมา สองค่าครองชีพถูก ถ้าเทียบกับโทรอนโตกับแวนคูเวอร์ อัตราการหางานหาง่ายกว่าเมืองใหญ่ ๆ เพราะมีเพื่อนที่ไปหาที่โทรอนโตหาไม่ได้ แต่กลับมาหาที่นี่หาได้ และก็ความปลอดภัยกว่าเมืองใหญ่ ด้วยความที่เป็นเมือง slow life ห้างปิดสามทุ่ม ผับบาร์มีบ้าง แต่คนไม่ได้ไปปาร์ตี้ทุกวันขนาดนั้น เดินถนนคนเดียวค่อนข้างปลอดภัย ค่าแรงจ่ายในเรทที่เหมาะสม ของกินของใช้มีร้านอาหารไทยเยอะพอสมควร และมีร้านที่ขายของไทยโดยเฉพาะที่ไชน่าทาวน์ มีกิจกรรมให้ทำเยอะ มีเล่นบอร์ดเกม ปิกนิกเดินเล่นสวนสาธารณะ เดินเขา
ส่วนข้อเสียคือ เนื่องจากเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีที่เที่ยว ถ้าคนชอบ Hang out อาจจะไม่ใช่ทาง ห้างใหญ่มีสามที่ จริง ๆ ที่นี่คนเขาก็เดินห้างกันแต่ไม่เท่าที่ไทย คนที่นี่ไม่ค่อยชอบกินข้าวนอกบ้านเท่าไหร่ เพราะมันแพง อยากให้ที่นี่ไปดูงานที่ไทยเหมือนกันว่าห้างที่ไทยเจริญขนาดไหน 5555 อย่างว่าง ๆ ตอนนี้ด้วยความที่ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะทำงานบ้าน หรือไปสวนสาธารณะ นั่งมองผู้คน บ่นชีวิต หาอะไรไปกินกับเพื่อน หรือบางทีก็ไปเดินห้างมีแฟชั่นอะไรอัปเดต ไปหาของกินร้านเปิดใหม่
รีวิวก้อปันกันให้ฟังได้ไหมคะ อะไรทำให้เลือกใช้บริการของก้อปันกัน?
พูดแบบจริง ๆ คือที่เลือกก้อปันกันเพราะถูกจริต เวลาถามอะไรไป เขาก็ให้ข้อมูลแบบตรงประเด็น ครบถ้วน ไม่ต้องไปหาข้อมูลเพิ่ม ที่สำคัญไม่เบื่อ ตอบไว ช้าสุดคือวันรุ่งขึ้น ค่อนข้างประทับใจในการให้ความช่วยเหลือ รูปแบบการทำงานตรงไปตรงมา ชัดเจน ระบบสามารถติดตามความคืบหน้าแบบออนไลน์แค่กดดูในระบบ มีทักมาถามไถ่ตลอดในเรื่องที่บางครั้งเราไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือด้วยซ้ำ ก่อนมาเจอก้อปันกัน เราหาข้อมูลด้วยตัวเองส่วนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เราคุยกับเอเจนซี่มาหลายที่ แต่รู้สึกถูกชะตาตอนที่คุยไลน์ ตอนเขาตอบคำถามเรา เขาตอบข้อมูลที่เราอยากรู้และเสริมที่เราไม่รู้ด้วย เราก็แอบหยั่งเชิงเอเจนซี่ด้วยว่าเขาจะรู้ข้อมูลลึกแค่ไหน บางที่ไม่สามารถตอบคำถามเชิงลึกที่เราต้องการรู้ได้ แต่ที่ก้อปันกันเขารู้และแนะนำเราได้ ก็เลยรู้สึกประทับใจและเลือกใช้บริการเจ้านี้ ตอนนั้นปรึกษาก้อปันกัน คือเราเรียนจบโทเภสัชมาแล้ว ถ้าจะเรียนพวก Dental assisting / Vet assisting มันจะเป็นการ down degree ตัวเราและตอนยื่นขอวีซ่าที่ไทยมันจะยาก ทางก้อปันกันก็แนะนำว่าให้เรียนอะไรที่ส่งเสริมสิ่งที่เราจบมาดีไหม อย่าง Regulatory affairs น่าจะตอบโจทย์ตัวเอง ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้คอนเฟิร์มอะไรกับทางบ้านว่าจะเรียน Dental assistant เลยนะ มีความคิดแค่ว่า ฉันมีเงินเท่านี้ ฉันอยากเรียนต่อ และได้อยู่ทำงาน Regulatory affairs ก็ดีนะ แต่งานมันหายากนะ
มีข้อคิด คำแนะนำอะไรสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจอยากมาเรียนต่อหรือมาอยู่แคนาดาบ้างไหม?
อย่างแรกต้องตั้งเป้าหมายของตัวเองให้ชัดเจน เคยเห็นบางคนที่มาแล้วรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองหวัง ดังนั้นต้องถามตัวเองว่าเรามาเพื่ออะไร เราจะทำมันได้ไหม ถ้าไม่เป็นไปตามแผนเราจะทำยังไง เราต้องคอยหมั่นมานั่งเช็คตัวเอง เติมไฟให้ตัวเอง มันมีบางอย่างที่อาจจะไม่ได้เป็นตามที่เราหวัง แต่ระหว่างนั้นเราไม่จำเป็นต้องอยู่คนเดียวก็ได้ อย่าเพิ่งท้อหรือยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เพราะตัวเราตอนแรกรู้สึกว่าภาษาไม่ดี แต่มันก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรับโทรศัพท์ที่นี่ เราฟังไม่ออกเลยเนื่องจากสำเนียงที่บางครั้งมันติดสำเนียงอาหรับ หรือเป็นแคนาดาที่พูดเร็ว แต่เรียนในห้องเราฟังออกหมด เราก็บอกเจ้าของร้านว่าฟังไม่ออกเลย เขาก็เข้าใจเราไม่ได้ว่าอะไร ซึ่งมันมีคนที่ให้โอกาสเราอยู่ แต่เราก็ต้องโชว์ศักยภาพให้เขาเห็นด้วยว่าเราพยายามพัฒนาและอย่าเพิ่งยอมแพ้ และถ้าไม่ไหวอย่าอยู่คนเดียว มันมีคนที่พร้อมจะช่วยเรา กลุ่มคนไทยที่นี่ก็ดี อยู่ที่นี่ต้องเข้มแข็งเพราะมันมีการ discrimination อยู่ เราเคยโดนอาจารย์ discriminate เราก็เขียนอีเมลไปหา coordinator เพื่อแจ้งปัญหาและแก้ไขมัน อยู่ที่นี่ต้องฝึกแก้ปัญหาและยืนหยัดสู้ด้วยตัวเอง อะไรที่รู้สึกว่าตัวเองได้รับการดูแลที่ไม่เท่าเทียมก็แจ้งเขาเลย มีคนพร้อมจะช่วยเรา และถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ เรื่องการเรียนจะดรอปก็ได้ อย่าไปนั่งแคร์ว่าใครจะว่าเรา มันทำได้ ที่นี่เขาให้โอกาสเรานะ ถ้าเกิดความสงสัยอะไรถามอาจารย์ไปเลย มีความมั่นใจในตัวเอง