รีวิว เรียนหลักสูตร Health Care Administration Management ที่แคนาดา
กับสถาบัน Fanshawe College โดยคุณมิ้ง
อะไรทำให้ตัดสินใจมาเรียนต่อที่แคนาดา?
จริง ๆ มันก็มีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง คือทำงานอยู่ที่ไทยเป็นเภสัชมา 10 ปีแล้ว ทำมาทุกด้านแล้ว เรารู้สึกว่าเราก็ชอบนะ แต่ที่ไทยมันตันแล้ว แต่เรามองว่าถ้าศักยภาพเราพอ แล้วเราไปอยู่เมืองนอก ค่าตอบแทนมันจะสมเหตุสมผลกว่ากันนะ ก็เลยเริ่มคิดว่าเราอยากมาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศตั้งนานแล้ว แล้วมันมีทางไปไหม แล้วทำอะไรได้บ้าง ใจแรกคือตั้งใจจะมาเป็นเภสัชที่นี่ แล้วมันมีขั้นตอนอะไรบ้าง ก็เลยตัดสินใจมาเรียนและก็เลือกประเทศแคนาดา เพราะแคนาดาอยู่ในใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว โดนแคนาดาตกจากความสวยเฉย ๆ แต่จุดที่ตัดสินใจมา พอเราดูข้อมูลต่าง ๆ พวกเรื่องอายุด้วย เราเลยคิดว่าแคนาดาเหมาะกับเราที่สุด แล้วเราก็คิดต่อว่า ถ้าเราย้ายมาได้สักคนก็คงดี เผื่อมันจะเป็นโอกาสที่ดีให้น้องหรือญาติเราสามารถมาได้ด้วย
ทำไมถึงเลือกเรียน หลักสูตร Health Care Administration Management ที่ Fanshawe?
การมาเป็นเภสัชที่แคนาดาสามารถทำเรื่องมาจากไทยได้นะคะ แต่ ณ จุดนั้นใจเราไม่ได้อยู่ที่ไทยแล้ว เรารู้สึกว่า เราก้าวออกมาเลยดีกว่า ไม่ว่ามันจะเริ่มด้วยยังไง แต่รู้สึกว่าในไทย เราสามารถทำได้แค่ลูปเดิม ๆ เข้าเวร หาเงิน ซึ่งมันไม่ได้ตอบโจทย์ตรงที่ แล้วเราจะเอาเวลาไหนไปพัฒนาด้านนั้น ทั้งภาษาและสิ่งแวดล้อม การที่เรามาเป็นเภสัช ไม่ใช่ว่าเป็นเภสัชมีความรู้เภสัชแล้วมันจะทำได้ แต่เราไม่รู้เลยว่า ประเทศที่เราจะมา คนเขาเป็นแบบไหน ระบบสุขภาพเขาเป็นยังไง เราต้องรู้อะไรบ้าง อันนี้เป็นคำถามหลัก ๆ ที่ทำให้เราต้องถอยกลับไปว่าแล้วอะไรจะตอบโจทย์เรา ซึ่งตัวโปรแกรมนี้นี่แหละค่ะ ที่ตอบโจทย์เรา
แล้วพี่มิ้งยอมรับตรง ๆ เลยว่าตอนตัดสินใจว่าจะมาเรียนต่อ พี่มิ้งเลือกเอเจนซี่ก่อนคือก้อปันกัน แล้วเราเข้าไปดูสัมมนาออนไลน์ก็เห็นว่า Fanshawe มีโปรแกรมนี้ ตอนนั้นก็ค่อนข้างตัดสินใจเร็วนะ เห็นว่ามันเหมาะกับเราในทุกบริบทแล้ว และตอนที่ฟังเขาบอกว่า เราสามารถทำงานต่อที่แคนาดาหลังเรียนจบได้อีกสามปี มันก็ตอบโจทย์เราตรงที่ สมมติเราจบมา แล้วทำงานในสายที่เราจบมาจริง ๆ แต่ในระหว่างสามปีนั้น เราต้องไปทำงานเภสัชให้ได้นะ เหมือนเราซื้อเวลาตรงนั้น คือเราต้องสร้างประสบการณ์ เพราะงานที่แคนาดาส่วนใหญ่เขาต้องการคนที่มีประสบการณ์ เราก็ต้องไปเก็บประสบการณ์ก่อน และระหว่างที่เราเก็บประสบการณ์ ก็ต้องไปต่อใบอนุญาตเภสัชให้ได้ภายในสามปี เหมือนที่เราตั้งใจไว้
การเรียนการสอนในหลักสูตรนี้ได้เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้างคะ?
ตัวโปรแกรมนี้จะเรียนเกี่ยวกับระบบสุขภาพของแคนาดา ระบบเขาไม่เหมือนกับบ้านเราเลยค่ะที่คนไข้เดินเข้าร้านยา สามารถมาบอกอาการแล้วเภสัชจ่ายยา แต่ระบบที่นี่ต้องมีใบสั่งยาทุกอย่าง และหน้าที่ของเภสัชที่นี่ก็ไม่เหมือนบ้านเรา เขามีหน้าที่ฉีดวัคซีน จ่ายยาโรคพื้นฐาน ให้คำแนะนำคือเยอะค่ะ อย่างตอนเป็นเภสัชที่ไทยเรารู้สึกว่าเราเป็นคนขายยา แต่ที่นี่เขาให้คุณค่านะ เขาเชื่อใจเรา เรารู้ แล้วเราตอบคำถามเขา ไม่ใช่ว่าเราหาเงินจากเขา ซึ่งอันนี้ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่เราอยากมาทำ ถึงจะเป็นเภสัชแต่มันก็ไม่เหมือนกัน
ตัวโปรแกรมของที่นี่ เริ่มเรียนจากระบบสุขภาพของที่นี่เป็นยังไง เขาให้ค่าตอบแทนยังไง ระบบคลินิกการรักษาโรงพยาบาลเขาทำอะไรบ้าง ลำดับขั้น การที่คนไข้คนนึงจะหาหมอหรือได้รับการรักษาเข้าไปในระบบ มันต้องผ่านขั้นตอนอะไรบ้าง ที่นี่ถ้าจะให้ดีคนไข้ต้องมี Family doctor เหมือนหมอประจำตัว เราเป็นอะไรก็ไปหาเขา ถ้ามันหนักกว่าที่เขาจะรักษาได้ เขาก็จะส่งต่อให้โรงพยาบาล คือมันจะเป็นทอดแบบนี้ และปีถัด ๆ มา จะเรียนเรื่องกฎหมาย พวกกฎหมายยา กฎหมายที่คุ้มครองเรา กฎหมายสุขภาพที่นี่ สิ่งที่เราควรทำและไม่ควรทำถ้าเราอยู่ในระบบสุขภาพหรือทำงานที่นี่ โปรแกรมนี้ถ้าจบไป จะเป็นพวก Front/Receptionist ตามสถานพยาบาล สมมติถ้าเราจบและไปทำงานแบบนี้ จะเจอเรื่อง Billing ของที่นี่ ก็ต้องเรียนระบบการเบิกเงิน สมมติคนไข้มาหาหมอ จะเจอเราคนแรกที่เป็นคนสกรีน เสร็จแล้วพอหมอตรวจรักษา แล้วไดแอ็กหมอเขียนว่ายังไง ก็จะมีโค้ดของแต่ละไดแอ็ก เราก็ต้องคีย์เขาไประบบส่วนกลางเพื่อให้หมอได้รับค่าตอบแทนตรงนั้น อีกอย่างคือระบบ Screening อย่างพวกเราที่มาเรียนก็จะมี background เกี่ยวกับ Healthcare กันมาอยู่แล้ว จะมีให้เรียนด้วยว่า ถ้าคนไข้ walk-in เข้ามาในคลินิก แบบไหนที่เราต้องส่งต่อโดยทันที แบบไหนที่เราไม่ควรเก็บคนไข้ไว้ คนไข้เจ็บหน้าอกแบบไหนต้องส่งโรงพยาบาลทันที หรือคนไข้โทรเข้ามาแล้วบอกว่าอยากฆ่าตัวตาย อาจารย์บอกว่าเคสแบบนี้ห้ามวางสาย อะไรประมาณนี้มันก็จะมีรายละเอียดของมัน ข้อดีของ Fanshawe เท่าที่สัมผัสมา คืออาจารย์ส่วนใหญ่คือคนที่อยู่หน้างานและทำตรงนั้นจริง ๆ เขาเอาประสบการณ์จริงมาสอน
หลังจากเรียนหลักสูตรนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง ช่วยรีวิวหลักสูตรนี้ให้ฟังหน่อยค่ะ?
อย่างตอนนี้เรียนเทอมสุดท้าย เขาสอนเราทำเรซูเม่ และเอาอาจารย์ที่ทำตรงนั้นจริง ๆ มา เขาเปิดตัวมาว่า วัน ๆ นึงเขานั่งสกรีนเรซูเม่ แล้วจะมี section ที่ให้ทำเรซูเม่แล้วเขาจะช่วยปรับแก้จนเป็นเรซูเม่ที่ดี อย่างประเทศไทย เรซูเม่ต้องใส่หมดเลย รูปร่างหน้าตา อายุส่วนสูงที่อยู่ แต่ที่นี่ไม่ต้องใส่ค่ะ เรารู้สึกแฮปปี้นะและรู้สึกว่าเออนี่แหละการศึกษาที่ดีเป็นยังไง อะไรที่เราเอาไปใช้ได้จริง แบบเดี๋ยวเราก็ต้องก้าวออกไปทำงานละ เราต้องเรียนทำเรซูเม่ สร้าง Linked-in เพื่อสร้าง connection เพราะส่วนใหญ่การได้งานมาจาก connection แล้วหา connection ยังไง เราต้องทำ Volunteer ด้วยนะเพราะต้องเอาไปใส่เรซูเม่ ทำ Volunteer เราต้องไปหาที่ไหน มันก็จะมี Section ที่สอนอะไรพวกนี้ คือไม่ได้สอนแค่ว่า เรียนอะไรแล้วจบไปทำอะไร แต่เขาสอนว่าให้เตรียมตัวยังไงเพื่อเข้าไปสู่ระบบการทำงาน
เพื่อนในคลาสส่วนใหญ่เป็นอินเดีย ฟิลิปปินส์ นอกนั้นก็เกลี่ย ๆ กัน ไนจีเรีย เนปาล คนไทยก็มีโผล่มาบ้างค่ะ พี่มิ้งโชคดีตรงที่ว่า เพื่อนฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่จะน่ารัก มีอะไรก็แบ่งปันกัน เพื่อนเราก็ต้องเลือกคบ งานกลุ่มถ้าได้จับกลุ่มเองก็ดีไป แต่ถ้าเลือกไม่ได้ แล้วเราไปเจอเพื่อนที่ไม่น่ารัก ก็ต้องหาวิธีเอาตัวรอดให้ได้
ถ้าคนที่ไม่มีประสบการณ์ทางด้านนี้มาก่อน สามารถเรียนหลักสูตรนี้ได้ไหม?
พี่มิ้งว่าไม่ได้ เพราะเขากำหนดว่า ต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์ทางสายสุขภาพมาก่อน แต่ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นหมอ พยาบาล หรือเภสัชเท่านั้น เพราะเพื่อนในคลาสบางคนจบเทคนิคการแพทย์ บางคนเป็นนักกายภาพ หรือเจ้าหน้าที่ห้องแล็บ ขอแค่เป็นสายทางด้านนี้ เพื่อนบางคนเป็นนักวิชาการทางด้านสุขภาพ พี่คิดว่าเขาอยากให้มีประสบการณ์ทางด้านสุขภาพมาก่อน เพราะมันจะไม่ยากเวลาทำความเข้าใจว่า อันไหนเร่งด่วน อันไหนไม่เร่ง มันเป็นการตัดสินใจว่าเคสแบบนี้คนไข้ต้องไปที่ไหน ต้องไปโรงพยาบาลไหม หรือเรารับมือได้ เพราะที่นี่ ถ้าคนไข้เดินเข้ามา walk-in คลินิก แล้วเขาเป็นมากกว่าอาการที่ปรากฏแล้วเราซักประวัติไม่ถูก แล้วเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาแอบซ่อนอยู่ แล้วไม่ได้แสดงอาการออกมาคืออะไร ถ้าเราไม่มีพื้นฐานด้านนี้มาก่อน มันจะว่างเปล่า แล้วเราจะทำยังไง ไม่ได้บอกให้กลัว แต่มันจำเป็นค่ะ นอกจากประสบการณ์ด้านสุขภาพ ก็มีเรื่องภาษาอังกฤษค่ะ เขากำหนด IELTS 6.5 แต่มันมี option หลายอย่างนอกจากสอบ IELTS ลงเรียน ILAC Kiss หรือ คะแนน Duolingo ก็ได้
Fanshawe มีบริการอะไร Support นักเรียนบ้างคะ?
มีครบทุกอย่างเลยค่ะ จริง ๆ ถ้าได้อยู่แคมปัสหลักน่าจะได้ใช้คุ้ม เพราะหลักสูตรที่พี่มิ้งเรียนมันจะอยู่แคมปัสย่อย ไม่ค่อยมี Facility อะไรเท่าไหร่ ถ้าแคมปัสหลักจะมี ฟิตเนส ห้องสมุด แต่ห้องสมุดของแคมปัสที่พี่อยู่จะเล็ก ๆ เหมือนห้องคอมพิวเตอร์ให้เราเข้าไปเรียนออนไลน์ เขามีประกันสุขภาพ สามารถเคลมได้ ใช้บริการนวดได้ ฝังเข็มได้ ตัดแว่น จัดกระดูก มันเบิกตรงได้เลย Facility อื่น ๆ ในแคมปัสหลัก จะมีห้องพยาบาล เราสามารถไปหาหมอตรงนั้นได้เลย แล้วเขาจะใช้ประกันเรานี่แหละค่ะ เขามี support ด้านสุขภาพจิตด้วย และก็บริการแก้ปัญหาระบบเรียนออนไลน์ค่ะ
ช่วยแชร์ประสบการณ์การหางานและการทำงานที่ Ontario ได้ไหมคะ?
โชคดีตรงที่ว่าก่อนบินเราเข้าไปในเพจคนไทยที่อยู่เมือง London, Ontario แล้วก็เข้าไปแนะนำตัว คนในกลุ่มเขาก็น่ารักมาทักทาย แนะนำตัวกัน พอเรามาถึง เขาก็ดึงเราไปทำงาน เพราะเรามาก็สมัครไปเยอะมากแต่ไม่มีใครตอบกลับมาเลย เลยได้งานจากคนไทยในกลุ่มนี้ค่ะ ทำเสิร์ฟอยู่ร้านอาหารญี่ปุ่น พอเรามีประสบการณ์จากที่แรก เราก็หาทำเพิ่มคือ Subway ใกล้บ้าน พอเรามีประสบการณ์ร้านอาหารมาก่อน มันก็จะหาต่อ ๆ ได้เรื่อย ๆ อย่างบางคนก็หายากอยู่ แต่อย่าท้อแท้ เพราะเมืองนี้มันมีเด็กนักเรียนที่เข้ามาและออกไปวนกันทุกปี ตำแหน่งก็จะมีว่างเรื่อย ๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหามากแค่ไหน
อย่างตอนสมัคร Subway ด้วยความที่มันเป็น Subway อยู่ใน Western university ที่เขารับคน เขาให้เราส่งเอกสารในระบบเขา เราก็ทำไปตามนั้น และเอกสารสมัครงานที่นี่มันไม่ได้มีแค่เรซูเม่ แต่ต้องมี Cover letter กับใบ Reference เป็นใบที่มีคน Reference ให้เรา ตอนสมัครพี่ให้พี่คนไทยคนนึงที่ทำงานใน Western อยู่แล้วช่วย Reference ให้ สัมภาษณ์เป็นออนไลน์ผ่าน Zoom และก็จะโทรมาแจ้งผลว่าได้หรือไม่ได้ แต่ที่แรกที่ทำคือร้านซูชิ เราดรอปเรซูเม่ เขาก็สัมภาษณ์พอเป็นพิธี พอดูแล้วว่าเราทำได้เพราะที่ไทยบ้านเราทำร้านอาหารด้วยมั้ง แล้วก็เรียกไปทำ เราทำสองที่ควบคู่กันไป แต่เราจะพยายามไม่ให้ชั่วโมงในสัปดาห์เกิน 20 ชั่วโมง เราก็ต้องวางแผนเรียนและชั่วโมงทำงานให้ดีไม่ให้เกินค่ะ เพราะไม่งั้นมันจะมีผลตอนที่เขาไปเช็คย้อนหลังค่ะ
มีวิธีการหาที่พักที่แคนาดาอย่างไรคะ?
พอเราอยู่ในกรุ๊ปไลน์คนไทยที่อยู่เมืองนี้ ก็มีพี่คนไทยทักมาชวนหารบ้านพอดีค่ะ เราก็ตกลง มันง่ายตรงที่พอเรามาเรามีที่พักเลย แต่ปกติเราต้องมาเช่า Airbnb ก่อนสัก 1-2 สัปดาห์ เพื่อที่จะได้ตระเวนหาบ้านด้วยตาตัวเองก่อน เพราะสแกมเมอร์มันเยอะมากจริง ๆ เราไม่สารถติดต่อที่พักออนไลน์ได้ แม้กระทั่งวีดิโอที่เราเห็น ยังเชื่อไม่ได้เลย มีคนไทยที่มาแล้วเหมือนก่อนมาดูจากออนไลน์แล้วเขาก็ส่งวีดิโอบ้านมาให้ดู แล้วก็โอนเงิน สุดท้ายไม่มีอยู่จริงจ้า แต่โอนเงินเรียบร้อย สรุปอันดับแรกเลยเราควรมาเช่า Airbnb 1-2 สัปดาห์ แล้วตระเวนหาบ้าน แต่ก่อนทำสัญญาเราต้อง เปิด SIN number เป็นเลขประจำตัวผู้เสียภาษี เปิดบัญชีธนาคารไว้ทำธุรกรรมการเงินต่าง ๆ พอนัดดูบ้าน เขาก็จะให้เราทำสัญญาวางเงินมัดจำส่วนใหญ่จะเป็นค่าเช่าเดือนแรกหรือเดือนสุดท้าย บางที่เขาจะขอดู statement ต้องเป็นธนาคารที่นี่ด้วย เขาจะตรวจสอบว่าเรามีเงินในบัญชีเพียงพอที่จะเช่าเขาไหม
อีกอย่างที่มาแล้วควรจะรีบไปทำคือใบขับขี่ เพราะใบขับขี่ที่นี่เปรียบเสมือนบัตรประชาชนเราเลยนะ อย่างเราสมัครบัตรเครดิต เขาจะขอดูใบขับขี่เราด้วย มาถึงปุ๊บควรรีบมาทำ เราควรขอใบขับขี่สากลจากที่ไทยมาด้วย แต่อย่างคนที่ไม่มีประสบการณ์ขับขี่จากที่ไทยมาก่อน ก็สามารถมาทำที่นี่ได้ แต่มันจะแตกต่างตรงที่ level ในการสอบที่ Ontario มันจะแบ่งเป็น G1 G2 และ Full G
คนที่มีประสบการณ์ขับรถจากที่ไทย หรือคนที่ไม่มีประสบการณ์ก็เริ่มต้นที่ G1 จะเป็นข้อสอบ choice ที่สอบเรื่องกฎจราจรและสัญลักษณ์บนท้องถนน สัญญาณต่าง ๆ ถ้าเราสอบผ่าน คนที่มีประสบการณ์ขับขี่จากที่ไทยมาก่อน สามารถ pass G2 ไปสอบ Full G ได้เลย แต่ถ้าไม่มีประสบการณ์ต้องไต่ level ไปที่ G2 ก่อน แล้วค่อย สอบ Full G ได้ แต่ถึงมีประสบการณ์พี่มิ้งก็ตกมาทุกเลเวลแล้ว 555555 มันไม่ได้ยากแต่เราต้องมาจำพวกกฎต่าง ๆ ของที่นี่ใหม่ทั้งหมด และที่นี่เคร่งกว่าที่ไทยตรงที่ว่าเวลาสอบไม่ใช่แค่ขับได้หรือขับเป็นแต่มันต้องดูกระจกข้างกระจกหลัง ถ้าไม่ทำจะสอบตก อย่างความเร็ว Speed limit ถ้าเข้า Highway ความเร็วต้องเหยียบไปที่ 100 กม./ชั่วโมง แล้วเราขับรี ๆ รอ ๆ 70/80 เขาให้ตกเลยนะ เขาตีว่าเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุ คือมันจิปาถะไปหมด ตอนสอบสอบบนถนนจริง มีผู้คุมนั่งไปข้าง ๆ เรา เขามีไอแพดที่สามารถวัดความเร็วได้ โดยใช้รถเรา เขาก็จะนั่งไปกับเราเฉย ๆ แต่ก็คอยระวังว่าเราจะขับไปเสี่ยงอันตรายอะไร เขาจะมีเช็คลิสต์เลยว่า ขับเข้าหมู่บ้านจำกัดความเร็วเท่าไหร่ ตอนเบี่ยงเข้าเบี่ยงออก Highway ความเร็วเท่าไหร่ การประเมินเขามันละเอียดมาก เป็นเอสี่ 1 หน้าเลยค่ะ ส่วน Full G หลัก ๆ เป็นการสอบบน Highway แต่ถ้าตก Full G ต้องกลับมาสอบ G2 ใหม่เลย มันเป็นการกลับรถในทางแคบ ๆ เข้าซอง จอดเทียบข้างทาง จอดรถขึ้นเนินหรือลงเนินมันจะมีสเต็ปว่าล้อต้องหมุนไปทางไหนประมาณนี้ค่ะ สรุปง่าย ๆ นะคะ คนที่มีประสบการณ์ขับรถ จะสอบ G1 แล้วข้าม G2 ไปสอบ Full G เลย แต่คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์จะสอบ G1 G2 Full G ซึ่งต่อให้เรามีประสบการณ์แต่สอบ Full G ตก ต้องลงมาสอบ G2 ก่อนแล้วค่อยสอบ Full G ได้อีกครั้ง ส่วนเส้นทางการสอบเขาจะวนอยู่เส้นทางเดิม สามารถดูตัวอย่างในยูทูปได้ค่ะ
เมือง London, Ontario เป็นยังไง หลังจากอยู่แล้วเมืองนี้มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้างคะ?
อากาศดีค่ะ สิ่งแวดล้อมดีค่ะต้นไม้เยอะ ถ้าคนชอบธรรมชาติน่าจะชอบ เมืองมันเงียบ ๆ ข้อดีคือใกล้เมืองใหญ่อย่างโทรอนโต ขับรถไปประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง มีรถเมล์ไปด้วย ข้อเสียของเมืองนี้คือ มีรถเมล์ก็จริง แต่ถนนบางสายมีรถเมล์แค่สายเดียว นาน ๆ มาที ถ้าพลาดก็คือต้องรอไปอีกนานเลย การจัดการเวลาค่อนข้างยากหน่อย อีกอย่างคืออยากให้ดูพวกเรื่องสายรถเมล์ตอนเลือกบ้าน ตอนนั้นที่พี่มิ้งมายังไม่มีรถ แต่ตรงบ้านพี่สายรถเมล์ผ่านเยอะมาก ใช้เวลา 30 นาที นั่งจากบ้านถึงแคมปัสได้เลย ไม่ต้องขึ้นหลายต่อ มันยากตรงที่การจัดการเวลา ต้องวางแผนดีดี เพราะขนส่งสาธารณะของเมืองนี้มีแค่ รถเมล์ Uber และก็ Lyft ไว้ใช้เรียกรถเหมือน Grab car ที่ไทยค่ะ
สภาพอากาศตอนนี้ฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 18-28 องศา หน้าร้อนร้อนเลย หน้าหนาวอากาศปีที่แล้วไม่หนาวมากอยู่ที่ -15 เองนะ ต้องรอดูปีนี้ว่าเป็นยังไง ส่วนพวกกิจกรรมมีที่ให้ไป Hiking มีสวนเยอะ park ใหญ่ ๆ ไว้ไปเดินปิกนิก แล้วก็ดาวน์ทาวน์จะมีร้านอาหารที่ hangout ได้บ้างแต่ไม่เยอะ แต่ที่นี่เขามี Western university ก็จะเจริญหูเจริญตาหน่อย ถ้าว่าง ๆ พี่จะไปร้านอาหารใหม่ ๆ ที่นี่มีห้าง โชคดีตรงที่พี่ ๆ คนไทยที่นี่เขาจะมีนัดกันไป park เมืองใกล้ ๆ มีน้ำตกไนแอการา ยิ่งใหญ่ตระการตา มีรถสาธารณะพาไปเป็นรอบ ๆ ด้วยนะ อีกฝั่งจะมีทะเลสาบใหญ่มาก เราไม่สามารถมองเห็นอีกฝั่งนึงได้ ถ้าอยากไปเที่ยวอะไรที่เจริญหูเจริญตานิดนึงต้องไปเมืองข้าง ๆ ค่ะ
ก่อนมาแคนาดามีข้อกังวลอะไรบ้างไหม และมีวิธีการรับมือและแก้ไขปัญหายังไง?
มีค่ะ มีเยอะเลย หลัก ๆ คือเรื่อง Financial ที่เราเตรียมไว้มันจะพอไหม ถ้าใช้แค่พื้นฐานในการใช้ชีวิตจริง ๆ นะ มันก็พอดีแบบตึง ๆ ถ้าเทียบจากค่าแรงขั้นต่ำ เราต้องเตรียมเผื่อมาค่อนข้างเยอะ ไม่ได้บอกให้กลัว แต่ถ้ามาต้องเตรียมตัวมาดีดี เพราะมาถึงไม่ใช่ว่าเราจะได้งานเลย บางคนรอสามเดือนหรือหกเดือนกว่าจะได้งาน และมันอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมระหว่างทางเล็กน้อย อีกอย่างที่กังวลคือ เรียนกับทำงานเราจะทำควบคู่กันได้ไหม พอได้ทำจริง มันไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่อาจจะเหนื่อยหน่อย มันต้องปรับตัว แต่อย่าทำงานเยอะเกิน จนเรียนไม่รอด เพราะเรามาเรียนต้องตั้งใจเรียนก่อน มันจะหนักตรง assignment เยอะมาก ไม่ว่าจะ college ไหน มันเหมือนกันหมด
สามเรื่องสุขภาพจะทำยังไง การหาหมอที่นี่ค่อนข้างยาก แม้กระทั่งพี่คนไทยที่มาอยู่ที่นี่นานแล้ว หรือคนที่นี่เองก็ตาม ระบบสุขภาพเขาถึงแม้ว่ามันจะฟรีนะ แต่มันเข้าถึงยาก มันไม่เหมือนเราเลย ถ้าเราซื้อประกันสุขภาพ เราเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนจบเลย แต่ที่นี่ไม่ใช่ เขาไม่มีโรงพยาบาลเอกชน ทุกคนถ้าป่วยพอไปคลินิก อย่างเราไม่มี Family Doctor เราต้องไป walk-in คลินิก ที่เป็นคลินิกทั่วไป เขาจะตรวจและสั่งยาแค่นั้น ไม่ได้บันทึกประวัติเราไว้ในระบบด้วยซ้ำ เขาไม่ใช่หมอเฉพาะทาง และยากมากที่เขาจะส่งเราไปให้หมอเฉพาะทาง อย่าไปคาดหวังว่าปวดท้องจะเอกซเรย์ อัลตราซาวด์ ถ้าเขาไม่ทำก็คือไม่ทำ อย่างไปหาหมอด้วยโรค ๆ นึง สิ่งที่ต้องทำคือ ตรวจเลือด เอ็กซเรย์ อัลตราซาวด์ สิ่งที่ยากคือ ทั้งสามอย่างอยู่คนละที่กันเลย การเจ็บป่วยที่นี่เป็นเรื่องที่เหนื่อย พี่มีเพื่อนเป็นคนเวียดนาม เพื่อนเป็นโรคกระเพาะ ตอนอยู่เวียดนามก็เหมือนไทยเลย หมอส่องกล้องให้ยาจัดเต็ม หาย แต่พอมาอยู่ที่นี่ หมอวินิจฉัยไม่เป็นอะไรมาก ให้กลับไปดูอาการ เพื่อนปวดท้องมาก เลยบอกว่าถ้าเพื่อนไม่ไหว จะนั่งเครื่องกลับเวียดนามไปหาหมอแล้วค่อยกลับมาใหม่ คือมันแย่ระดับนั้นเลยค่ะ
อย่างที่สี่กังวลว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่นยังไง เราไม่เคยออกนอกประเทศนานขนาดนี้ ไม่เคยไปใช้ชีวิตจริงจังที่ต่างประเทศนาน ๆ เราต้องดูว่าเขาทำอะไรกัน อยู่ยังไง ใช้ชีวิตยังไง ต้องออกไปเจอเพื่อนบ้าง hangout กับเพื่อนบ้าง หรือเวลาจะไปทำธุระอะไร อย่างอยู่ไทยสมมติเราอยากตัดแว่น เดินเข้าไปตัดได้เลย แต่ที่นี่เราต้องโทรนัดจ้า ต้องทำใจว่าก่อนมาทุกอย่างไม่ง่ายนะ เราต้องฝึกจัดตารางเวลาให้เป็น อันนี้คือสิ่งที่ต้องปรับตัว
มีข้อคิด คำแนะนำอะไรสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจอยากมาเรียนต่อหรือมาอยู่แคนาดาบ้างไหม?
สแกมเมอร์ที่นี่เยอะมากอยากให้ระวัง ไม่ได้มีแค่ตอนหาบ้าน มันมาทุกรูปแบบ SMS / Bitcoin มีหมด อะไรที่ไม่มั่นใจให้ถามเพื่อนหรือคนรู้จักที่อยู่ที่นี่ก่อน บางอันเหมือนจะจริงแต่มันหลอก 55555 อีกเรื่องพี่อยากให้ฝึกสกิลภาษามาเยอะ ๆ มันสำคัญมาก รู้สึกว่าคนไทยเราเก่งกว่าคนอื่นมาก แล้วสิ่งที่เรามีมากกว่าคนประเทศอื่น คือรอยยิ้ม การให้บริการ ความใจดี คนไทยทำงานเก่ง ทำงานดี แต่ประเทศอื่นเขาพูดอังกฤษกันมาตั้งแต่เขาเริ่มเรียน แต่ของเราเพิ่งมาหัดพูดตอนโต เรารู้สึกว่ามันเสียโอกาสที่เราเก่งเหมือนคนอื่น แต่เราสื่อสารได้น้อยกว่าเขา อย่างคนอินเดียหรือฟิลิปปินส์ เขาไม่ได้เก่งกว่าเรานะ แต่เขาพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง เขามั่นใจกว่าเรา เรารู้สึกว่าถ้าเราพูดได้คล่องเหมือนเขา มันจะเปิดโอกาสเรา และเราจะเป็นตัวเลือกที่ดีหรืออาจจะดีกว่าหลาย ๆ คนอีกค่ะ
และก็อีกอย่างคือพยายามอย่าอยู่คนเดียว พยายามหาเพื่อน คนชาติไหนก็ได้ เพราะการที่มันเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม ขี้เหงา หรือ homesick อย่าปล่อยให้ตัวเองอยู่คนเดียว เพราะมันจะมีช่วงนึงที่เรารู้สึกเหนื่อยและท้อมาก ทุกอย่างมันรุมเร้า ก็ออกไปเที่ยวพูดคุยกับเพื่อนบ้างมันช่วยได้ สุดท้ายอยากฝากเรื่องกฎ คือมันเปลี่ยนแบบเรียลไทม์เลยก็ว่าได้ เราทำได้แค่ตั้งใจเรียน ส่วนเรื่องกฎต้องทำใจมาระดับนึงว่าทุกอย่างเปลี่ยนได้ตลอด วันนี้เขาอาจต้องการสายงานเรา พรุ่งนี้อาจจะไม่ต้องการแล้วก็ได้ วางแผนดี ๆ ต้องมีแผนสำรอง
รีวิวก้อปันกันให้ฟังได้ไหมคะ อะไรทำให้เลือกใช้บริการของก้อปันกัน?
รู้สึกว่าคิดถูกที่ตอนนั้นตัดสินใจเลือกก้อปันกัน เราคุยกันและวางแผนเท่าที่จำเป็น มีระบบที่ดี ชัดเจนว่าต้องทำอะไร และมีไทม์ไลน์เป็นขั้นตอน อันนี้ดีมาก ๆ อยากให้ทำต่อไปและพัฒนาระบบอันนี้ไปเรื่อย ๆ ค่ะ คุณกันต์ staff ทุกคนน่ารัก ถามอะไรไปก็ตอบ ไม่ได้เรียลไทม์ แต่พี่มิ้งไม่ติดอะไรตรงจุดนี้